ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1566

นี่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น แต่พวกเขากลับหวาดกลัวจนไม่กล้าออกมาเลยงั้นหรือ?

ที่สถานการณ์ต้องเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเกิดจากตัวของพวกเขาเอง

ถนนหยางกวนอันยิ่งใหญ่มีแต่พวกเขากลับไม่ใช่ ใครใช้ให้พวกเขาไปเดินผ่านสะพานไม้เดี่ยว

ถ้าตกลงไปตายในน้ำก็จะมาโทษคนอื่นไม่ได้!

เซียวเฉวียนหัวเราะอย่างเยือกเย็นอยู่ในใจ จากนั้นสั่งออกมาว่า “เฉวียนอี เพิ่มส่วนผสมให้พวกเขาอีกหน่อย”

เหตุการณ์สามารถเปลี่ยนไปได้อย่างสิ้นเชิงเพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ก็คือสิ่งที่เซียวเฉวียนมอบให้กับพวกเขา

และส่วนผสมที่เซียวเฉวียนกล่าวถึง คือการทำให้ความคิดเห็นของประชาชนแพร่กระจายออกไปอย่างรุนแรงมากขึ้น ทำให้หลินฟ่างและอู๋จี้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ฟ้าถล่มดินทลายนั้นเป็นเช่นไร

เฉวียนอีรับคำสั่ง เขาปฏิบัติตามคำสั่งอย่างมีความสุข

เรื่องแบบนี้มันก็แค่งานง่ายๆ ไม่ต้องออกแรง แค่ใช้ปากก็เพียงพอแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงระดับความยาก แค่ปอกกล้วยเข้าปากยังง่ายกว่าด้วยซ้ำ

ดังนั้น เฉวียนอีใช้ระยะเวลาเตรียมการไม่ถึงครึ่งวัน ความเห็นของประชาชนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนแรกประชาชนพูดถึงแค่เรื่องศีลธรรมส่วนตัวของหลินฟ่างและอู๋จี้ เวลานี้เฉวียนอีสั่งให้คนเปิดเผยเกี่ยวกับสิ่งที่หลี่ซื่อมาสร้างปัญหาให้แก่จวนเซียวทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ และบอกว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับหลินฟ่างและอู๋จี้

เรื่องนี้พวกของเฉวียนอีเองก็ไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน เพียงแค่กล่าวถึงมันในลักษณะที่คลุมเครือเท่านั้น ทำให้เหล่าผู้คนคิดไปต่างๆ นานา

การที่จะสร้างเรื่องราวขึ้นมานั้นจำเป็นจะต้องสร้างเรื่องราวที่มีความคลุมเครือ แบบนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจของผู้คน เนื่องจากทำให้พวกเขาสามารถจินตนาการออกไปได้มากมาย

ในตอนนี้เรื่องที่หลี่ซื่อมาสร้างความวุ่นวายนั้นค่อนข้างน่าสะพรึงกลัว เรื่องจากผู้คนเกือบทั่วทั้งเมืองหลวงได้รับรู้เรื่องราวนี้หมดแล้ว

เมื่อเรื่องดังขึ้นมาในวันนี้ แถมยังเกี่ยวข้องกับจวนอู๋และจวนหลิน ความโกรธที่เหล่าผู้คนมีต่อหลินฟ่างและอู๋จี้สำหรับเรื่องพวกนี้จึงเพิ่มมากขึ้นอย่างทวีคูณ

และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเห็นใจเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจน ถูกคนดูถูกมาโดยตลอด มันเป็นความยากลำบากในชีวิตของเขา

ข้ามผ่านชีวิตและความตายมามากมาย

ประชาชนสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากโลกใบนี้คือโลกที่ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง และผู้มีอำนาจก็มักจะดูถูกคนยากไร้ ทุกสิ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่โบราณกาล

แต่วันนี้เซียวเฉวียนแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขาเป็นถึงขุนนางระดับสี่ และยังเป็นคนสนิทข้างกายของฮ่องเต้

เซียวเฉวียนในวันนี้ไม่ใช่คนอ่อนแอผู้เป็นเหยื่ออีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากบอกว่าเขาคือกระดูกชิ้นใหญ่

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนสงสัยก็คือ แม้ว่าเซียวเฉวียนจะก้าวมาถึงจุดนี้แล้ว เหตุใดถึงยังมีคนที่คิดจะเคี้ยวกระดูกชิ้นนี้อยู่?

หรือว่าพวกเขาจะไม่กลัวฟันหัก เหตุใดพวกเขาถึงไม่ไปกินหญ้าอ่อน พวกเขาหิวจนกำลังจะตายเลยงั้นหรือ?

เอ๊ะ?

ไม่เข้าใจจริงๆ หลินฟ่างและอู๋จี้ไปเอาความกล้าและความมั่นใจมาจากที่ไหน เหตุใดถึงได้กล้าโอหังใส่เซียวเฉวียนเช่นนี้

ราชสีห์ดุร้ายแห่งต้าเว่ยอย่างเว่ยเชียนชิวยังพ่ายแพ้ให้กับเซียวเฉวียน เพิ่งจะผ่านไม่ได้ไม่นาน หรือว่าพวกเขาลืมไปแล้วงั้นหรือ?

ไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาพูดจริงๆ พวกคนไม่รู้จักเจียมตัว เจ้าพวกไม่รู้จักจำ!

อีกอย่าง เซียวเฉวียนไม่ได้เป็นคนไปยั่วยุพวกเขา พวกเขาเป็นฝ่ายเข้ามายั่วยุเซียวเฉวียนด้วยตัวเอง สุดท้ายก็เป็นฝ่ายโชคร้าย และก็มาเกลียดชังเซียวเฉวียน

สมองของพวกเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

เหตุใดถึงสนับสนุนให้หลี่ซื่อไปสร้างปัญหาให้กับจวนเซียว?

โชคดีที่เซียวเฉวียนไม่สนใจพวกเขา ไม่อย่างนั้น ด้วยความสามารถของเซียวเฉวียน พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้ได้อย่างไร เหล่าผู้คนยอมเดิมพันด้วยชื่อเสียงของพวกเขา!

ผู้คนทั้งหมดหันมาเข้าข้างเซียวเฉวียนโดยไม่รู้ตัว ใช้ความโกรธเป็นเครื่องนำทาง ลืมไปเลยว่าในหมู่ของพวกเขานั้นไม่มีใครที่มีชื่อเสียงหรือเกียรติที่คู่ควร จึงไม่ต้องพูดถึงการเดิมพัน

แน่นอน เรื่องอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของผู้คน มันไม่จำเป็นต้องไปสนใจขนาดนั้น

ในใจของพวกเขา พวกเขารู้สึกอย่างไร พวกเขาก็พูดออกมาอย่างนั้น

เมื่อลองเปรียบเทียบกันดูแล้ว เหล่าประชาชนพบว่าเซียวเฉวียนนั้นเป็นคนใจกว้าง แต่หลินฟ่างและอู๋จี้ก็ยังวางแผนที่จะทำร้ายเซียวเฉวียน เป็นคนใจแคบเท่านั้นไม่พอ ยังมีความโง่เขลาเข้ามาปะปน

พวกเขาไม่รู้ความสามารถของตนเองเลยงั้นหรือ?

เหตุใดถึงได้พุ่งเข้าหาการต่อสู้อย่างไม่กลัวตายเช่นนี้!

พุ่งเข้าหาการต่อสู้ไม่เท่าไหร่ เมื่อพุ่งเข้าไปชนแล้วกลับยังไม่รู้สึกตัว ยังคิดไปเองว่าเซียวเฉวียนยังไม่รู้ตัว แม้ว่ารู้ตัวแล้วก็คงไม่กล้าสังหารพวกเขา และเลือกที่จะตามรังควานสร้างปัญหาให้กับเซียวเฉวียนต่อไป

เฮ้อ......ประชาชนต่างรู้สึกว่าพวกเขาโง่เขลาจนไร้หนทางรักษา

เนื่องจากความเห็นของประชาชนที่มีต่อหลินฟ่างและอู๋จี้นั้นเลวร้ายเป็นอย่างมาก

บางคนถึงกับไปสร้างความเสียหายถึงบ้าน เก็บขยะและไข่เน่าในเมืองหลวงมาขว้างปาใส่จวนอู๋และจวนหลิน

แม้ว่าหลินฟ่างและอู๋จี้จะไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่พวกเขาก็รู้ว่าด้านนอกกำลังเกิดอะไรขึ้น

ได้ยินเสียงคนรับใช้ตะโกนเข้ามา หลินฟ่างและอู๋จี้ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าของพวกเขาดูไม่ได้เอาเสียเลย

พูดไปพูดมาทั้งหมดก็เกิดจากตัวของพวกเขาทั้งสองเอง ทุกครั้งที่ลูกน้องเข้ามารายงานสถานการณ์ภายนอก ลูกน้องต่างพยายามหาคำพูดเพื่อหลีกเลี่ยง อธิบายสถานการณ์ออกมาเพียงประโยคเดียว เพราะไม่อยากให้เจ้านายของพวกเขาต้องกังวลใจไปมากกว่านี้

แต่พวกเขาทั้งสองคนก็รู้ดี แค่คิดก็รู้แล้วว่าพวกประชาชนจะพูดอะไรออกมา พวกเขาจึงอยากคำคำสาปแช่งเหล่านั้น

ประชาชนจะพูดอะไรได้! นอกจากคำสาปแช่งพวกเขา

อีกอย่างประชาชนก็ไม่ได้สาปแช่งเหมือนกับบัณฑิตที่ต้องใช้คำพูดที่อ้อมค้อมมากมาย

ประชาชนแค่สาปแช่งในสิ่งที่ต้องการออกมา ไม่ว่าจะน่าฟังหรือไม่น่าฟัง เมื่อรู้สึกโกรธก็แค่ด่าออกมา ระบายความโกรธในใจออกมาด้วยคำสาปแช่ง

เนื่องจากเป็นคำขอของหลินฟ่างและอู๋จี้ คนรับใช้จึงทำได้เพียงสนองความต้องการของพวกเขาโดยการพูดออกมาให้พวกเขาได้ฟัง

พูดไปพูดมา คนรับใช้ก็รู้สึกแปลก พวกเขาไม่อยากทำให้เจ้านายต้องหนักใจ แต่พวกเขาก็ไม่รู้จะเปลี่ยนแปลงคำพูดของประชาชนอย่างไร พวกเขาจึงเล่าคำพูดของประชาชนเหล่านั้นออกมาให้กับเจ้านายของพวกเขาได้รับฟังอย่างซื่อสัตย์

และสมองของพวกเขาก็ค่อนข้างแปลกประหลาด คำพูดที่ไม่ได้รุนแรงมากนักพวกเขาจำไม่ได้ จำได้แต่คำพูดที่รุนแรงและหยาบคายเป็นพิเศษเท่านั้น

หลินฟ่างและอู๋จี้ต่างเป็นปัญญาชน พวกเขามักจะใช้คำพูดที่อ่อนโยน แม้ว่าจะเป็นการสาปแช่งคนอื่น พวกเขาก็จะพูดจาอ้อมค้อมเป็นที่สุด เช่นนั้นพวกเขาจะไปเคยได้ยินคำสาปแช่งที่รุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก!

มันไร้เหตุผลยิ่งนัก!

พวกเจ้าประชาชนชั้นต่ำ!

กล้าดียังไงมาสาปแช่งพวกข้าเช่นนี้!

หลินฟ่างอยู่มาหลายสิบปี เขาไม่เคยถูกใครต่อว่ามาก่อน ยิ่งเป็นประชาชนก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย