น่าเสียดายที่อู๋จี้สมองอัดอั้นไปด้วยความแค้นเคือง สูญเสียการรับรู้ในตัวเอง
แบบอย่างของเว่ยเชียนชิวถูกตั้งไว้อยู่ตรงหน้า และมันก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ทำไมยังไม่อาจชักจูงให้อู๋จี้ได้ฉุดคิดไตร่ตรองและสำนึกในตัวเองอีก
ถ้าเซียวเฉวียนเป็นอู๋จี้ เมื่อความสามารถของตัวเองไม่อาจเทียบเท่ากับเว่ยเชียนชิว ก็จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน
กำลังเทียบสู้เว่ยเชียนชิวไม่ได้ แต่วันๆ คิดแต่จะลงไม้ลงมือกับเซียวเฉวียน คิดแต่จะหาวิธีกำจัดเซียวเฉวียน นี่ไม่ใช่ฝันกลางวันหรือ ?
ในบ้าน หลินฟ่างเหลือบมองอู๋จี้ด้วยความผิดหวังที่ลูกหลานไม่เอาถ่านและพูดว่า "ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วยัง ?"
หากไม่ใช่อู๋จี้อดกลั้นไม่อยู่ ยืนกรานที่จะขอให้หลินฟ่างช่วยเขาแก้แค้น จวนหลินก็คงไม่ตกเป็นเป้าหมายของเซียวเฉวียน
ตอนนี้ดีแล้ว ลักไก่ไม่สำเร็จ แถมเสียข้าวสารไปให้หนึ่งกำมือ
โดนหลินฟ่างย้อนถามมาแค่นี้ อู๋จี้ละอายจนก้มหน้าลง เขารู้ตัวว่าผิดและพาให้ลุงของเขาต้องเดือดร้อนด้วย
เมื่อเห็นท่าทางสำนึกผิดของอู๋จี้ หลินฟ่างก็ใจอ่อนลงในที่สุด
น้องสาวของเขา แม่ของอู๋จี้ เสียชีวิตเร็วไปหน่อย เหลือเพียงอู๋จี้ไว้เพียงคนเดียว หลินฟ่างก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกคนเดียวของน้องสาวมาเดือดร้อนโดยไม่เหลียวไม่แล
เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า "ไหนลองบอกว่าเจ้าคิดยังไงตอนนี้"
ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคืออู๋จี้คิดจะทำอะไร
หากอู๋จี้รู้จักกาลเทศะ รู้สถานการณ์ในปัจจุบันอย่างชัดเจนว่า เขาทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง ก็ยังพอจะตกลงใจได้
แต่ถ้าเขายังมุทะลุงอหัวไม่ขึ้น มุ่งยันสู่ทางตัน ไม่ว่าหลินฟ่างจะปากเปียกปากแฉะยังไง มันก็ไร้ประโยชน์
แต่ว่า เขาไม่อาจเฝ้าดูอู๋จี้ดิ้นไปหาความตายได้ เขาต้องรักษาอู๋จี้เอาไว้
ดังนั้น หากอู๋จี้ไม่เห็นด้วยกับหลินฟ่าง ยังคงต้องการจัดการกับเซียวเฉวียนต่อไป ไม่ยอมหยุดพักชั่วคราว หลินฟ่างก็จำเป็นต้องกักขังอู๋จี้ไว้อยู่ในจวนหลิน
ถึงแม้อู๋จี้จะต้องทิ้งตำแหน่งราชการ ก็ยังดีกว่าเอาชีวิตไปทิ้ง
ที่ใดมีชีวิต ที่นั่นย่อมมีความหวัง
ลูกผู้ชายแก้แค้นรอสิบปีก็ไม่สายเกินไป
หลินฟ่างมองอู๋จี้ด้วยสายตาที่สับสนซับซ้อน พลางรอคำตอบจากเขา
อู๋จี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดช้าๆ "ท่านลุง ครั้งนี้ หลานจะเชื่อฟังท่าน"
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นอู๋ฟานหรืออู๋จี้ ล้วนไม่เชื่อฟังคำพูดของหลินฟ่าง สุดท้ายลงเอยชักไฟมาเผาถึงตัว
อู๋จี้ยังนำความเดือดร้อนมาให้จวนหลินด้วย
ลุงของเขาเอ็นดูเขามากตั้งแต่ยังเล็ก ถึงเขาจะกระเสือกกระสนคิดที่จะล้างแค้นให้กับพ่อของเขา แต่เขาจะทำให้ลุงตกอยู่ในอันตรายไม่ได้
ครั้งนี้ เขาเลือกที่จะเชื่อฟังลุงของเขา
หลังจากได้รับคำตอบดังกล่าว หลินฟ่างก็รู้สึกโล่งใจได้ในที่สุด
พูดตามตรง หลินฟ่างก็ไม่อยากที่จะใช้วิธีสุดโต่งเอาอู๋จี้กักขังไว้ในจวนหลิน
เขายอมที่จะเชื่อฟังหลินฟ่าง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
หลินฟ่างกล่าวหนักแน่นอย่างมีความหมายลึกซึ้ง "หลานจี้ ไม่ใช่ลุงจะห้ามเจ้าไม่ให้แก้แค้น แต่ฟังคำพูดของลุงก่อน พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวและรอโอกาส"
คำพูดลักษณะนี้ หลินฟ่างบอกกับอู๋จี้ไม่เคยขาด อู๋จี้เข้าใจความหมายของหลินฟ่าง และเจตนาของเขา เขาพยักหน้าและพูดว่า "ขอรับ หลานเชื่อฟังท่านลุง"
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวเฉวียนจริงๆ หากเขายังคงยุ่งเกี่ยวกับเซียวเฉวียน ชีวิตเขาจะต้องจบสิ้นในไม่ช้า
ชีวิตยังไม่เหลือ ยังจะล้างแค้นให้พ่อกับผีอะไรเล่า ?
ดังนั้น สำหรับแผนเฉพาะหน้านี้ การรักษาชีวิตไว้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
แต่ว่า ตอนนี้มาระงับความตั้งใจที่จะแก้แค้นไว้ชั่วคราว อู๋จี้ถามด้วยความวิตก "แล้วมันสายเกินไปหรือเปล่า ?"
เซียวเฉวียนเป็นที่รู้กันดีว่ามีเคืองต้องสะสาง จวนอู๋ได้ยั่วยุเซียวเฉวียนมาหลายครั้ง และเซียวเฉวียนจดจำไว้อย่างแม่นจำ ไม่มีใครหนีพ้นได้
ไม่อาจว่าแม่นยำเต็มร้อย แต่ก็น่าจะได้สักเก้าสิบห้าส่วนร้อย
สัญชาตญาณของหลินฟ่างบอกเขาว่า เซียวเฉวียนมีเจตนาจะปล่อยตระกูลหลิน ไม่ก็ปล่อยตระกูลหลินไปชั่วคราว
ในเมื่อเซียวเฉวียนจับตาจวนหลินเข้าแล้ว เขาควรรู้เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของจวนหลินและจวนอู๋แน่นอน
ก็เทียบเท่ากับจะไม่ซักไซ้ไล่เลียงตระกูลอู๋ หรือไม่ซักไซ้ไล่เลียงตระกูลอู๋ชั่วคราวในขณะนี้
แน่นอน ต้องอยู่ในเงื่อนไขเบื้องต้นว่า หลินฟ่างและอู๋จี้ต้องรู้อะไรควรอะไรไม่ควร อยู่อย่างสงบเสงี่ยม
ขณะที่ฟังการสนทนาและการเคลื่อนไหวในใจระหว่างสองคน ไม่ต้องพูด เซียวเฉวียนก็รู้สึกว่าหลินฟ่างเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว
เขาวิเคราะห์การกระทำของเซียวเฉวียนได้อย่างมีเหตุมีผล เกือบจะสอดคล้องกับเจตนาริเริ่มของเซียวเฉวียน
ถ้าหลินฟ่างทำงานแบบติดดิน จะเป็นประโยชน์ต่อชาวต้าเว่ย และมีส่วนอุทิศผลงานมากต่อการพัฒนาของต้าเว่ยอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่หลินฟ่างละทิ้งหนทางที่กว้างใหญ่ราบเรียบ แต่เลือกที่จะเดินในทางที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคด
หวังว่าหลินฟ่านจะสำนึกได้ในครั้งนี้ เช่นเดียวกับจางจิ่น ออกจากที่มืดมิดและเข้าหาทางแสงสว่าง
ที่เซียวเฉวียมาดักอยู่จวนตระกูลหลินด้วยตนเองก็เพื่อจะรู้ว่า หลินฟ่างยังพอที่จะกู้ได้หรือไม่ จะฉุดเขาสักหน่อย พาเขาไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้หรือไม่
เพราะตั้งแต่หลินฟ่างขึ้นสู่ตำแหน่ง เบื้องบนมีองค์จักรพรรดิและเว่ยเชียนชิวครอบงำ เขาไม่กล้ากระทำอะไรตามอำเภอใจ ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอันตรายอย่างแท้จริงต่อชาวประชา
คนดีคนเก่งนั้นหายาก หากหลินฟ่างเต็มใจที่จะกลับเนื้อกลับตัว เซียวเฉวียนก็ยินดีที่จะไม่สืบสาวราวเรื่อง
สำหรับอู๋จี้ เขาเป็นคนยึดติดเกินไป เซียวเฉวียนพบว่ามันยากสำหรับเขาที่จะกลับเนื้อกลับตัว
ยิ่งกว่านั้น เซียวเฉวียนเคยให้โอกาสเขา แต่เขากลับเมินเฉย จ้องแต่จะงัดข้อกับเซียวเฉวียนไม่จบไม่สิ้น
คนดื้อรั้นเช่นนี้ วัวเก้าตัวก็ฉุดเขากลับมาไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...