ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1540

เหล่าลูกหลานจากตระกูลยากจนมักจะถูกมองข้ามและถูกเลือกปฏิบัติอยู่เสมอตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็ก

แต่เมื่อสถานศึกษาชิงหยวนได้กลับมาเปิดอีกครั้ง พวกเขากลับได้เงินรายเดือนเพื่อเป็นการช่วยเหลือ และมันแสดงให้เห็นว่าเซียวเฉวียนให้ความสำคัญกับพวกเขา ตั้งใจที่จะหล่อหลอมและสร้างอนาคตให้แก่พวกเขา

ประการเเรกคือเซียวเฉวียนคอยสนับสนุนพวกเขา และด้วยจำนวนของลูกหลานจากตระกูลยากจนมีมากจนเกือบจะล้น จึงทำให้พวกเขาสามัคคีกันมาก จนพวกเขามีความมั่นใจเพียงพอ

ดังนั้น บางคนที่มาจากตระกูลยากจนจึงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และโต้ตอบกลับทันที: "บางคนมีตาหามีแววไม่ ยังคิดว่าตนเองอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง"

เป็นการกล่าวหาที่มิได้เอ่ยชื่อผู้ใดออกไป

แต่ด้วยความสามารถของลูกหลานตระกูลชนชั้นสูง พวกเขารู้ได้ทันทีว่าเหล่าเด็กเหลือขอที่มาจากตระกูลยากจนหมายถึงพวกเขา

ลูกหลานจากตระกูลชนชั้นสูงที่ได้ยินประโยคนี้ก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และโต้กลับทันทีว่า:“หากอยากอวดอำนาจบารมี ก็ควรที่จะมีอำนาจบารมีนั้นอยู่ในกำมือ ไม่ใช่เหมือนกับคนบางจำพวก แค่กำพืชตนเองยังไม่รู้แจ้ง ได้รับการอุ้มชูเพียงนิดหน่อย ก็คิดว่าตนเองนั้นพิเศษ เอาแต่เพ้อฝันกลางวันว่าตนเองนั้นจะเป็นดั่งเซียวเจี้ยวหยู้ หัดตักน้ำใส่กระโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง”

เมื่อลูกหลานจากตระกูลยากจนได้ยินเข้า มันก็ทำให้พวกเขาชะงักไปครู่หนึ่ง พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้ ใบหน้าของพวกเขาเริ่มแดงก่ำและตอบโต้ออกไปเพียงแค่: "นี่เจ้า!"

เมื่อเห็นการแสดงออกของหนึ่งในพวกเหลือขอ พวกลูกหลานจากตระกูลชนชั้นสูงต่างก็มีสีหน้าภาคภูมิใจ

หากมีการวิวาทเกิดขึ้น เหล่าลูกหลานจากตระกูลยากจนไม่มีทางที่จะชนะลูกหลานจากตระกูลชนชั้นสูงได้

เด็กที่มาจากตระกูลยากจนพกสติปัญญามาตั้งแต่เกิด แต่ด้วยภูมิหลังของพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกด้อยค่า จึงทำให้พวกเขาไม่เก่งที่จะโต้ฝีปากกับคนเหล่านี้

เว้นเสียแต่ว่า หากพวกเขาประสบความสำเร็จในอนาคตและสร้างความมั่นใจให้กับตนเองได้ มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะโต้ฝีปากจนคนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะต่อกรอะไรต่อไปอีก

ลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูงได้รับการดูแล ปลูกฝังและเอาอกเอาใจมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้พวกเขาเติบโตมามีท่าทีสูงส่ง มีความรู้ และกล้าแสดงออก หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของเซียวเฉวียนและเจี้ยวหยู้ พวกเขาก็คงไม่มีท่าทีที่สุภาพ ป่านนี้คงทะเลาะกับเหล่าลูกหลานที่มาจากตระกูลยากจนไปแล้ว

พวกเขาคงจะแสดงท่าทีเหนือกว่า พูดจาใหญ่โต แสดงบารมีของตระกูลกันอย่างเต็มที่ และปล่อยให้เหล่าลูกหลานจากตระกูลยากจนต้องรู้สึกผิดและละอายใจจนพูดอะไรไม่ออก

แต่อันที่จริง สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเล็ดรอดหูของเซียวเฉวียนไปได้

เพียงแต่เซียวเฉวียนไม่ได้สนใจอะไร เขายังคงเดินไปตามทางเดินของสถานศึกษาชิงหยวนและสัมผัสกับบรรยากาศราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ชีวิตมนุษย์เรา ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่อยากเผชิญไปได้

เช่นเดียวกับตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูงและลูกหลานตระกูลยากจนนั้นมีมาอย่างยาวนานในหน้าประวัติศาสตร์ หากระบบของต้าเว้ยไม่เปลี่ยนแปลง เหตุการณ์นี้ก็ยังคงเกิดขึ้นต่อไป

นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างบางประการระหว่างลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงและลูกหลานตระกูลยากจน การเปิดสถานศึกษาชิงหยวนทำให้พวกเขาได้ศึกษาร่วมกัน และต้องพึ่งพาอาศัยกัน ผ่านการทำความรู้จัก ซึ่งมันจะทำให้พวกเขาพบจุดเเข็งจุดอ่อนของกันและกัน ตระหนักถึงข้อบกพร่องของตนเองและแก้ไขมัน

เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะปรับตัวเข้าหากันได้

และการโต้เถียงกันผ่านวาจาระหว่างพวกเขาจะไม่เป็นอันตราย

การปล่อยให้พวกเขาได้ทะเลาะกันเป็นเรื่องดี และอาจช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้

หากไม่ลงมือทำอะไร ก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เซียวเฉวียนเพียงเหลือบมองไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ จากนั้นก็เดินต่อไปอย่างเงียบๆ

ที่ลานด้านข้างของสถานศึกษาชิงหยวน มีชั้นเรียนของผู้หญิง

เสียงอ่านตำราดังเจื้อยแจ้วราวกับเสียงระฆังที่ดังไพเราะเสนาะหู

ในขณะนี้ เป็นฉินซูโหรวที่กำลังสอนพวกเขาอยู่

ฉินซูโหรวเริ่มต้นจากพื้นฐานและสอนวิธีอ่านให้พวกเขา เมื่อฉินซูโหรวอ่านคำหนึ่ง พวกเขาก็จะอ่านตาม

ผู้หญิงเรียนหนังสืออย่างกระตือรือร้นมากกว่าผู้ชาย เซียวเฉวียนสัมผัสได้ถึงความจริงจังบนใบหน้าของพวกเธอ ราวกับว่ากำลังดื่มด่ำกับโอกาสเรียนรู้ที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้

เมื่อเห็นความมุ่งมั่นบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของพวกเขา เซียวเฉวียนก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น คำสัญญาของเขาที่มีต่อเหวินเจี้ยวหยู้จะถูกทำให้เป็นจริงในไม่ช้า

จากการติดตามครั้งนี้ เหมิงเอ้าได้พบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เขาได้ยินนายพลผู้นั้นกล่าวถึงเซียวเฉวียน ใจความของเนื้อหาที่เขาได้ยินคือ หากไม่ใช่เพราะเซียวเฉวียน เขาก็จะยังคงเป็นนายพลที่มีอำนาจในซินเจียง ได้รับชื่อเสียงและยศฐา ไหนจะสมบัติอีกมากมาย

ว่ากันว่าเซียวเฉวียนนั้นเป็นเทพเจ้าแห่งโรคระบาด ใครก็ตามที่พบเจอเขาจะพบเข้ากับหายนะ เช่น นายพลผู้สูงศักดิ์คนนี้ ได้กลายเป็นอาชญากรที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ

เห็นแบบนี้แล้ว ยังกล้าที่จะทำให้เซียวเฉวียนขุ่นเคืองอีกหรือไม่ ?

เหมิงเอ้าติดตามเซียวเฉวียนมาเป็นเวลานาน เขาได้พบเห็นผู้คนมาทุกรูปแบบ และเขานั้นได้เผชิญหน้ากับผู้คนทุกประเภทแล้วเช่นกัน ทำให้สมองของเขาสามารถพิจารณาคัดแยกบุคคลได้เป็นอย่างดี

เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำที่ออกมาจากปากของนายพล เขาก็รู้เเล้วว่าเขาจะต้องมีปัญหามากมายกับเซียวเฉวียนอย่างแน่นอน

ตามความเข้าใจของเหมิงเอ้าที่มีต่อเซียวเฉวียน เขาจะไม่ทำใครก่อน เว้นเสียแต่ว่านายพลผู้นี้รังแกคนอื่นไปทั่ว

และเพื่อให้นายพลเกลียดเซียวเฉวียนมากขึ้น เซียวเฉวียนจึงทำให้เขาต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่แสนจะยากลำบาก

สุดยอดอะไรเช่นนี้!

ในขณะเดียวกัน ภายในใจของเหมิงเอ้า เขาก็แอบดูถูกนายพลผู้นี้ เขารู้ดีว่านายพลผู้นี้ต้องการฆ่าเซียวเฉวียนแค่ไหน แต่คิดว่าคนอย่างเซียวเฉวียนจะไม่สู้กลับแล้วปล่อยให้เขาสังหารง่ายๆอย่างนั้นหรือ?

ดีไม่เท่าเซียวเฉวียน แต่ริบังอาจมายัวยุเซียวเฉวียน สมแล้วที่ต้องลงเอยเช่นนี้!

สิ่งที่น่าละอายก็คือ เขามิได้ไตร่ตรองความผิดของตนเองเลยแม้แต่น้อย แต่กลับโยนความผิดทั้งหมดไปให้เซียวเฉวียน

แน่นอนว่าคนเลวทุกคนมีอุปนิสัยเหมือนกัน มีเจตนาชั่ว และต้องการทำร้ายผู้อื่น หากล้มเหลวและถูกข่มเหง ความผิดทั้งหมดจะตกเป็นของอีกฝ่าย ไม่ใช่ความผิดของตนเองทั้งสิ้น

อนิจา!

หากไร้ยางอายถึงเพียงนี้ คงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก

ถ้าวันนั้นเหมิงเอ้าอยู่กับเซียวเฉวียน ตอนนั้นเหมิงเอ้าก็คงจะสังหารนายพลที่ไร้ยางอายผู้นี้ไปแล้ว!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย