ถึงแม้เจินฮ่าวจะกล้าหาญมีไหวพริบ แต่ก็ยังหนุ่มอ่อนต่อโลกอยู่
เจ้าผู้ครองรัฐพวกนั้นสามารถครอบครองรัฐๆหนึ่งได้ และมีการวางแผนที่จะก่อกบฏ แน่นอนว่ามีความมั่นใจอยู่มาก เตรียมพร้อมไว้อย่างครบถ้วนแล้ว
คนแก่มีประสบการณ์มาก ควรจะป้องกันไว้หน่อย ระวังไว้ก่อนจะดีกว่า
เจินฮ่าวรู้ว่าเซียวเฉวียนเป็นห่วงอะไร เขายิ้มและพูดว่า “ข้ารู้แล้ว พี่เซียวไม่ต้องเป็นห่วง ข้ามีวิธีการเอาตัวรอดอยู่แล้ว”
บนโลกนี้คนที่มีฝีมือเก่งกาจอย่างเซียวเฉวียนมีไม่กี่คน และจะสามารถเอาชนะเจินฮ่าวได้อย่างง่ายดาย ก็มีเพียงแค่มือปราบอย่างเซียวเฉวียนเท่านั้น
ต่อให้เจ้าผู้ครองรัฐเก่งกาจแค่ไหน ก็เก่งได้ไม่ถึงครึ่งของเซียวเฉวียน จะมาทำอันตรายต่อเจินฮ่าวง่ายๆได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าเจินฮ่าวไม่สามารถต้านทานคนจำนวนมากได้ เขายังมีวิชาตัวเบา ที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้
ได้ยินดังนั้น เซียวเฉวียนก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่จำไว้ว่า อย่าประมาท จะต้องระมัดระวังอยู่เสมอ”
ความปลอดภัยสำคัญที่สุด!
ตราบใดที่สิ่งพิ้นฐานยังคงอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการได้
เหตุผลเหล่านี้เจินฮ่าวเข้าใจดี เขาพยักหน้า และพูดว่า “พี่เซียวสบายใจได้”
พูดจบ เจินฮ่าวก็กลับไปที่ห้องเก็บของเล็กน้อย เตรียมพร้อมเดินทางไปรัฐมู่อวิ๋นทันที
ก็แค่นี้ เซียวเฉวียนได้ส่งคนสองคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่น่าเบื่อมากที่สุดไปแล้ว
ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกว่าในที่สุดก็มีความหวังต่ออะไรบ้างอย่าง
เวลาก็ดำเนินผ่านไป ชั่วพริบตาเดียว ก็เป็นวันที่สองแล้ว
ชือหลิวที่อยู่ในที่ห่างไกลกำลังอ่านจดหมายที่เซียวเฉวียนตอบกลับมา เธอพูดบ่นพึมพัม “บ้าเอ้ย ที่แท้วิชาส่งเสียงไกลมีข้อกำหนดที่เข้มงวดอย่างนี้ จะต้องเป็นคนที่มีพลังภายในที่แข็งแกร่งล้ำลึกถึงจะสามารถใช้ได้?”
เหอะเหอะเหอะ
การฝึกกำลังภายในยากลำบากที่สุด
แต่ว่า ในเมื่อเซียวเฉวียนให้เธอฝึกฝน ลำบากแค่ไหนก็ต้องฝึก
ต่อจากนี้ ชือหลิวจะเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกำลังภายในแล้ว
ถึงแม้ว่าหอเหลียนเซียงจะกลับมาเปิดกิจการแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อผ่านเรื่องที่กษัตริย์ทรงสวรรคต การค้าขายก็ไม่ค่อยดีเหมือนเมื่อก่อน
ในยุคนี้ หอเหลียนเซียงมีชื่อเสียงมากที่สุด หอเหลียนเซียงยังเป็นแบบนี้ แล้วโรงเหล้าที่อื่นๆก็คงจะแย่ยิ่งกว่า
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็ทำให้ชือหลิวมีเวลาได้ฝึกฝนกำลังภายใน
มองดูจดหมายที่ตอบกลับมา ชือหลิวก็รู้สึกไม่เข้าใจเซียวเฉวียนเหมือนกับเสวียนอวี๋ ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ให้เธอทำอะไร
แต่เธอรู้สึกว่าเซียวเฉวียนทำอะไรต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ดังนั้นชือหลิวเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เพียงแค่ค่อยแอบจับตาดูสถานการณ์ของซินเจียงต่อไป ถ้ามีอะไรผิดปกติก็รีบรายงานต่อเซียวเฉวียน
ในขณะเดียวกัน เหมิงเอ้าก็แอบเข้ามาในซินเจียงอย่างเงียบๆแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของซินเจียงแล้ว แต่หน้าตาของเขา ในสายตาของคนซินเจียงก็สามารถแยกแยะออกได้
ไม่เพียงเท่านั้น สำเนียงการพูดของเขาก็ไม่เหมือนกับคนซินเจียง
ด้วยเหตุนี้ทำให้เหมิงเอ้าไม่สามารถสืบข่าวเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของภูเขาหมิงเซียนได้อย่างเปิดเผย
คนและสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เหมิงเอ้าต้องป้องกันไว้ก่อนกลัวว่าคนที่ถามทางจะเป็นคนของนักปราชญ์ หรือเป็นคนของหมิงเจ๋อ
ถ้าเกิดโชคร้ายขึ้นมา พบเจอกับคนพวกนี้ ก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
ดังนั้น เหมิงเอ้ามาถึงหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง สอบถามทางไปที่ภูเขาหมิงเซียนจากชาวบ้านเหล่านั้น
ตอนนี้เหมิงเอ้าอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากภูเขาหมิงเซียนค่อนข้างมาก
คนในหมู่บ้านนี้อาศัยอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยออกไปไหนไกล จะไปรู้ได้อย่างไรว่าภูเขาหมิงเซียนอยู่ที่ไหน
เหมิงเอ้ายิ้มแย้มมีความสุขเข้าไปถามทาง แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
เขาจึงคิดว่าจะถามเซียวเฉวียน แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เขาจึงไม่ได้ถาม คิดหาวิธีด้วยตัวเอง
เหมิงเอ้าใช้ความคิด เขาจำได้ว่าเซียวเฉวียนเคยพูดว่า ตอนนั้นที่เซียวเฉวียนเดินทางไปหากษัตริย์แห่งซินเจียงเพื่อสืบข่าวของภูเขาหมิงเซียน ถ้าอย่างนั้น ภูเขาหมิงเซียนก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงแห่งซินเจียง
งั้นเหมิงเอ้าถามที่ตั้งของวังหลวงว่าอยู่ที่ไหน ก็น่าจะได้แล้วใช่ไหม?
ใช้เพื่อทำมาหากินหาเงิน หาห้องให้เหมิงเอ้าได้พักอาศัย มากน้อยก็อาจจะมีความเสียหายบ้างเล็กน้อย
ช่วยไม่ได้ เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้คน เหมิงเอ้าจึงต้องทำแบบนี้
ดังนั้น เหมิงเอ้าก็เริ่มสอบถามว่าหอเหลียนเซียงอยู่ที่ไหน
เนื่องจากหอเหลียนเซียงมีชื่อเสียงมาก หมู่บ้านใกล้เคียงต่างรู้จักดี
ดังนั้น ที่ตั้งของหอเหลียนเซียงหาได้ไม่ยาก
สุดท้าย เหม้าเอ้าก๊พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่หอเหลียนเซียง
เมื่อเห็นคนที่ดูแลหอเหลียนเซียงเป็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาสวยงาม เหมิงเอ้าถึงกับตกตะลึง
คนของซินเจียงและคนของต้าเว่ยช่างแตกต่างกันมากจริงๆ
ตอนอยู่ที่ต้าเว่ย เหมิงเอ้าไม่เคยเห็นผู้หญิงทำธุรกิจการค้า และยิ่งไม่เคยเห็นผู้หญิงที่เปิดเผยหน้าตา ติดต่อพูดคุยกับคนแปลกหน้าอย่างนี้มาก่อน
และไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเหมิงเอ้าได้เจอกับชือหลิวใจถึงเต้นแรงอย่างนี้ ตึกๆหัวใจเต้นไม่หยุด รู้สึกใบหน้าร้อนเล็กน้อย
น้ำเสียงที่พูดก็อ่อนลง “แม่นางเป็นผู้ดูแลที่นี่ใช่ไหม?”
แม้ว่าชือหลิวจะบอกไปแล้วว่านางเป็นคนดูแลหอเหลียนเซียง เหมิงเอ้าก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
นั้นเป็นเพราะว่าเขาเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงทำแบบนี้เป็นครั้งแรก
โลกใบนี้มีผู้หญิงสวยมากมาย แต่ทั้งสวยและเก่งด้วยนั้นมีไม่มาก
ชือหลิวเห็นผู้ชายตรงหน้าที่ตัวสูงร่างกายแข็งแรงหน้าแดง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ และพูดว่า “ทำไมเหรอ?เจ้าไม่เชื่อข้างั้นเหรอ?”
เหมิงเอ้ารีบยกมือขึ้นโบกไปมา “ไม่ ไม่ ข้าเชื่อ”
ชือหลิวมองประเมินดูท่าทางของเหมิงเอ้าเล็กน้อย และถามว่า “ท่านเป็นคนต้าเว่ย?”
“ใช่ ไม่ทราบว่าแม่นางรู้จักคุณชายมู่จิ่นหรือไม่?” ถึงแม้นางจะบอกว่าใช่ แต่เหมิงเอ้าก็ต้องลองพิสูจน์ฐานะของนางดูก่อน
ชือหลิวยิ้มและพูดว่า “ข้ารู้จัก ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...