นักปราชญ์เฝ้ารอเสวียนอวี๋ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ราวกับเสวียนอวี๋เป็นคนขุดหลุมศพบรรพบุรุษของเขาขึ้นมา
ในทางกลับกัน ใบหน้าของเสวียนอวี๋กลับเฉยเมย ปล่อยให้นักปราชญ์สาปแช่งตามใจชอบ
เขาอยากสาปแช่งก็ให้เขาสาปแช่งไป อยากจะจ้องก็ให้ต้องไป ยังไงก็ทำอะไรเสวียนอวี๋ไม่ได้อยู่แล้ว
ให้นักปราชญ์โกรธจนตายไปได้ยิ่งดี!
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่แยแสของเสวียนอวี๋ ความโกรธของนักปราชญ์ก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดทันที
บ้าที่สุด!
เป็นเหมือนสุภาษิตที่ว่า คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผลเสียจริง!
เสวียนอวี๋ไม่ใช่คนหน้าด้านมาก่อน แต่เป็นเพราะเขาติดตามเซียวเฉวียน เขาถึงได้รับอิทธิพลมาจากเซียวเฉวียน
ฮ่าๆ!
ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว เขาได้รับอิทธิพลมาจากเซียวเฉวียน
นักปราชญ์โกรธจนมีสภาพเช่นนี้ เซียวเฉวียนจะต้องมีความสุขมากเป็นแน่
เขาเองก็คิดไม่ถึง การพาเสวียนอวี๋มาด้วยจะมีประโยชน์เช่นนี้
ยอดเยี่ยม!
ชายชราผู้นี้อ้างว่าตนเองคือตัวแทนแห่งเทียนเต๋า ใช้ชีวิตอย่างโอหังและเย่อหยิ่งมาเป็นเวลาหลายสิบปี กดขี่ข่มเหงผู้คนมานาน ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาถูกฝังอยู่ในดิน และถูกลูกศิษย์ที่ตนเองสอนมากับมือทำให้โกรธจนมีสภาพเช่นนี้
ความโกรธครั้งนี้ นักปราชญ์จะกล้ำกลืนมันลงไปได้อย่างไร?
แต่หากเขากล้ำกลืนมันลงไปไม่ได้ เขาจะทำอย่างไร?
เสวียนอวี๋ไม่ใช่มดที่เขาสามารถบดขยี้ได้เพียงเพราะขยับนิ้ว
แม้จะกล้ำกลืนไม่ได้ ต่อให้ตายนักปราชญ์ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนมัน!
เห็นใบหน้าที่น่าเกลียดราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปของนักปราชญ์ มุมปากของเซียวเฉวียนก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเยือกเย็น
เสวียนอวี๋ไม่ตอบโต้นักปราชญ์ นั่นมันก็เป็นเรื่องของเสวียนอวี๋
เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า ตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ!
ตอนนี้เสวียนอวี๋เป็นคนของจวนเซียว เซียวเฉวียนจะต้องปกป้องเขา ไม่ยอมให้ใครกล่าวหาเขาแม้แต่ครึ่งประโยค
เซียวเฉวียนยิ้มอย่างเยือกเย็น “นักปราชญ์ จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้ ท่านบอกว่าเสวียนอวี๋ลืมบุญคุณ เช่นนั้นสิ่งที่ท่านต้องทำกับเขาควรจะเป็นความดีถึงจะถูก!”
หากเสวียนอวี๋ไร้ซึ่งความสามารถถึงเพียงนั้น นักปราชญ์จะเห็นคุณค่าและเก็บเขาไว้ข้างกายหรือไม่?
เป็นไปไม่ได้!
อย่าว่าแต่เก็บไว้ข้างกายเลย เกรงว่าแค่มองยังไม่ชายตามองเลยด้วยซ้ำ
นอกจากนั้น การที่เสวียนอวี๋อยู่ข้างกายของนักปราชญ์ สุดท้ายแล้วนักปราชญ์เป็นฝ่ายที่ทุ่มเทมากกว่า หรือเสวียนอวี๋เป็นฝ่ายที่ทุ่มเทมากกว่า เรื่องนี้นักปราชญ์รู้ดีอยู่แก่ใจ!
ในสายตาของนักปราชญ์ เสวียนอวี๋ก็เป็นเพียงแค่อาวุธในมือข้างหนึ่งของเขาเท่านั้น!
เนื่องจากใช้ง่ายจึงเก็บไว้ข้างกาย จึงมองสถานะความเป็นลูกศิษย์ให้กับเขา
อาจารย์ก็เหมือนกับพ่อ!
หากเดาไม่ผิด นักปราชญ์ต้องการใช้สิ่งนี้ในการมัดตัวเสวียนอวี๋ไว้ทางศีลธรรม
แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยก็คือ แม้ว่าเสวียนอวี๋ยังเด็ก แต่ก็มีมุมมองและความเข้าใจเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้เสวียนอวี๋ไม่ได้รับผลกระทบจากเขาเลยแม้แต่น้อย
ต่อมาเขาก็ได้พบกับเซียวเฉวียน!
เซียวเฉวียนเปิดเผยสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักปราชญ์ ทำให้ภาพลวงตาสุดท้ายของนักปราชญ์ที่เหลืออยู่ในสมองของเสวียนอวี๋ได้พังทลายลง
การที่เสวียนอวี๋ซึ่งเป็นคนมองโลกอย่างรอบด้านล้มเลิกที่จะติดตามนักปราชญ์ เรื่องนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล
แทนที่จะโทษผู้อื่นที่ทรยศต่อตนเอง เหตุใดจึงไม่ลองทบทวนตัวเองให้ดีว่าเหตุผลผู้อื่นจึงทรยศต่อตนเองมากถึงเพียงนี้?
มีชีวิตมาหลายสิบปี ยังไม่เข้าใจในชีวิตอีกอย่างนั้นหรือ!
มีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี ถูกเด็กหนุ่มอย่างเซียวเฉวียนสั่งสอน สำหรับนักปราชญ์แล้ว มันคือความอัปยศอันยิ่งใหญ่!
นักปราชญ์หันมามองเซียวเฉวียนด้วยความโกรธ
หากสายตาสามารถสังหารคนได้ ร่างกายของเซียวเฉวียนคงสูญสลายไปนานแล้ว!
แต่น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้!
นักปราชญ์ตะโกนใส่เซียวเฉวียนด้วยความโกรธ “เซียวเฉวียน! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้กับข้า! เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาพูดเช่นนี้กับข้า!”
ข้าเป็นถึงตัวแทนแห่งเทียนเต๋า!
นักปราชญ์ในเวลานี้เหมือนกับเสือร้ายที่ร่างกายพลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธ จ้องมองไปที่เซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋ด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว
รอยยิ้มอันเยือกเย็นของเซียวเฉวียน ในสายตาของนักปราชญ์มันคือการดูถูกและเย้ยหยัน
นอกจากคำพูดประโยคนี้ นักปราชญ์ก็ไม่มีอะไรจะถามเซียวเฉวียนอีกแล้ว
นักปราชญ์ใช้แรงถีบไปที่เสวียนอวี๋อีกครั้ง ไม่สนใจว่าจะถีบโดนเสวียนอวี๋หรือไม่ ร่างกายของเขาราวกับสายลม พุ่งตัวออกไป หายไปจากตรงนั้นชั่วพริบตา
แม้แต่ดาบก็ไม่สนใจ
และลูกถีบของนักปราชญ์ก็โดนเสวียนอวี๋เข้าอย่างจัง
ตอนแรก หากนักปราชญ์ยังไม่หนีไป เขาก็สามารถพบข้อบกพร่องได้ในทันที รู้ว่าเสวียนอวี๋ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ขอแค่นักปราชญ์ยืนหยัดให้นานกว่านี้สักเล็กน้อย เสวียนอวี๋ก็จะพ่ายแพ้ไปเอง
ทันทีที่นักปราชญ์จากไป ความตื่นตระหนกและตึงเครียดของเสวียนอวี๋ก็บางลงทันที เขากระอักเลือกออกมาจากปาก
ที่จริงเขาได้รับบาดเจ็บจากภายใน แต่เขาอดทนกับมันมาโดยตลอด และไม่ได้เปิดเผยมันออกมา
เซียวเฉวียนไม่เพียงแต่จะมองออกเท่านั้น แต่เขายังรู้อีกด้วยว่าเสวียนอวี๋ได้รับบาดเจ็บไม่เบา
ตอนแรกที่เซียวเฉวียนไม่ได้เข้าไปยุ่ง นั่นก็เพราะว่าเขาอยากเห็นว่าวรยุทธ์ของนักปราชญ์ไปถึงขั้นไหนแล้ว
แต่เมื่อเสวียนอวี๋ได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน ไม่สามารถปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปได้มากกว่านี้แล้ว
ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของเสวียนอวี๋
ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงจงใจไม่เข้าร่วมการต่อสู้ มอบความรู้สึกอันจอมปลอมให้กับนักปราชญ์ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวเฉวียนและเสวียนอวี๋ และเปิดโอกาสให้เขาหลบหนีไป
ให้นักปราชญ์หลบหนี ทั้งหมดก็เพื่อเอาเวลามาทำการรักษาและช่วยเหลือเสวียนอวี๋
ทันทีที่นักปราชญ์จากไป เซียวเฉวียนก็ก้าวออกมาด้านหน้าเพื่อพยุงร่างของเสวียนอวี๋ และรักษาให้กับเขาทันที
ระหว่างทำการรักษา สีหน้าของเสวียนอวี๋ซีดขาว คร่ำครวญออกมาเป็นครั้งคราว
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้เลยว่า เสวียนอวี๋เจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงความเจ็บปวดนั้นออกมา
เซียวเฉวียนทำการรักษาให้กับเขาพร้อมกับกล่าวว่า “เสวียนอวี๋ อดทนไว้”
นักปราชญ์ได้ทำการฝึกวิชาชั่วร้ายบนภูเขาจงหนานมาแล้วกว่าหนึ่งเดือน วรยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นมาก กังฟูของเขาเต็มไปด้วยความครอบงำ
นี่คือสิ่งที่เซียวเฉวียนคาดไม่ถึง หากเซียวเฉวียนสัมผัสได้ตั้งแต่แรก เขาไม่มีทางปล่อยให้เสวียนอวี๋ออกไปเผชิญหน้า และไม่มีทางปล่อยให้เสวียนอวี๋ต้องพบเจอกับอันตรายเช่นนี้
เสวียนอวี๋ได้ยินเสียงของเซียวเฉวียนอย่างแผ่วเบา เขาตอบรับออกมาด้วยสัญชาตญาณ “อื้อท่านอาเซียว ข้าจะอดทนให้ถึงที่สุด”
ยังสามารถพูดออกมาได้ นั่นแสดงว่าเสวียนอวี๋ยังมีสติอยู่ ความกังวลของเขาผ่อนคลายลงไปมาก เขาใส่พลังภายในเข้าไปในร่างกายของเสวียนอวี๋อย่างต่อเนื่อง หวังว่าจะสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเสวียนอวี๋ให้เร็วที่สุด
ลมปราณของเซียวเฉวียนไหลเข้าสู่ร่างกายของเสวียนอวี๋อย่างต่อเนื่อง ทำให้เสวียนอวี๋สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อน เขารู้สึกสบายและผ่อนคลายไปทั่วร่างกาย ใบหน้าที่ซีดขาวของเขาค่อยๆ มีสีสันมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...