นอกจากคนที่เคยเห็นเขามาเป็นประจำ ไม่มีใครจำเขาได้เลย
คำพูดนี้
ทำให้ เสวียนจิ้งรู้สึกไม่สบายใจ
ทุกคนล้วนรักความสวยงาม
แม้แต่ผู้ชายก็อยากเป็นชายหนุ่มรูปงาม
ไม่อยากผิวดำ หน้าตาไม่น่ามอง
แต่ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ กลับสะดวกสำหรับเขาที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ข้างนอก
ช่างเป็นเรื่องที่ทั้งสุขและเศร้า
ดังนั้นเสวียนจิ้งนอกจากจะเป็นลูกศิษย์ของนักปราชญ์แล้ว ยังต้องทำงานเป็นคนรับใช้ของนักปราชญ์ ดูแลเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัย
แต่ก่อนมีแต่คนดูแลเขา แต่ตอนนี้เขาต้องดูแลคนอื่น
ช่างน่าเศร้าเสียจริง!
ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ เสวียนจิ้ง ไม่เคยทำอาหารมาก่อน อาหารที่เขาทำออกมา ไม่ต้องพูดถึงคนกิน แม้แต่สุนัขก็ยังไม่อยากมอง
เดิมทีคิดว่ามี เสวียนจิ้ง อยู่ นักปราชญ์จะได้กินอาหารร้อนๆ ไม่ต้องออกไปหาอาหารเอง
อาหารร้อนก็จริง แต่ดูจากสภาพที่ไหม้เกรียม นักบุญไม่อยากมองดูเป็นครั้งที่สอง พูดตรงๆ ว่า “เอาออกไป! มันทำให้ข้ารำคาญตา”
นักปราชญ์มีชีวิตมานานขนาดนี้ เพิ่งเคยเห็นคนทำอาหารได้ขนาดนี้
เสวียนจิ้ง รู้ดีว่าอาหารแบบนี้ย่อมถูกนักปราชญ์รังเกียจ
ไม่ต้องพูดถึงนักปราชญ์ แม้แต่ เสวียนจิ้ง เองก็ยังรู้สึกน่ากลัว
แต่เนื้อนี่เขาซื้อมาจากไกล ใช้เวลานานกว่าจะทำเสร็จ นักปราชญ์ไม่ลองชิมสักคำ ไม่ให้เกียรติเลย
อีกอย่าง วัตถุดิบที่เขาซื้อมาหมดแล้ว
นักปราชญ์ไม่กินอันนี้ ก็ไม่มีอะไรกินแล้ว
และตอนนี้เลยเที่ยงวันแล้ว คิดจะซื้อวัตถุดิบใหม่ก็ไม่มีขายแล้ว
เสวียนจิ้ง รวบรวมความกล้า พูดเสียงอ่อยว่า “อาจารย์ขอรับ ทานอะไรนิดหน่อยก่อนไหมขอรับ?”
นักปราชญ์จ้องเขม็ง “เจ้าให้ข้ากินนี่เหรอ?”
ลองชิมด้วยตัวเองก่อน!
ถ้าเจ้ากินได้ ข้าถือว่าข้าแพ้!
เมื่อได้ยินดังนั้นเสวียนจิ้งรู้สึกอึดอัด เอาเนื้อหนึ่งชิ้นใส่ปาก
ทันทีที่ใส่เข้าไป เสวียนจิ้ง อดรนทนไม่ไหว อาเจียนออกมา รีบขอโทษนักปราชญ์ว่า “ขอโทษครับอาจารย์ ลูกศิษย์จะเอาสิ่งนี้ไปทิ้ง”
ดังนั้น มื้อนี้จึงไม่มีกับข้าว
เดิมที เสวียนจิ้ง ยังซื้อไก่ตัวเป็นๆ กลับมา เลี้ยงไว้ข้างๆ บ้าน เขาคิดว่าจะฆ่าและต้มกินในคืนนี้
นั่นคือ หมายความว่านักปราชญ์ยังมีโอกาสได้กินเนื้อ
แต่กว่าจะฆ่าไก่ ต้มจนสุก คงจะเลยเวลาอาหารกลางวันไปแล้ว นักปราชญ์คงรอไม่ไหว
แต่ไม่ว่าจะรอไม่รอ ก็ต้องถาม เสวียนจิ้ง พูดอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์ขอรับ ยังมีไก่ตัวเป็นๆ อยู่อีกตัวขอรับ”
นักปราชญ์รู้ว่า เสวียนจิ้งต้องการพูดอะไร เขาจึงรีบห้ามไว้ว่า "พอแล้ว ไว้พูดตอนเย็นเถอะ มื้อนี้กินข้าวเปล่ากันก่อน"
ทนกินไปมื้อนึง
การรับลูกศิษย์ที่สุขสบายมาตั้งแต่เด็กก็มีข้อเสียตรงนี้ นั่นคือทำอาหารไม่เป็น!
เดิมทีนักปราชญ์คิดว่ากินข้าวเปล่าเป็นอะไรที่แย่ที่สุดแล้ว เขาไม่คาดคิดเลยว่า ยังมีอะไรที่แย่กว่านั้นรอเขาอยู่
ต่อหน้า เสวียนจิ้งชายหนุ่มที่สุขสบายมาตั้งแต่เด็ก นักปราชญ์ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกินข้าวเปล่า
ทันใดนั้น เสวียนจิ้งก็เปิดฝาหม้อ เขาเองก็ตกใจ
ตอนที่เขาใส่หม้อ ข้าวเป็นสีขาว ตอนที่เขาต้มไปครึ่งทาง เขายังดูอยู่ ข้าวยังเป็นสีขาว แต่ตอนนี้ทำไมมันถึงกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้?
ยังมีกลิ่นไหม้ที่รุนแรงมาก
เขาคิดอยู่แล้วว่า ตอนที่เขาทำอาหารทำไมเขาถึงได้กลิ่นไหม้ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นกลิ่นจากผักและเนื้อที่ไหม้ แต่เดิมข้าวก็ไหม้เช่นกัน
นักปราชญ์มอง เสวียนจิ้งด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน ดวงตาของเขาฉายแววมรณะ
ถ้าไม่ใช่เพราะ เสวียนจิ้งเป็นลูกศิษย์ของเขา นักปราชญ์คงบีบคอเขาตายแล้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...