จำนวนคนที่มารวมตัวกัน มากเป็นประวัติการณ์
หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุด ชุดเสื้อผ้าแม้จะเป็นสีเรียบๆ แต่ก็เห็นได้ว่าทำจากเนื้อผ้าที่ดีเยี่ยม นางคงมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย
หญิงคนนี้ดูราวอายุ 30 ต้นๆ มีหน้าตาค่อนข้างดูดี แต่โหนกแก้มของนางดูสูงไปหน่อย ดูก็รู้ว่าเป็นคนค่อนข้างแกร่งและคุยยาก
เมื่อตะกี้นางยังตะโกนเสียงดังอย่างฮึกเหิม แต่พอเห็นเซียวเฉวียนเข้า นางใจเสาะทันที ความเกรงกลัวปรากฏขึ้นในแววตา
หญิงคนนี้เป็นภรรยาหลวงของหลินฟ่าง เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของหลินเฉิง ชื่อเฉินเหยา ซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาของเฉินเหอ หัวหน้าทหารองครักษ์ในวัง
สมัยที่ยังอยู่เฝ้าเรือน ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเหยาและเฉินเหอก็ไม่ถือว่าสนิทกัน หลังจากแต่งออกไปแล้ว ก็ยิ่งห่างเหินกันมากขึ้น
จนถึงตอนนี้ นางและเฉินเหอแค่รักษาความสัมพันธ์แบบผิวเผิน ไม่มีการติดต่อกันเป็นอย่างอื่น
นั่นก็หมายความว่า เฉินเหยาไม่สามารถพึ่งพาครอบครัวเดิมของนางได้แล้ว
สำหรับตระกูลหลิน หลังจากหลินฟ่างตายไป เท่ากับกระดูกสันหลังของตระกูลหลินหายไป หากเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหลิน นางจะต้องเป็นคนออกหน้าเอง
วันนี้นางมาก่อกวนที่จวนเซียว เป็นเพราะหลินเฉิงตายไป
เฉินเหยาเคยได้ยินข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเซียวเฉวียน แต่นางไม่เคยพบกับเซียวเฉวียนมาก่อน นางจึงมักจะคิดว่าข่าวลือข้างนอกนั้นว่าเกินความจริง
ตัวอย่างเช่น ข่าวลือบอกว่าเซียวเฉวียนมีรัศมีเร้าคน ดูน่าเกรงขามโดยไม่ดุดัน คนเห็นคนกลัว
เฉินเหยาสงสัยว่ามันเป็นไปได้ไง คนจากครอบครัวยากจน จะมีอำนาจบารมีขนาดนี้ได้ไง ?
คำล่ำลือเหล่านั้น อาจมีคนจงใจพูดเกินจริงเพื่อประจบเซียวเฉวียนเท่านั้น
ตอนนี้พอเห็นเซียวเฉวียนตัวจริง เฉินเหยาถึงกับเลิกคิดอย่างนั้นอีกต่อไป
เซียวเฉวียนที่อยู่ตรงหน้านาง ขมวดคิ้วอย่างเย็นชา อำนาจรัศมีทั้งตัวของเขาแรงกล้าจนผู้คนไม่กล้าสบตา
ไม่เพียงแต่คนเห็นคนกลัว แต่ยังกลัวจนนึกถึงยมทูตอีกด้วย
ใช่แล้ว เซียวเฉวียนที่อยู่ตรงหน้าก็เหมือนกับยมทูตที่เล่ากันในหนังสือนิทาน
เฉินเหยาเพียงแค่เหลือบมองเขา ถึงกับก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ราวกับว่าลืมจุดประสงค์ที่มาเยือนที่นี่ของนางไปแล้ว
เซียวเฉวียนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยและพูดอย่างใจเย็น "พวกเจ้ามาล้อมจวนเซียวของข้า กะจะทำอะไรกันเนี่ย ? "
สำเนียงนี้ดูเป็นเรื่องปกติมาก สำหรับเซียวเฉวียนและผู้คนรอบข้างเขาที่คุ้นเคยกัน
แต่ฟังในหูของเฉินเหยา มันเหมือนกับน้ำแข็ง มันหนาวมากจนหัวใจและสัญชาตญาณของเฉินเหยาสะดุ้ง ร่างกายสั่นเทา ดวงตาส่อความเกรงกลัว แอบมองเซียวเฉวียนอย่างเงียบๆ
นางอยากจะย้อนหาแรงกล้าก่อนหน้านี้ ทวงคำอธิบายจากเซียวเฉวียน
แต่เมื่อนางเจอกับเซียวเฉวียน นางก็เสียทีท่าไปเลย
เวลาผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที ก็ยังไม่มีใครส่งเสียง
เซียวเฉวียนพูดต่อ “เป็นไง ไม่มีอะไรจะพูดหรือ ?”
ตอนนี้ เฉินเหยาก็รวบรวมความกล้าเพื่อตัวเอง เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ บอกเซียวเฉวียนทุกอย่างเกี่ยวกับหลินเฉิง
ตามที่เฉินเหยาวกล่าว ลูกหลานจากครอบครัวยากจนตอนนี้ไปโรงเรียนชิงหยวนร่วมกับลูกหลานจากครอบครัวชนชั้นสูง เด็กส่วนใหญ่จากครอบครัวยากจนมักอดทนต่อความยากลำบากและขยันเรียนหนังสือ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันไม่น้อยให้กับเด็กๆ จากครอบครัวชนชั้นสูง
การเรียนรู้ก็เหมือนการแล่นเรือทวนกระแส ไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลัง
เพื่อไม่ให้ล้าหลังศิษย์คนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มาจากครอบครัวยากจน หลังจากงานศพหลินฟ่าง เฉินเหยาก็ให้หลินเฉิงกลับไปที่ชิงหยวนเพื่อเรียนต่อ
หลินฟ่างตายไปแล้ว ในฐานะผู้สืบทอดจวนตระกูลหลิน หลินเฉิงมีภาระหน้าที่หนักหน่วงและยาวไกล จะหย่อนคลายไม่ได้แม้แต่น้อย
สิ่งที่เฉินเหยาไม่รู้ก็คือ ในวันที่เซียวเฉวียนตัดสิทธิ์การเรียนของหลินเฉิงต่อที่สาธารณะ เขาก็ส่งคนไปแจ้งให้หลินเฉิงทราบในทันทีแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประตูของโรงเรียนชิงหยวนจะไม่เปิดให้เขาอีกต่อไป และหลินเฉิงก็รู้เรื่องนี้
อาจเป็นเพราะการตายของหลินฟ่าง ทำให้หลินเฉิงเติบโตขึ้นและมีสติได้ในทันที เขาไม่ต้องการให้เฉินเหยาซึ่งเสียใจกับการสูญเสียสามีอยู่แล้วต้องมากังวลเกี่ยวกับเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นออกจากบ้านไปโรงเรียน
รอให้ผ่านไปสักพักก่อนค่อยบอกเฉินเหยาเรื่องนี้อีกที
แน่นอน เซียวเฉวียนคาดเดาเรื่องนี้จากปฏิกิริยาของเฉินเหยาและคำพูดของเจี้ยนจง
ส่วนเขาไปไหนมา ถ้าอยากรู้ ก็ต้องสืบ
แต่เซียวเฉวียนไม่คิดอยากจะสืบ
ถ้าใครคิดจะเอาเรื่องนี้มาหาเรื่องเซียวเฉวียน ก็ถือว่าไม่สำเร็จ
คนที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีการเคลื่อนไหวอีกอย่างแน่นอน
ที่เซียวเฉวียนต้องทำ คือรอให้คนที่อยู่เบื้องหลังออกหมัด
แต่ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่เซียวเฉวียนไม่เข้าใจ หากคนที่อยู่เบื้องหลังต้องการสร้างปัญหาให้กับเซียวเฉวียนโดยอาศัยเรื่องนี้ เขาก็ควรแน่ใจว่าหลินเฉิงได้ไปที่โรงเรียนชิงหยวนมาก่อน ค่อยดำเนินการขั้นต่อมาใช่ไหม ?
แต่เขาไม่ทำ มิเช่นนั้น คงไม่มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนั้นที่ว่าหลินเฉิงไม่ได้ไปที่โรงเรียนชิงหยวน
ด้วยมีช่องโหว่นี้ เพียงแค่สอบถามผู้คนในโรงเรียนชิงหยวนก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าการตายของหลินเฉิงไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนชิงหยวน และไม่เกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียน
คนที่อยู่เบื้องหลังไม่น่าโง่ถึงขนาดคิดไม่ถึงประเด็นนี้ใช่ไหม ?
เซียวเฉวียนคิดอยู่แล้ว รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้เพียงทางเดียว นั่นก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังจงใจทำเช่นนี้
แล้วจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาในการทำเช่นนี้คืออะไร ?
“เป็นไปได้ยังไง ลูกเฉิงบอกข้าด้วยตัวเขาเอง ว่าเขากลับไปที่โรงเรียนชิงหยวน แถมตอนที่เขากลับมา ข้าเห็นสีหน้าเขาไม่ดี ถึงกับแอบถามเด็กรับใช้ของเขาอย่างเงียบๆ และเด็กรับใช้บอกว่าเขาเหนื่อยมาจากการเรียนที่โรงเรียน”
เด็กรับใช้มีความซื่อสัตย์และจะไม่พูดโกหก
ในขณะนี้เอง เฉินเหยาส่งเสียงขัดจังหวะความคิดของเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าคุณนายหลินไม่เชื่อ ท่านสามารถไปโรงเรียนชิงหยวนและถามทุกคนได้ว่า พวกเขาเคยเห็นหลินเฉิงไหม”
เรื่องง่ายๆ แบบนี้ ถามทีก็รู้ ไม่จำเป็นต้องมาวุ่นวายที่นี่
แต่เฉินเหยากลับแย้งว่า "ท่านเป็นเจ้าของชิงหยวน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านที่จะพูด ทั้งครูและลูกศิษย์ ใครจะกล้าพูดขัดแย้งกับท่านล่ะ ? “
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...