คำพูดของจางจิ่นทำให้ฮ่องเต้พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำให้เหล่าขุนนางมีสีหน้าหมดอาลัยตายยาก
พวกขุนนางคิดว่า ฮ่องเต้ทรงเจาะจงเสนอจางจิ่น ยังไงจางจิ่นก็ต้องคล้อยตามสถานการณ์ไม่ว่าจะอะไรจะเกิดขึ้น เขาตอบกลับฮ่องเต้ด้วยถ้อยคำนิ่มนวลอย่างมีไหวพริบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเขาเอง
ใครจะรู้ว่าจางจิ่นคนที่เคยชอบต่อต้านฮ่องเต้คนก่อนนั้น บัดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักต์ฮ่องเต้กลับประพฤติตัวสงบเสงี่ยมเหมือนลูกแกะตัวหนึ่ง เขาคล้อยตามทุกอย่างที่ฮ่องเต้รับสั่ง
ถึงแม้ว่าเว่ยเชียนชิวจะตายไปแล้ว แต่จางจิ่นก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้นี่?
พวกขุนนางต่างก็อดไม่ได้ที่จะแอบจ้องมองจางจิ่นด้วยความเกลียดชัง ฮึ คงนึกว่าเขาทำตามพระประสงค์ทุกอย่างแล้วฮ่องเต้จะเห็นเขาเป็นพวกเดียวกันสินะ?
ฝันไปเถอะ
เซียวเฉวียนต่างหากที่เป็นคนอยู่ในใจของฮ่องเต้มาโดยตลอด
เมื่อถึงเวลาตำแหน่งอัครเสนาบดีตกเป็นของเซียวเฉวียนเมื่อไหร่ จางจิ่นไม่มีโอกาสได้ร้องให้ด้วยซ้ำ!
หึ่ม!
ช่างเป็นคนเขลาแยกแยะสถานการณ์ไม่ออกจริงๆ
ยิ่งอยู่นานยิ่งเลอะเลือน!
จางจิ่นรับรู้ได้ถึงศัตรูที่มาจากทุกสารทิศ เขารู้ว่ามีหลายคนแอบว่าเขาแยกแยะสถานณ์ไม่ออก แถมยังสาปแช่งเขาให้มีจุดจบไม่สวย
แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ
คนที่แยกแยะสถานการณ์ไม่ออกคือพวกเขา
คนที่จะมีจุดจบที่ไม่สวยก็คือพวกเขา
นับตั้งแต่วินาทีที่เขาเลือกอยู่ข้างฮ่องเต้ จางจิ่นก็วิเคราะห์สถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว
เซียวเฉวียนที่อยู่ด้านข้าง สองมือชุกอยู่ในแขนเสื้อ มองดูสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีสงบและไม่ฟุ้งซ่าน ฮ่องเต้และจางจิ่นร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
เมื่อพิจารณาจากท่าทางของจางจิ่นเมื่อกี้นี้แล้ว เซียวเฉวียนก็แน่ใจว่าจางจิ่นได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าฮ่องเต้จะมีการแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางเมื่อพระองค์ขึ้นว่าราชกิจในวันนี้
ต่อหน้าเซียวเฉวียนจางจิ่นแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ตาเฒ่าคนนี้ !
ด้วยความเฉลี่ยวฉลาดของจางจิ่น เป็นไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้เรื่องการตรวจสอบขุนนางเปลี่ยนเป็นปีละครั้งนั้นมีนัยยะสำคัญอะไรซ่อนอยู่
เห็นได้ชัดว่ามันมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้มีอำนาจเช่นพวกเขา
อันคำว่ารู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางนั้น แม้ว่าจางจิ่นจะเลือกจำนนต่อฮ่องเต้ แต่ในทางด้านผลประโยชน์เขาก็ยังต้องรักษามันไว้ และด้วยเขาเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมเยอะ เขาจะต้องคิดหาวิธีเพื่อขัดขวางไม่ให้ฮ่องเต้ทำแบบนี้ถึงจะถูก
ต้องการการสนับสนุนจากเขา เว้นเสียแต่ฮ่องเต้จะให้ผลประโยชน์อะไรดีๆ กับเขา
นอกจากตำแหน่งอัครเสนาบดีแล้วยังจะมีอะไรอีกหรือที่ทำให้จางจิ่นยอมจำนนได้ถึงขนาดนี้?
สิ่งที่จางจิ่นคาดหวังไว้เพียงสิ่งเดียวก็คือตำแหน่งอัครเสนาบดีเท่านั้น
มีเพียงตำแหน่งอัครเสนาบดีเท่านั้นที่นำพาความรุ่งโรจน์มาให้ มันคือเหตุผลที่ทำให้จางจิ่นละทิ้งอำนาจและผลประโยชน์ของครอบครัวแล้วยอมตกลงเลือกเดินเส้นทางเดียวกับฮ่องเต้
ขณะนี้การแต่งตั้งตำแหน่งของขุนนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ต่อจากนี้ฮ่องเต้จะมีพระราชโองการแต่งตั้งให้จางจิ่นเป็นอัครเสนาบดี
และผลเป็นไปตามที่เซียวเฉวียนคาดการณ์ไว้ ทันทีที่ความคิดของเซียวเฉวียนผุดมาในหัวของเขา ฮ่องเต้ก็กระแอมในลำคอและพูดว่า "ข้ายังมีเรื่องที่จะประกาศ"
พูดเสร็จ ฮ่องเต้ก็โบกมือให้ขันทีที่อยู่ข้างๆ ส่งสัญญาณให้ขันทีอ่านพระราชโองการต่อหน้าทุกคน
ขันทีน้อมรับคำสั่ง เขาเปิดพระราชโองการของฮ่องเต้ที่เขาถือไว้ในมือ ด้วยเสียงอันแหลมสูงและดังก้องไปทั่วพระตำหนัก: "ด้วยโองการแห่งสวรรค์ ฮ่องเต้มีพระราชโองการกล่าวถึงจางจิ่นอัครเสนาบดี ผู้มีความขยันหมั่นเพียร มีเมตตาและไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน มีความกล้าหาญและมีไหวพริบปฎิภานดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปราบปรามจลาจลที่รัฐมู่อวิ๋น ที่สร้างคุณูปการอย่างยิ่งใหญ่ จึงได้แต่งตั้งเลื่อนขั้นให้เป็นอัครเสนาบดี !”
การจะเลื่อนตำแหน่งให้กับจางจิ่นได้นั้นจะต้องมีเหตุผลที่สมเหตุสมผล และเหตุผลนั้นจะต้องเป็นที่ยอมรับของทุกคนด้วย
การปราบปรามจลาจลรัฐมู่อวิ๋นนั้นค่อนข้างมีความดีความชอบไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเฉวียนก็เป็นคนกล่าวต่อหน้าสาธารณชนว่าเขามีส่วนช่วยอย่างมากในการทำให้รัฐมู่อวิ๋นสงบลง
และในตอนนี้ฮ่องเต้ก็ได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้
จางจิ่นรอช่วงเวลานี้มานานเกินไปแล้ว!
เมื่อได้ยินดังนั้น จางจิ่นก็รีบคุกเข่าลงและแสดงความเคารพอย่างตื่นเต้นว่า "กระหม่อมขอขอบพระทัยฝ่าบาท !”
“ตื่นเต้นมาก เสียงของจางจิ่นอดไม่ได้ที่จะสั่นด้วยความตื่นเต้น
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้ได้ทรงแจ้งข่าวให้เขาทราบก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม ทันทีที่เขาได้ยินพระราชโองการของฮ่องเต้ด้วยหูของเขาเอง เขาก็ยังคงรู้สึกแตกต่างกันมาก
อ่า!
ในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึงแล้ว!
ในที่สุดเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว!
ในที่สุดเขาก็เป็นคนที่อยู่ใต้อำนาจคนแค่คนเดียวและได้อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นได้อย่างแท้จริงเสียที!
ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องมารยาทในพระตำหนักแล้วล่ะก็จางจิ่นคงจะหลั่งน้ำตาด้วยความตื่นตัน
ราวกับว่าเซียวเฉวียนไม่สนใจตำแหน่งอัครเสนาบดีเลย
นี่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเซียวเฉวียนและจางจิ่นต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งอัครเสนาบดี และเมื่อไหร่ที่พวกเขาเห็นหน้ากันทีไรต้องคอยขัดคอกันตลอด ราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
แล้วทำไมเซียวเฉวียนถึงดูไม่สนใจเลย?
นอกจากนี้ตำแหน่งอัครเสนาบดีนั้นอยู่ภายใต้อำนาจคนแค่คนเดียวแต่มีอำนาจอยู่เหนือคนนับหมื่น ใครล่ะจะไม่อยากได้อำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้?
แม้ว่าเซียวเฉวียนจะเป็นราชครู แต่เขาก็แค่ได้ชื่อเสียงกลับไม่มีอำนาจอะไรเลย แม้ว่าตำแหน่งราชครูจะยั่วยวน แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นหอมเท่ากับตำแหน่งอัครเสนาบดี
กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่ต้องการเป็นอัครเสนาบดี
เป็นไปได้ไหมที่เซียวเฉวียนยังตกใจกับข่าวนี้อย่างกะทันหันเลยยังไม่ได้สติ?
อื้ม เป็นเช่นนั้นแน่ๆ
พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องเตือนเซียวเฉวียนสักหน่อย ดังนั้นจึงมีขุนนางที่มีเจตนาไม่ดีเรียกเขาเบา ๆ“ใต้เท้าเซียว? ใต้เท้าเซียว? ”
ยังจะตลึงอยู่อีก ตำแหน่งอัครเสนาบดีของท่านโดนแย่งไปแล้ว
สิ่งที่ขุนนางคนนี้ไม่คาดคิดก็คือในเวลานี้เซียวเฉวียนเพียงแค่ยิ้มเบา ๆ แล้วหันไปหาจางจิ่นแล้วพูดอย่างดีใจว่า "ขอแสดงความยินดีด้วยใต้เท้าจางที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอัครเสนาบดี ช่างเป็นที่ปลื้มปิติของชาวต้าเว่ยจริง ๆ !"
อะไรนะ !
มีอะไรผิดพลาดหรึอ?
เซียวเฉวียนยังยิ้มออกได้อย่างไร?
ยังแสดงความยินดีต่อจางจิ่นอีก?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
นี่ไม่ใช่วิถีทางของเซียวเฉวียนเลยนี่!
การว่าราชกิจในเช้าวันนี้ทำให้เหล่าขุนนางยังสับสนกันอยู่
เหล่าขุนนางอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันด้วยความสับสน
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จางจิ่นก็ตอบด้วยรอยยิ้มว่า "ขอบคุณใต้เท้าเซียว ตาแก่อย่างข้ามีวันนี้ได้ต้องยกความดีให้กับใต้เท้าเซียว"
วันนี้จางจิ่นเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ตลอดที่ผ่านมาเจตนาของเซียวเฉวียนคือต้องการที่จะดึงเขาออกจากค่ายของเว่ยเชียนชิวเพื่อให้เขาได้ออกจากที่มืดมาอยู่ในที่ที่สว่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...