สำหรับจางจิ่น เซียวเฉวียนเปรียบเสมือนพ่อแม่ที่ทำให้เขาได้เกิดใหม่
ถ้าไม่ใช่เพราะเซียวเฉวียน จางจิ่นคงจะไปอยู่เป็นเพื่อนกับเว่ยเชียนชิวที่ยมโลกแล้ว
และเขาก็รู้ด้วยว่าเซียวเฉวียนตั้งใจเสียสละตำแหน่งอัครเสนาบดีให้เขา
ไม่เช่นนั้น จากที่ฮ่องเต้รักและไว้วางใจซียวเฉวียนขนาดนี้ ตำแหน่งอัครเสนาบดีต้องเป็นของเซียวเฉวียนอยู่แล้ว จะเป็นของของจางจิ่นได้อยางไร
หลังจากกลับจากจากมู่อวิ๋น เซียวเฉวียนยังยกความดีความชอบให้กับจางจิ่น เพื่อให้จางจิ่นมีคุณงานความดีในการเลื่อนขั้นตำแหน่งเป็นอัครเสนาบดี
ต้องบอกว่าเซียวเฉวียนเป็นคนที่มองการไกลจริงๆ !
ในเวลาเดียวกันจางจิ่นก็สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เขาไม่ได้หัวรั้นหลงผิดงมงายอย่างเสวียนจิ้งที่ยังคงเป็นปฏิปักษ์กับเซียวเฉวียน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่มีโอกาสมีชีวิตที่ดีได้เช่นนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีชีวิตที่ดีได้เลย จะมีชีวิตรอดอยู่ถึงวันไหมยังพูดยากเลย
เมื่อรู้ว่าจางจิ่นรู้สึกขอบคุณเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนก็ยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ใต้เท้าจางกล่าวชมเกินไป ที่ใต้เท้าจางมีวันนี้ได้ล้วนเป็นสิ่งที่ใต้เท้าจางเป็นคนเลือกเอง"
เซียวเฉวียนได้ช่วยเขาไว้จริง ๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในตอนที่เซียวเฉวียนยื่นมือมาดึงเขาและเขาก็ยินยอมที่จะยื่นมือออกมาให้เซียวเฉวียนดึง
เช่นเดียวกับเสวียนจิ้งในเวลานั้นเซียวเฉวียนก็คิดที่จะช่วยเขาไว้เช่นกัน แต่เขายืนกรานทำตามวิถีของตัวเองและผลักไสมือของเซียวเฉวียนที่ยื่นมาให้เขา
เมื่อพูดถึงอู๋จี้และหลินฟ่างเซียวเฉวียนก็อยากจะช่วยพวกเขาเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่พวกเขากับเสวียนจิ้งถูกครอบงำด้วยความโกรธและยืนกรานที่จะทำตามวิถีทางของตัวเอง
เพราะฉะนั้น ที่จางจิ่นสามารถมีวันนี้ได้นั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวของเขาเอง เขารู้จักประเมินสถานการณ์ รู้วิธีหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และรู้วิธียืดหยุ่นและไม่ดื้อรั้น
ยิ่งเซียวเฉวียนพูดแบบนี้ ใบหน้าที่แก่ชราของจางจิ่นก็ยิ่งดูไม่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาได้ทำกับเซียวเฉวียนเมื่อในอดีต
เขายิ่งใจกว้างแค่ไหนเขายิ่งรู้สึกละอายใจและรู้สึกผิดเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฮ่องเต้จึงไว้วางใจและให้ความสำคัญกับเซียวเฉวียนมากขนาดนี้ พระองค์ใช้ตำแหน่งราชครูเพื่อให้เขาอยู่ข้างกายโดยไม่ฟังคำคัดค้านของพวกขุนนาง
เซียวเฉวียนคู่ควรแล้วกับสิ่งที่ฮ่องเต้ทำแบบนั้น เขาเป็นคนที่มีความสามารถที่หายากมากจริงๆ
เขามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่จางจิ่นได้เห็นคนหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นเซียวเฉวียน
ไม่ได้พูดเกินความจริง ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงยุคสมัยนี้คนที่มีท่วงท่าอันสง่างามเช่นนี้ก็คงมีแค่เซียวเฉวียนคนเดียวเท่านั้น
ไม่สิ เรื่องอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่บรรพชนเจี้ยนจงของชาวคุนหลุนก็มาที่เมืองหลวงต้าเว่ยทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาและรีบคำนับเซียวเฉวียนให้เป็นผู้นำของพวกเขา
เซียวเฉวียนเป็นสิ่งที่คนจะเอามาเทียบได้เหรอ!
อย่างไรก็ตามในใจของจางจิ่นแล้วเซียวเฉวียนเปรียบเสมือนเทพเจ้าก็ไม่ปาน
เมื่อเขามองไปที่เซียวเฉวียน ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความเคารพและความชื่นชม
เซียวเฉวียนสัมผัสได้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ "เอาล่ะ จากนี้ต่อไปข้าก็จะมีแฟนตัวยงเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสินะ"
ในบรรดาแฟนตัวยงของเซียวเฉวียนแล้ว นอกเหนือจากบรรพชนเจี้ยนจงที่มีอายุพันปีแล้ว จะมีอีกคนที่มีอายุและมียศฐาตำแหน่งสูงนั้นก็คงเป็นจางจิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย
เห้อ
มีแฟนตัวยงที่อายุมากอย่างจางจิ่น เซียวเฉวียนก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
สิ่งที่เขาภาคภูมิใจก็คือการที่เขาได้ข้ามภพมาอยู่ในราชวงศ์ต้าเว่ย และเขาได้แฟนๆ เพิ่มขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน และฐานแฟนๆ ของเขาก็มีขนาดใหญ่มากโดยมิได้แบ่งแยกเพศชายหญิงคนชราหรือเด็ก
แต่สิ่งที่น่าอึดอัดก็คือ อายุที่แท้จริงของเขายังไม่ถึงสามสิบปีเลย และร่างกายนี้อายุก็แค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้น คุณไม่คิดว่าการที่ชายชราอย่างจางจิ่นมาเลื่อมใสศรัทธาเป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอวนใจหรอกหรือ?
อย่างไรก็ตาม และการปรองดองระหว่างพวกเขาสองคน ทำให้พวกขุนนางต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ของพวกเขา
ในตอนแรก พวกขุนนางยังคงรู้สึกว่าเซียวเฉวียนกำลังปกปิดความผิดหวังและไม่พอใจของเขา เขาจึงแสร้งทำเป็นแสดงความยินดีกับจางจิ่นเพื่อไม่ให้ถูกนินทาลับหลัง
แต่หลังจากที่ได้ฟังคำสนทนาระหว่างทั้งสองคนแล้ว พวกขุนนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป
แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากเชื่อว่ามันคือเรื่องจริงก็ตาม แต่พวกเขาไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะจากคำพูดของทั้งสองคนนั้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ โดยเฉพาะสิ่งที่จางจิ่นได้พูดออกมา
ถ้าข้าไม่กดดันพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าเบี้ยหวัดของต้าเว่ยนั้นเอาง่ายมากใช่ไหม
เมื่อเห็นว่าให้เวลาพวกเขามากพอแล้ว ฮ่องเต้ก็ปรับสีหน้าท่าทางและตรัสว่า "จากนี้ต่อไป ข้ายังมีเรื่องจะประกาศอีกเรื่องหนึ่ง"
ทันทีที่พูดจบ ทั้งพระตำหนักก็เงียบลงไม่มีแม้แต่เสียงนกเสียงกา
พวกขุนนางต่างก็ยืนด้วยสีหน้าเฝ้ารอและตั้งใจฟัง
ฮ่องเต่”ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าแอบสั่งการให้จ้าวหลาน ฉินหนาน และคนอื่น ๆ ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบพวกขุนนางท้องถิ่น ปราบปรามการทุจริต และตรวจสอบความเป็นอยู่ของราษฎร"
“เรื่องนี้ข้าคิดว่าพวกเจ้าทราบดีกันอยู่แล้ว”
ในตอนแรกอาจมีขุนนางหลายคนอาจไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
แต่เมื่อจ้าวหลานและคนอื่นๆ เข้าใกล้ใจกลางเมืองหลวงมากขึ้น ขุนนางที่พวกเขาตรวจสอบยิ่งอยู่ยิ่งมีตำแหน่งสูงขึ้น เรื่องนี้เลยทำให้เกิดความปั่นป่วนและแพร่กระจายออกไปถึงหูขุนนางในเมืองหลวง
ดังนั้นขุนนางที่ไม่ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่แรกก็มารู้เรื่องนี้ทีหลัง
ตั้งแต่เช้าตรู่ ฮ่องเต้ก็ได้ประกาศแต่งตั้งจิ้นซื่อเข้าดำรงตำแหน่งในท้องถิ่นที่ว่างลง พวกขุนนางก็ไม่มีข้อสงสัยหรือคัดค้านใด ๆ ฮ่องเต้จึงสรุปเรื่องนี้ว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี่ทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
บัดนี้ฮ่องเต้ทรงยกเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อที่จะปูทางสิ่งที่พระองค์จะรับสั่งในภายหลัง
ฮ่องเต้ตรัสต่อไปว่า "จากการตรวจสอบนี้จ้าวหลานและคนอื่นๆ ได้ลงโทษขุนนางท้องถิ่นจำนวนมากและได้คืนความสงบสุขให้กับราษฎร การปฎิบัติงานในครั้งนี้ถึงจะมีความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ได้แสดงถึงความฉลาดและความสามารถรอบรู้ของจ้าวหลานและคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี"
"เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาทุ่มเทกับการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อเพื่อความสุขของชาวต้าเว่ยของเรา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียความพยายามของพวกเขา และในขณะเดียวเพื่อเป็นกำลังใจให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเลื่อนขั้นให้กับพวกเขา ”
ถูกต้อง หลังจากที่ฮ่องเต้ตรัสมาขนาดนี้ พระองค์มีเพียงมีความตั้งใจเดียวเท่านั้น นั่นก็คือต้องการเลื่อนขั้นให้จ้าวหลานและคนอื่น ๆ
ใช้แล้ว พวกเขาทำเพื่อราชสำนัก ทำงานแทนราษฎร และมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลที่พวกเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...