เขาคิดว่าสองคนนี้ละเลยหน้าที่ตนเอง ออกไปเดินเล่นที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
แต่หารู้ไม่ สองคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้รับความช่วยเหลือจากคนใจดีคนหนึ่ง ตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถลุกจากเตียงได้เลย
ทั้งสองคนต่างครุ่นคิด หากอาการบาดเจ็บฟื้นตัวดีแล้ว พวกเขาจะออกไปหาสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขา ปิดบังตัวตน และใช้ชีวิตตามปกติ
หลังจากหายตัวไปหลายวัน การกลับไปที่จวนหลินถือว่าเป็นจุดจบที่เลวร้าย
พวกเขาจะไม่กลับไปอยู่ในกำมือของหลินฟ่าง ดังนั้นพวกเขาต้องหนี
นอกจากนี้ เซียวเฉวียนรู้อยู่แล้วว่าหลินฟ่างเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่ช้าก็เร็วตระกูลหลินจะต้องพบกับความทุกข์ทรมาน
หากจะหนีในตอนนั้น มันก็อาจจะสายเกินไป
สองคนนี้เป็นคนที่ปลอมตัวเข้ามา แม้ว่าเจี้ยนจงจะโจมตีพวกเขาจนปางตาย แต่ก็ยังรอดมาได้
ถือว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย
คนที่ทำการใดลงไป จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์เข้าสักวัน
ส่วนจวนหลินนั้น ก็ขอให้โชคดีแล้วกัน!
หลินฟู่รับผิดชอบทุกอย่างในจวนหลิน รวมถึงผู้คนด้วย
หลินฟ่างต้องการพบสองคนนั้นที่ละเลยหน้าที่ของตนเอง แต่หลินฟู่หาไม่พบ
เมื่อหลินฟ่างถามคำถามนี้ขึ้นมา หลินฟู่ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาด้วยความอับอาย ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดออกมา
เมื่อหลินฟ่างเห็นหลินฟู่ ความโกรธของเขาก็พวยพุ่งขึ้นมาทันทีจากนั้นจึงตะโกนออกไปว่า "ข้าถามอยู่นะ!"
ทำไมถึงทำอย่างกับเป็นใบ้?
หลินฟู่ที่รู้สึกผิดอยู่ก่อนหน้าเห็นท่าทีของหลินฟ่างเป็นเช่นนี้ เขาจะตอบสนองหลินฟ่างอย่างไรดี ยิ่งเมื่อเขาตะโกนเสียงดังใส่ด้วยแล้ว เขาก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวจนเกือบสูญเสียการควบคุมเช่นกัน
เขายกเปลือกตาขึ้น มองไปที่หลินฟ่างด้วยสีหน้าเป็นกังกล แล้วพูดออกมมาอย่างลังเลว่า “ใต้เท้า ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังหาไม่พบเลยขอรับ”
หลินฟู่ได้ระดมคนออกตามหาพวกเขาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองไปอยู่แห่งหนใด ซึ่งมันทำให้เขาเป็นกังวลอย่างมาก
แต่การกังวลจะมีประโยชน์อะไรกัน?
กังวลมากเกินไป ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ดวงตาของหลินฟ่างเต็มไปด้วยความโกรธ เขาจ้องตรงไปที่หลินฟู่
นี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่หลินฟู่ทำให้หลินฟ่างผิดหวังเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ หลินฟ่างจึงโกรธเป็นที่สุด
แค่ให้รับผิดชอบหาคน ทำไมหลินฟู่ถึงทำผิดพลาด?
ในเมืองหลวงมีคนมากมายก ถ้าสองคนนั้นตาย ยังไงก็ต้องมีใครสักคนเห็น เหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างเช่น การตายของใครสักคน ยังไงก็ต้องสร้างความอลม่านและต้องมีข่าวคราวมาบ้าง
แต่หลังจากค้นหามาเป็นเวลานาน กลับไม่พบร่องรอยเลยแม้เเต่นิดเดียว มีทางเป็นไปได้แค่เพียงว่า สองคนนี้ทรยศต่อตระกูลหลินและหลบซ่อนตัวอยู่
หลินฟางสัมผัสได้ว่าเรื่องนี้เซียวเฉวียนจะต้องมีความเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
บางทีเซียวเฉวียนอาจรู้อะไรบางอย่าง
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หลินฟ่างก็เลิกคิ้วขึ้น ด้วยความอารมณ์เสียเล็กน้อย
เซียวเฉวียนให้โอกาสเขามีชีวิตรอด เขารู้ดีว่าถ้าเซียวเฉวียนจับเขาได้อีกครั้งล่ะก็ ไม่เพียงแต่ตระกูลหลิน แต่ยังรวมถึงตระกูลอู๋ที่จะต้องทนทุกข์ทรมาน
เซียวเฉวียนเป็นคนโหดเหี้ยมและไม่แม้แต่จะแสดงความเมตตา!
เมื่อนึกถึงวิธีการของเซียวเฉวียน หัวของหลินฟ่างก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที
ในเวลานี้ ราวกับลูกธนูที่ขึงอยู่บนเส้นเชือกรอเวลาที่จะยิงออกไปเท่านั้น
หากพบว่าคนที่หลินฟ่างกำลังไล่ล่าอยู่กับเซียวเฉวียน เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากก้าวไปด้านหน้าและต่อสู้กับเซียวเฉวียนจนตายกันไปข้าง
อย่างไรก็ตาม ภายในใจของหลินฟ่างเขาได้แต่ภาวนา หวังว่าเรื่องที่สองคนนั้นหายไปจะไม่เกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียน
ถึงแม้ว่าเขาจะสวดภาวนา และคาดหวังกับสิ่งนั้นมากก็ตาม แต่ก่อนที่ความปรารถนาของเขาจะไปถึงสรวงสวรรค์ ร่างสง่างามก็มายืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
เด็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่ มองไปยังหลินฟ่าง
เมื่อหลินฟางเห็น หัวใจของเขาก็สั่นระรั่ว ความโกรธที่มีอยู่มลายหายไป
ตายห่า!
หากพูดให้กว้างขึ้นคือหากไม่เคารพเซียวเฉวียนก็เท่ากับว่าไม่เคารพฮ่องเต้เช่นกัน
หัวใจของหลินฟ่างสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำพูดของเสวียนอวี๋ เขาคิดภายในใจว่า เด็กคนนี้ฉลาดและพูดจาฉะฉานเสียจริง!
หลินฟู่ถึงกับหน้าถิดสีหลังจากที่ได้ยินเสวียนอวี๋พูด จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองหลินฟางและเสวียนอวี๋อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหลินฟ่างไม่ได้พูดว่าอะไร เขาจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาว่า“ข้าน้อยไม่รู้จักมารยาท โปรดใต้เท้าเซียวมองข้ามความผิดของข้าน้อยด้วย”
เซียวเฉวียนเหลือบมองไปที่เสวียนอวี๋ด้วยสายตาชื่นชม
เขาอายุยังน้อย แต่กลับสามารถออกหน้าแทนเซียวเฉวียนได้ ถือว่าร้ายกาจไม่เบา
แม้แต่เซียวเฉวียนเองยังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
เดิมทีเซียวเฉวียนไม่ได้หวังให้เสวียนอวี๋ทำอะไร นอกเสียจากการติดตาม ไม่ได้ต้องการให้เข้าไปพัวพันไม่ว่าเรื่องใดๆก็ตาม
สิ่งที่เขาต้องการคือ เขาต้องการให้เสวียนอวี๋เติบโตขึ้นอย่างดีทั้งกายและใจ ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์
แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะเเอบเรียนรู้ทุกอย่างผ่านท่าทางของเซียวเฉวียนที่แสดงออกมา
ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง!
เมื่อได้รับคำชมจากเซียวเฉวียน เสวียนอวี๋ก็เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากที่ทั้งสองคนเสร็จสิ้นการชมเชยกันแล้ว เซียวเฉวียนก็หันไปมองหลินฟู่ด้วยสายตาที่เย็นชาและพูดว่า"เจ้าพูดอะไรของเจ้า ในฐานะราชครูและประมุขของสถานศึกษาชิงหยวน ใต้เท้าเซียวยคนนี้จะทำให้เป็นเรื่องยากทำไมเล่า?"
ขณะที่หลินฟู่กำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เซียวเฉวียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที: "มีคำพูดโบราณที่ข้าคิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมากทีเดียว คานบนไม่ตรง คานล่างย่อมเอนเอียง"
ความหมายของมันก็คือ ในเมื่อคนเป็นนายไม่ประพฤติเป็นตัวอย่าง คนเป็นบ่าวย่อมเอนเอียงตาม
เพราะตั้งเเต่ที่เซียวเฉวียนเข้ามาจนถึงตอนนี้ หลินฟ่างก็ยังไม่ได้กล่าวทักทายเขาเลยแม้แต่คำเดียว
จะเห็นได้ว่าคนเป็นนายก็ไม่มีมารยาทเช่นกัน
ขนาดเสวียนอวี๋ที่เป็นเด็กยังรู้จักมารยาท แต่หลินฟ่างที่เป็นถึงเสนาบดีกลับไม่รู้จัก ช่างน่าละอายเสียเหลือเกิน
แต่ไม่เป็นไร เพราะการมาของเซียวเฉวียนในครั้งนี้คือมาเพื่อทำให้หลินฟ่างต้องอับอายอยู่แล้ว
นอกจากนี้เขายังต้องการให้หลินฟ่างรู้ว่าเซียวเฉวียนกำลังทำอะไรลับหลังเขาอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...