ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1539

เซียวเฉวียนเอามือไพล่หลัง เดินไปมาตามทางเดิน ดวงตาของเขาฉายแววของความอ่อนโยน

ณ ขณะนี้เป็นเวลาท่องตำรา เสียงอ่านอักษขระดังกึกก้องไปทั่วสถานศึกษาชิงหยวน

ซึ่งเซียวเฉวียนรับรู้ได้ทันทีว่าเสียงเหล่านี้เป็นเสียงที่ดีที่สุด

หากมองออกไป ก็จะพบกับเหล่านักเรียนที่ออกกำลังกายอยู่ที่สนามด้านนอกของสถานศึกษาชิงหยวน

เม็ดเหงื่อของพวกเขาหลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ แต่พวกเขาก็ดูกระตือรือร้นมากเช่นกัน

ไม่ว่าจะมองยังไงก็สัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวา

ความสามารถที่แท้จริง คือ การพัฒนาสติปัญญา ศีลธรรม และร่างกายอย่างครอบคลุมทุกด้าน

และนี้คือคุณสมบัติของผู้ที่จะสามารถปกป้องแคว้นต้าเว่ยไว้ได้!

หากชายหนุ่มมีความแข็งแกร่ง ต้าเว่ยก็จะเเข็งแกร่งเช่นกัน!

เหล่านักเรียนหลายคนเริ่มสังเกตุเห็นเซียวเฉวียน และได้มุ่งความสนใจไปที่เซียวเฉวียน

ในวันแรกของการเรียนที่สถานศึกษาชิงหยวน เซียนเฉวียนได้ขึ้นไปยืนพูดบนแท่น และกล่าวต้อนรับอย่างกระชับ: ตั้งใจศึกษาและพัฒนาตนในทุกวัน

บรรดานักเรียนรู้เเจ้งถึงความหมายของคำกล่าวที่กระชับนี้เป็นอย่างดี มันสื่อถึงความคาดหวังที่เรียบง่าย และรูปแบบคำพูดที่สวยงามของเซียวเฉวียน

นักเรียนส่วนใหญ่มาจากตระกูลยากจน ดังนั้นพวกเขาจึงโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเข้าศึกษาและได้รับการดูแลที่ดีในสถานที่แห่งนี้

พวกเขารู้สึกขอบคุณเซียวเฉวียนเป็นอย่างมาก

แม้ว่าคลื่นพลังแห่งความสงบและขุมพลังที่เซียวเฉวียนมีอยู่ในตนเอง จะทำให้พวกเขาหวาดกลัว แต่พวกเขาก็ยังชื่นชมและเคารพต่อเซียวเฉวียน

พวกเขาคุ้นเคยกับการกระทำของเซียวเฉวียนเป็นอย่างดี เพราะเซียวเฉวียนนั้นถือได้ว่าเป็นตัวเเทนของเด็กที่ยากจนเหล่านี้ เขาจึงเปรียบเป็นแสงสว่างนำทางและยังเป็นแรงจูงใจในความพยายามของพวกเขา

นอกจากนี้ พวกเขาเองยังต้องการเป็นเหมือนกับเซียวเฉวียน ผู้ที่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาของตนเองได้ โดยการเข้าร่วมสอบ ได้รับตำแห่งสูงสุดในราชสำนัก มีส่วนช่วยพัฒนาต้าเว่ยให้เจริญรุ่งเรือง และยังเป็นวีรบุรุษของเหล่าประชาชนแคว้นต้าเว่ย

ชายชาตรีที่มีจิตใจอันแน่วแน่!

ขอสรรเสริญ สรรเสริญแด่วีรบุรุษ!

ในสายตาของพวกเขา ร่างของเซียวเฉวียนไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้าที่ส่องแสงสว่างมาหาพวกเขา!

ดูสิ ดูนั้นสิ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดคุย

“ดูสิ เซียวเจี้ยวหยู้มาโน้นแล้ว!”

"จริงอย่างนั้นหรือ!"

คำพูดเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของผู้คน จนทำให้เหล่าบัณฑิตไม่มีสมาธิในการเรียน แม้แต่อาจารย์ที่สอนอยู่ก็ยังต้องหยุดชะงักและหันไปมองเซียวเฉวียน

อาจารย์ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตที่อยู่ในระดับจิ้นชื่อ พวกเขาตอบรับคำเชิญของเซียวเฉวียน และมายังสถานศึกษาชิงหยวน เพื่อทำหน้าที่เป็นอาจารย์ชั่วคราว

นอกจากนี้ยังมีอาจารย์บางท่านที่ตรงมาสมัครเพื่อเป็นอาจารย์ หลังจากที่รู้ข่าวว่าสถานศึกษาชิงหยวนกลับมาเปิดอีกครั้ง

และยังมีบางคนที่มีชื่อเสียงในการสอบครั้งก่อนๆ แต่ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

เดิมที คนเหล่านี้ไม่ได้คาดหวังว่าสถานศึกษาชิงหยวนจะจ้างพวกเขา

แต่ในสายตาของเซียวเฉวียน เห็นเป็นดังนี้ คนหลายคนเดินมาพร้อมกัน ต้องมีสักคนในนั้นที่สามารถเป็นครูของเราได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสอนและให้ความรู้แก่ผู้คนคือต้องมีคุณธรรม

ส่วนความรู้เป็นเรื่องรอง

และสุดท้ายก็มี เว่ยเป้ยซึ่งเป็นคนที่มีพื้นฐานการสอนอยู่แล้ว และยังมีเซียวเฉวียน เจียนจงและมู่จิ่น ชาวจีนสมัยใหม่ทั้งสี่คนที่มาช่วยเผยแพร่ให้คำแนะนำสำหรับการสอน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความรู้นั้นมิได้สำคัญนัก ผู้สอนสามารถเรียนรู้และก้าวหน้าไปพร้อมกับเหล่านักเรียนได้

นอกจากนี้การฝึกฝนนั้น ยังทำให้สมบูรณ์แบบอีกด้วย

คงรู้ดีว่า หากใครก็ตามแต่ที่ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ ก็อย่าทำ อย่าริทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะมันจะเป็นอันตรายต่ออนาคตของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เมื่อได้เห็นแววตาที่กระตือรือร้นของเหล่าลูกศิษย์ที่มาจากตระกูลยากจนที่มองมายังเซียวเฉวียน พวกเขาแทบจะจับตามองทุกฝีก้าวของเซียวเฉวียน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเคารพบูชาเซียวเฉวียน ซึ่งมันค่อนข้างน่าขันอยู่มิใช่น้อย

จนลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงถึงกับพูดเหน็บแนมขึ้นว่า: "พวกคนโง่พวกนี้ เห็นเซียวเจี้ยวหยู้ ตื่นเต้นดีใจเสียยิ่งกว่าได้พบหน้าบิดาตนเองเสียอีก ไร้สาระสิ้นดี"

คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากตระกูลที่ยากจน และพวกเขาถือเอาเซียวเฉวียนเป็นแรงบัลดาลใจ

พวกเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องที่ว่า ตระกูลของเซียวเฉวียนเป็นตระกูลที่รับใช้ราชวงษ์ เมื่อครั้งหนึ่งที่ตระกูลเขาตกต่ำลง จึงถูกลดระดับสู่ตระกูลยากจน

ดังสุภาษิตที่ว่า เเม้เรือจะผุพัง แต่ยังมีตะปูอยู่อีกสามพันจิน

แม้ว่าตระกูลเซียวจะตกต่ำ แต่การเลี้ยงดูและการศึกษาที่เซียวเฉวียนได้รับมาตั้งแต่วัยเยาว์นั้นดีกว่าเด็กในตระกูลยากจนหลายสิบเท่า

และหลังจากที่เซียวเฉวียนมีชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สถานศึกษาชิงหยวนกลับมาเปิดอีกครั้ง ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงหลายคนพยายามหาเหตุผลอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้ตนเองเชื่อว่าต้นกำเนิดของเซียวเฉวียนนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขา

ตราบใดที่เซียวเฉวียนสลัดผ้าคลุมที่เกิดในตระกูลยากจนอก เซียวเฉวียนก็จะกลายเป็นบุคคลจากชนชั้นสูงไม่ต่างจากพวกเขา

ด้วยวิธีนี้ลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูงจะรู้สึกตนเองอยู่ในสถานะที่สูงกว่าลูกหลานตระกูลยากจน

เดิมที เมื่อลูกหลานจากตระกูลยากจนเข้าร่วมการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาถือได้ว่าเป็นคู่แข่งของลูกหลานจากตระกูลชนชั้นสูง แต่ลูกหลานจากตระกูลชั้นสูงก็ยังคงดูถูกลูกหลานที่มาจากตระกูลยากจนเหล่านั้น

ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงยังคงเหน็บแนบต่อไป: "หึ คงไม่ได้ใช้ตามองด้วยซ้ำ เอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเซียวเจี้ยวหยู้ ที่เป็นเหมือนเทพเจ้า ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน คิดว่าตนเองจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างเซียวเจี้ยวหยู้อย่างนั้นหรือ”

ตามที่ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงกล่าว แม้ว่าลูกหลานที่มาจากตระกูลยากจนจะสามาระปรสบความสำเร็จได้ แต่ก็คงไม่มีทางสำเร็จได้ครึ่งหนึ่งของเซียวเจี้ยวหยู้

เพราะถึงยังไงตระกูลยากจนก็ยังเป็นตระกูลยากจนอยู่วันยันค่ำ ไม่สามารถเทียบตนกับตระกูลชั้นสูงได้ด้วย!

นอกจากนี้ เหล่าลูกหลานที่มาจากชนชั้นสูงยังทำหน้าตาล้อเลียนลูกหลานที่มาจากตระกูลยากจน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องหยุด เพราะไม่สามารถปล่อยให้เจี้ยวหยู้หรือเซียวเฉวียนสังเกตุเห็นได้

อย่างไรก็ตาม คำพูดเล็กๆ น้อยๆ และการเหยียดหยามของลูกหลานจากตระกูลชนชั้นสูงยังคงถูกสังเกตเห็นโดยลูกหลานที่มาจากตระกูลยากจน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย