แม้ว่าเหมิงเอ้าจะไม่พบที่อยู่ของนักบุญและกองทหาร แต่เซียวเฉวียนก็ไม่ได้วางแผนให้เหมิงเอ้าถอนตัว
สิ่งที่เหมิงเอ้าต้องการคือประสบการณ์
และต้องมีข้ออ้างในการหาประสบการณ์ การค้นหาที่อยู่ของนักบุญและกองทหาร ข้ออ้างที่ดีแบบนี้เซียวเฉวียนไม่มีทางปล่อยมันไปแน่นอน
หลังจากบอกให้เหมิงเอ้าสืบหาที่อยู่ของนักบุญต่อไป เซียวเฉวียนก็เป็นฝ่ายตัดการสื่อสารก่อน
สิ่งที่สําคัญที่สุดของเซียวเฉวียนในตอนนี้คือการใช้เวลาในการฝึกฝนการโจมตีด้วยวาจาและพู่กันให้มากขึ้น เผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด
ชิงหลงนั่งข้างๆดูเซียวเฉวียนฝึกอักษร เซียวเฉวียนฝึกนานเท่าไหร่ ชิงหลงก็นั่งดูนานเท่านั้น
เซียวเฉวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ ชิงหลงไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ?
เซียวเฉวียนวางพู่กันเฉียนคุนลง เขามองไปที่ชิงหลงและพูดว่า “ใต้เท้าชิงหลง ท่านมีเรื่องจะพูดกับข้าหรือไม่?”
ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็คงไม่นั่งเงียบๆดูเขาฝึกเขียนพู่กันเฉยๆแน่
เซียวเฉวียนรู้สึกว่าการดูผู้อื่นฝึกเขียนพู่กันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในโลก
ชิงหลงยิ้มที่มุมปากของและเขาพูดว่า “ใต้เท้าเซียวคิดมากไปแล้ว ข้าจะมีเรื่องอะไรได้”
ในจวนเซียวชิงหลงรู้สึกว่าเขาสามารถพูดคุยกับเซียวเฉวียนได้ดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงชอบติดตามเซียวเฉวียน
แม้ว่าจะต้องดูเซียวเฉวียนฝึกเขียนพู่กัน เขาก็แค่ต้องการอยู่กับเซียวเฉวียน
ในใจของชิงหลง เซียวเฉวียนคือเพื่อนรู้ใจของเขา
ทองคำพันชั่งนั้นหาง่าย แต่เพื่อนรู้ใจนั้นหาได้ยาก
มันเป็นเรื่องยากที่ชิงหลงจะอยู่ในจวนเซียวได้อย่างสงบสุข เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องใช้เวลาอยู่กับเซียวเฉวียน ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเซียวเฉวียนให้มากขึ้น และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับยุคฮวาเซี่ยจากเซียวเฉวียน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ชิงหลงมีรอยย่นจางๆระหว่างคิ้ว เขามองไปที่เซียวเฉวียนและเห็นว่าเซียวเฉวียนไม่ได้ฝึกเขียนพู่กัน เขาจึงถามว่า “ใต้เท้าเซียว ท่านจะกลับไปที่ฮวาเซี่ยเมื่อไหร่หรือ?”
เซียวเฉวียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ความเศร้าโศกแวบขึ้นมาระหว่างคิ้วของเขา ตัวเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าจะได้กลับไปฮวาเซี่ยเมื่อไหร่ แต่เขาไม่มีทางรู้ได้เลย
ไม่รู้เลยว่าจะกลับไปได้หรือไม่
พูดถึงฮวาเซี่ย แม้แต่ชายร่างสูงเจ็ดฟุตที่มีความสามารถล้นฟ้าอย่างเซียวเฉวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเหงาในใจ
แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงในต้าเว่ยอยู่แล้ว ทั้งยังมีความสุข ความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งไม่รู้จบ แต่เขาก็ยังต้องการกลับไปฮวาเซี่ย
มีคํากล่าวในฮวาเซี่ยว่ารังทองและรังเงินล้วนไม่ดีเท่าคอกสุนัขของตัวเอง
ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเซียวเฉวียนจะไม่ใช่คนร่ำรวยในฮวาเซี่ย แต่ก็พอมีพอใช้ เขาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า เขาใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย
ในยุคฮวาเซี่ยเขามีความสุขมากกว่าการเป็นราชครูของฮ่องเต้และเจ้านายของชิงหยวนแห่งต้าเว่ยหลายร้อยเท่า
ปัญหาคือเซียวเฉวียนได้ทะลุมิติมายังต้าเว่ย และไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปได้หรือไม่
เซียวเฉวียนถอนหายใจแผ่วเบาและพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ชิงหลงดูเหมือนจะเห็นว่ารู้สึกว่าอารมณ์ของเซียวเฉวียนแปลกไป เขาจ้องมองไปที่เซียวเฉวียนโดยคิดว่าเขาสามารถมองเห็นบางอย่างจากสีหน้าของเซียวเฉวียน
แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเซียวเฉวียน กลับไม่มีอะไรผิดปกติ
ชิงหลงคิดว่าเขาคงคิดไปเอง ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ “ถ้าในอนาคตใต้เท้าเซียวจะกลับไปฮวาเซี่ย ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
ฮวาเซี่ยที่เซียวเฉวียนเคยพูดถึงนั้นทำให้ชิงหลงสนใจอย่างมาก เขาอยากเห็นด้วยตาของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ชื่นชมรูปแบบนั้นด้วยตนเอง เขาอยากเห็นเครื่องบิน ปืนใหญ่ รถไฟความเร็วสูงและคมนาคมอื่นๆอีกมากมาย
และอยากจะเห็นว่าชีวิตของผู้คนเป็นอย่างไรเมื่อประชาชนเป็นใหญ่อย่างที่เซียวเฉวียนเคยบอก พวกเขาสามารถใช้ชีวิตทำงานอย่างสงบสุขและพึงพอใจ สังคมจะสามัคคีเป็นปึกแผ่นได้หรือไม่
แนวคิดเรื่องประชาชนเป็นเจ้านายของประเทศทําให้ชิงหลงรู้สึกเหลือเชื่อ
เขาไม่เข้าใจว่าประชาชนจะสามารถเป็นใหญ่ได้อย่างไร พวกเขาทำอย่างไร และพวกเขาจะเป็นใหญ่ได้จริงหรือ?
ชิงหลงมีความคิดที่จะไปฮวาเซี่ยมานานแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไป ความคิดนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
แต่ตอนนี้ชิงหลงเป็นองค์ชายของคุนหลุน เขาต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์ชายชาย จัดการกิจการของเผ่า และแสวงหาผลประโยชน์ให้กับเผ่า
เขาอยู่ในจวนเซียวมานานแล้ว และเป็นการเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์จริงๆ
เวลามีค่าและควรรักษาไว้
แต่เซียวเฉวียนสัญญากับชิงหลงไว้ เขาจึงอยู่ในจวนเซียวได้นานเท่าที่ต้องการ
หากให้ชิงหลงกลับไปที่ภูเขาคุนหลุนอย่างโจ่งแจ้ง เซียวเฉวียนรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย ไม่ใช่เพราะทนผิดสัญญาไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากไล่ชิงหลงกลับ
ชิงหลงหมกมุ่นอยู่กับเซียวเฉวียนมาก หากเซียวเฉวียนทําเช่นนี้ชิงหลงอาจจะคิดไปเองว่าเขาไม่ชอบและทุกข์ใจ
เซียวเฉวียนจึงเปลี่ยนสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขา จึงแอบแหย่และพูดว่า “ใต้เท้าชิงหลง ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสของเผ่ากําลังตามหาที่อยู่ของท่าน ท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่?”
เซียวเฉวียนไม่ได้พูดโกหก แต่นี่คือเรื่องจริง
และชิงหลงก็รู้เช่นกัน
เพราะผู้อาวุโสตามหาจวนเซียวจนพบ และถามคนในจวนเซียวว่าชิงหลงอยู่ที่จวนเซียวหรือไม่
ผู้คนในจวนเซียวมีข้อห้ามในการพูดที่เข้มงวด และพวกเขาจะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดแม้แต่คำเดียว
และพวกเขารู้ว่าชิงหลงเป็นแขกผู้มีเกียรติของจวนเซียว ใครจะกล้าเปิดเผยที่อยู่ของเขา?
ดังนั้นผู้คนในจวนเซียวพูดแค่ไม่กี่คําก็ส่งผู้อาวุโสกลับไป
ในตอนนั้นชิงหลงอยู่ในจวนเซียวก็ได้แอบฟังการสนทนาระหว่างผู้อาวุโสและผู้คนในจวนเซียว
ผู้อาวุโสออกมาตามหาชิงหลงโดยเฉพาะ คาดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในเผ่า
แต่เมื่อชิงหลงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าถ้ามีผู้อาวุโสอยู่หรือเกิดปัญหาขึ้นในเผ่า พวกเขาก็สามารถแก้ไขได้
หรือจะบอกได้อีกอย่างว่า ต่อให้มีผู้อาวุโส และไม่มีชิงหลงจะอยู่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุนหลุนมากนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...