คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อแก่ตัวมาแล้วจะยังต้องมาแบกรับความโกรธเช่นนี้ ถูกประชาชนสาปแช่งแต่ไม่อาจระบายความโกรธออกไปได้!
น่าหงุดหงิดเสียจริง!
อู๋จี้ที่ยังเป็นหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดเสียยิ่งกว่า สิ่งของในจวนอู๋ถูกเขากวาดลงพื้น แตกกระจายอยู่มากมาย
มันคือความพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
หากเซียวเฉวียนเห็นฉากนี้ เขาจะต้องปวดใจกับของโบราณที่แตกอยู่บนพื้นเป็นแน่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีมูลค่ามหาศาล!
ในใจของหลินฟ่างและอู๋จี้เปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสัย เหตุใดไฟพวกนี้เหตุใดถึงได้ลุกลามมาถึงพวกเขา?
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงเรื่องนี้ เปลวไฟที่ลุกโชนเหล่านี้ ฮ่องเต้จะต้องทรงทราบแล้วเป็นแน่
สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลมากที่สุดไม่ใช่การเบียดเบียนจากเพื่อนร่วมทาง และไม่ใช่การแก้แค้นจากเซียวเฉวียน แต่เป็นทัศนคติของฮ่องเต้
หากฮ่องเต้ยืนอยู่ฝั่งของพวกเขา ยินดีที่จะพูดเพื่อพวกเขา สถานการณ์ก็อาจพลิกกลับได้
แต่หากฮ่องเต้ยืนอยู่ฝั่งของเซียวเฉวียน ขอแค่ตรวจสอบความจริง ฮ่องเต้ก็จะรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาทำกับเซียวเฉวียนทันที
เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้พวกเขาไม่ตายพวกเขาก็จะถูกลิดรอนอำนาจและกลายเป็นแค่คนธรรมทั่วไป
แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่ได้แสดงทัศนคติออกมาแต่อย่างใด นี่คือสิ่งที่พวกเขาสองคนสงสัยมากที่สุด พวกเขาไม่รู้เลยว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่
อย่างไรก็ตาม หลินฟ่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ตำแหน่งของเซียวเฉวียนในหัวใจของฮ่องเต้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาอาจเทียบเทียมได้
นอกจากความเกลียดชังแล้ว หากเขาเป็นฮ่องเต้ เขาก็เลือกที่จะปกป้องเซียวเฉวียน
เนื่องจากเซียวเฉวียนคือคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง เขาจะต้องนำพาประโยชน์มากมายมาสู่ต้าเว่ยเป็นแน่
ในฐานะฮ่องเต้ ใครบ้างที่จะอยากไล่คนที่มีความสามารถและคอยให้คำแนะนำออกไปจากข้างกาย?
ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเฉวียนยังช่วยฮ่องเต้เอาชนะการต่อสู้กับเว่ยเชียนชิว พลิกสถานการณ์ในราชวงศ์ต้าเว่ย สำหรับฮ่องเต้ เซียวเฉวียนคือดวงดาวที่คอยชี้นำโชคชะตา
คนแบบนี้ฮ่องเต้จะปล่อยไปได้อย่างไร?
แต่หลายวันที่ผ่านมา ฮ่องเต้ยังคงไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
นี่ทำให้หลินฟ่างสับสนเป็นอย่างมาก
หลินฟ่างสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่ฮ่องเต้ต้องการให้โอกาสพวกเขาแก้ไขความขุ่นเคืองเป็นการส่วนตัว?
หากเป็นเช่นนั้นจริง หลินฟ่างและอู๋จี้ยังพอจะมีเส้นทางให้เดินต่อไป นั่นก็คือการไปหาเซียวเฉวียนเพื่อขอโทษด้วยตัวของพวกเขาเอง เพื่อขอความเมตตาจากเซียวเฉวียน
แต่เมื่อพิจารณาจากทัศนคติก่อนหน้านี้ของเซียวเฉวียน คงเป็นเรื่องยากที่จะให้เซียวเฉวียนยกโทษให้พวกเขา
พูดตามตรง ต่อให้ไปขอความเมตตาจากเซียวเฉวียน มันก็คงเป็นคำขอที่ไร้ประโยชน์
แต่หากไม่ทำเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็จะรู้สึกว่าพวกเขานั้นไม่พยายามอะไรเลย หากปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปเช่นนี้ พวกของหลินฟ่างก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงความผิด
เมื่อเปรียบเทียบกันดูแล้ว การขอความเมตตาจากเซียวเฉวียน หากเซียวเฉวียนไม่สนใจที่จะเล่นกับพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาก็ยังสามารถรักษาตำแหน่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้
นอกจากนี้ หากต้องการให้ความคิดเห็นของประชาชนสลายไป คำพูดเพียงประโยคเดียวของเซียวเฉวียนก็เพียงพอแล้ว
ขอแค่เซียวเฉวียนออกมาพูดต่อหน้าประชาชนว่านี่คือการเข้าใจผิด ประชาชนก็จะไม่คิดฟุ้งซ่าน และไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป
นี่คือวิธีการที่ได้ผลดีที่สุด
หลังจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน หลินฟ่างรู้สึกว่าการไปขอขอความเมตตาจากเซียวเฉวียนนั้นเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจ หลินฟ่างอยากจะพาอู๋จี้ไปขอโทษเซียวเฉวียนด้วยกัน
ท้ายที่สุดแล้วอู๋จี้เองก็มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้
ดังนั้นหลินฟ่างจึงสั่งให้คนของเขาเดินทางไปยังจวนอู๋เพื่อถ่ายทอดเจตนารมณ์ของเขา
ผลลัพธ์ก็คือ เมื่ออู๋จี้ได้ยินคำพูดพวกนั้น เขาก็ขับไล่คนของจวนหลินออกมาทันใด
เขาโกรธจนแทบเสียสติ!
ล้อเล่นหรืออย่างไร?
อยากให้เขาตามหลินฟ่างไปเพื่อขอความเมตตาจากเซียวเฉวียน?
เขาคิดออกมาได้อย่างไร!
ความโกรธนี้คงอยู่กับอู๋จี้อย่างยาวนาน ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่หมดไป
เพื่อขจัดความคิดนี้ของหลินฟ่าง อู๋จี้ยังคงฝากคำพูดกลับไปว่า “กลับไปบอกเขา อยากไปก็ให้เขาไปคนเดียว ต่อให้ตายข้าก็ไม่มีวันไปขอโทษเจ้าคนแซ่เซียว!”
แค่ได้ฟังก็รู้ได้เลยว่าความเกลียดชังของอู๋จี้นั้นอยู่ในระดับใด แค่ชื่อยังไม่อยากจะเอ่ยถึง ใช้คำว่าคนแซ่เซียวในการเรียกขานถึงเขา
เขาเกลียดชังเซียวเฉวียนมากจริงๆ
ไม่ใช่เพราะเซียวเฉวียนอย่างนั้นหรือ เขาถึงได้มาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
และเกรงว่าการจากไปของอู๋ฟานเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
หลินฟ่างที่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาลุกขึ้นในทันใด ตะโกนออกไปว่า “ทหาร เตรียมม้า!”
เขาจะไปจวนอู๋ ไปแนะนำอู๋จี้ด้วยตัวเอง
คนของจวนหลินมาที่นี่แล้ว แต่หลินฟ่างก็ยังตามมา หรือว่าสิ่งที่อู๋จี้พูดนั้นยังไม่ชัดเจนพอ?
เมื่อรู้ถึงเจตนาของหลินฟ่าง ใบหน้าของเขาเยือกเย็น ไม่เรียกอีกฝ่ายว่าลุง พูดออกไปโดยตรง “หากจะมาบอกให้ข้าไปขอความเมตตาจากคนแซ่เซียว เจ้าก็จงล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียเถอะ!”
พูดจบอู๋จี้ก็เตรียมตัวหันกลับเข้าไป ไม่อยากเผชิญหน้ากับหลินฟ่าง
เขาไม่อยากได้ยินคำพูดไร้สาระของหลินฟ่าง
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลินฟ่างมาเตือนเขาด้วยความหวังดี ชี้หนทางรอดให้กับเขา แต่เขากลับอวดดี หักหน้าหลินฟ่างโดยตรง
หากไม่ดุด่าว่ากล่าวเขา หลินฟ่างก็คงรู้สึกเสียใจกับความหวังที่ดีตนเองเดินทางมาในครั้งนี้!
“เจ้าลองดูสภาพของเจ้าในตอนนี้ มีตรงไหนที่เหมือนกับสภาพของคุณชายแห่งตระกูลขุนนางผู้ยิ่งใหญ่บ้าง! มีตรงไหนที่เหมือนกับปัญญาชนบ้าง?”
เป็นคนใจแคบ ไม่รู้จักมารยาท เทียบกับคนบ้าบิ่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยต่อให้แย่แค่ไหน คนบ้าบิ่นก็ยังมีความกล้าหาญและพละกำลัง
แต่ดูเขาสิ แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่จนปัญญาและไร้หนทาง
ในฐานะที่หลินฟ่างเป็นผู้อาวุโส เขาแบกความอับอายเดินทางมายังจวนอู๋ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้จักการทอดสะพาน แถมยังเบือนหน้าหนีใส่หลินฟ่าง โต้เถียงหลินฟ่างอย่างไร้เหตุผล ราวกับหลินฟ่างติดหนี้เขาเป็นหมื่นล้าน มันไม่ตลกเลยจริงๆ
ตั้งแต่เล็กจนโต หลินฟ่างไม่เคยดุด่าหรือพูดจารุนแรงเช่นนี้ใส่อู๋จี้มาก่อน ด้วยคำดุด่าดังกล่าว อู๋จี้รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาหยุดฝีเท้าของเขา หันกลับมา จ้องมองมาที่หลินฟ่างด้วยสายตาดื้อรั้น ลังเลว่าจะพูดอะไรออกมา
เขาอยากจะพูดอะไรออกมา แต่เขารู้ว่าหากพูดมันออกไปจะทำให้หลินฟ่างเจ็บปวดไม่น้อย
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะนิ่งเฉย
เมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของอู๋จี้ หลินฟ่างจึงพูดในสิ่งที่เขาคิดก่อนหน้านี้ทั้งหมดกับอู๋จี้ จากนั้นก็พูดออกมาว่า “อู๋เออร์ ฟังคำแนะนำของลุง เดินทางไปยังจวนเซียวกับลุง เจ้าว่าอย่างไร?”
อู๋จี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าตกลง ซึ่งมันทำให้หลินฟ่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เกรงว่าอู๋จี้จะเปลี่ยนใจ และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำในไม่ช้าก็เร็ว หลินฟ่างจึงรีบพาอู๋จี้เดินทางไปยังจวนเซียวทันที
เซียวเฉวียนได้ยินมาหลินฟ่างและอู๋จี้เดินทางมา รอยยิ้มที่เยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นมาบนมุมปากของเขาโดยไม่รู้ตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...