เขาเป็นเถ้าแก่ของหอปี๋เซิ่งและบ่อนพนัน แน่นอนว่าเป็นจะต้องไปที่นั่น
คำพูดนี้ไม่ต้องรอให้เซียวเฉวียนพูด อี้กุยก็รู้
แต่ว่า อี้กุยรู้สึกว่าเซียวเฉวียนทำไมถึงยุ่งขนาดนั้น?
เพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน ก็จะต้องจากเมืองหลวงไปอีกแล้ว
อยากจะเจอหน้าเซียวเฉวียนทำไมถึงได้ยากลำบากขนาดนี้
เห็นท่าทีที่ไม่อยากจะให้เซียวเฉวียนจากไปของอี้กุยแล้ว เซียวเฉวียนก็ทนไม่ได้ถอนหายใจออกมาและพูดว่า “อี้กุยเจ้าเด็กคนนี้ ต่อหน้าคนอื่นดูเย็นชา ทำให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นคนรักอิสระ เป็นคนเด็ดเดี่ยว แต่พอเป็นเรื่องของเซียวเฉวียน ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นคนชอบตามติดเขาอย่างนี้นะ?”
มันดูไม่สอดคล้องกับบุคลิกของเขาอย่างมาก
ช่างเถอะ เขาเห็นเซียวเฉวียนเป็นเหมือนญาติสนิทผู้อาวุธโสของเขา
เซียวเฉวียนเพียงแค่พูดเอาใจเขาว่า “รอให้ท่านปู่น้อยจัดการเรื่องให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็จะอยู่ที่เมืองหลวงไปนานๆ พวกเราจะได้มีโอกาสได้เจอกันทุกวัน”
ถึงแม้ว่าอี้กุยจะไม่รู้ว่าจะต้องรอวันนั้นไปถึงเมื่อไร แต่เซียวเฉวียนมีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ เขาจะต้องไปจากเมืองหลวง เรื่องนี้ทำอะไรไม่ได้
ดังนั้น อี้กุยก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงแค่พูดว่า “ขอให้ท่านปู่น้อยระมัดระวังความปลอดภัยด้วย จัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อยก็รีบกลับมาเร็วๆ”
เซียวเฉวียนยิ้มและพูดว่า “แน่นอน”
แต่ว่า รอให้เขาจัดการทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ฮ่าฮ่าฮ่า
รอให้เขาจัดการทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาไม่คิดที่จะอยู่ที่เมืองหลวง ที่ๆเป็นศูนย์กลางทางการเมือง
เขาต้องการพาทุกคนหลีกหนีจากโลกที่วุ่นวายนี้ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายสันโดษ
คิดถึงคำพูดของเถ๋าหยวนประโยคนั้นว่า ละทิ้งความวุ่นวายไว้ ตามหาโลกที่มีอิสระและสงบสุข เซียวเฉวียนรู้สึกว่าชีวิตอย่างนี้มีความสุขอย่างที่สุดจริงๆ
แน่นอน ความคิดของเขา ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกอี้กุยได้ ถ้าอี้กุยรู้ว่า วันหนึ่งเซียวเฉวียนจะทิ้งเขาและหนีไปอยู่อย่างอิสระโดดเดี่ยว ไม่สามารถตามติดเซียวเฉวียนได้ทุกฝีก้าวอีก?
มันไม่มีประโยชน์อะไร?
เซียวเฉวียนตอบว่า “อื้ม ได้สิ ไม่ต้องกังวลไป เจ้าก็ต้องดูแลตัวเองด้วย”
ร่างกายแข็งแรงก็จะหาเงินได้มากมาย อย่างนี้อี้กุยถึงจะยิ่งช่วยหาเงินให้กับเซียวเฉวียนมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกันจบแล้ว เซียวเฉวียนก็จากไป
。
อี้กุยมองไปยังทิศทางที่เซียวเฉวียนจากไป ยืนมองอยู่เป็นเวลานาน
ครั้งนี้ได้เจอกับเซียวเฉวียน ในใจรู้สึกว่ามีอะไรบ้างอย่างผิดปกติ ไม่รู้ว่าทำไม เขารู้สึกว่าในไม่ช้าเซียวเฉวียนจะต้องจากเขาไป
พูดตามจริง การไปจากเมืองหลวง หนีห่างจากความวุ่นวาย
มันน่าแปลกอย่างมาก อี้กุยรู้สึกว่าความรู้สึกอย่างนี้มันแปลกมาก
คิดไปคิดมา อี้กุยก็สะบัดหัวของตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองต้องมีอะไรบ้างอย่างผิดปกติ
เซียวเฉวียนยังไงก็คือเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนจะอยู่ที่เมืองหลวง หรือว่าเซียวเฉวียนจะไม่อยู่ที่เมืองหลวงหรือจะไปที่ไหนก็ได้
และอีกอย่าง หอปี๋เซิ่งและบ่อนพนันที่ใหญ่โต เป็นสถานที่ที่ทำเงินให้เซียวเฉวียนได้มากที่สุด ก็อยู่ที่เมืองหลวง เขาจะไปไหนได้?
ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเฉวียนผ่านความยากลำบากมามากมายกว่าจะมาถึงวันนี้ อี้กุยก็รู้และเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้ว
ทั้งหมดมันไม่ง่ายเลย เซียวเฉวียนจะพูดว่าทิ้งแล้วจะทิ้งไปง่ายๆอย่างนั้นเหรอ?
อื้ม เขาคงคิดมากไปเองแน่ๆ
หลังจากอี้กุยคิดได้อย่างนั้นแล้ว ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
และก่อนที่เซียวเฉวียนจะเดินถึงหน้าประตูของจวนเซียว ยังไม่ทันจะเดินเข้าไป เขาก็รู้สึกว่ามีคนอยู่รอบข้าง เขาก็พูดถามขึ้นว่า “ใคร!”
พูดจบ ชิงหลงก็ออกมาปรากฏตัวตรงหน้าของเซียวเฉวียน
ชิงหลงยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไรสามารถปิดบังใต้เท้าเซียวได้จริงๆ”
เขาพยายามที่จะหลบซ่อนตัวอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังถูกเซียวเฉวียนจับได้อยู่ดี
อยู่ดีๆเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา ชิงหลงคิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเซียวเฉวียน
เท่าที่ชิงหลงรู้ ก็มีเพียงเซียวเฉวียคนเดียวที่เป็นห่วงความเป็นอยู่ของทาสคุนหลุน
จากนั้น เขาก็ติดตามทาสคุนหลุน สอบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และได้รับรู้ว่าเซียวเฉวียนเป็นคนต่อสู้เพื่อพวกเขา ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ออกไปจากอันหยวน
ในเวลานื้ เซียวเฉวียนทำให้ทาสคุนหลุนได้ออกไปจากอันหยวนแล้ว แสดงว่าที่อันหยวนจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ดังนั้น ชิงหลงจึงไปที่อันหยวนมาแล้ว เขาคิดว่าอาจจะได้เจอเซียวเฉวียนอยู่ที่อันหยวน
คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ชิงหลงไปที่อันหยวนแล้ว ไม่ได้เจอเซียวเฉวียน แต่มองเห็นนักปราชญ์และเสวียนจิ้งอยู่ไกลๆ
แต่ว่า ทั้งสองคนไม่เห็นชิงหลง ใช้โอกาสตอนที่ชิงหลงยังไม่ได้เข้าไปใกล้ ทั้งสองคนก็รีบหลบหนีไปก่อน
ชิงหลงคิดว่า ในเมื่อเซียวเฉวียนมาที่อันหยวนแล้ว มีโอกาสสูงที่อาจจะกลับไปที่เมืองหลวง
ในเมื่อชิงหลงรู้อย่างนั้นแล้ว เซียวเฉวียนเป็นสามีที่ดีคนหนึ่ง ครั้งนี้เขาจากเมืองหลวงไปเป็นเวลานานแล้ว ในเมื่อเขาออกจากซินเจียงมาแล้ว เขาจะต้องหาเวลากลับมาที่เมืองหลวงเพื่อมาหาภรรยาของเขา
อย่างไรก็ตามนานแล้วที่ชิงหลงไม่ได้กินอาหารของหอปี๋เซิ่ง ก็มุ่งหน้าเดินทางมาที่เมืองหลวง และก็จะได้บอกคราวข่าวเรื่องของนักปราชญ์กับเซียวเฉวียนด้วย
คาดไม่ถึงว่า หอปี๋เซิ่งกำลังอยู่ในช่วงการปิดปรับปรุงสร้างใหม่
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เซียวเฉวียนเพิ่งจะออกจากหอปี๋เซิ่งไปได้ไม่นาน ชิงหลงก็ไปถึงที่หอปี๋เซิ่ง หลังจากนั้นเปลี่ยนไปที่จวนเซียว ถึงจะได้เจอกับเซียวเฉวียน
เมื่อได้ยินดังนั้น เซียวเฉวียนก็ตกใจอ้างปากค้าง เป็นถึงเจ้าชายของคุนหลุน ก็เป็นนักชิมอีกด้วย ชอบคิดถึงอาหารของหอปี๋เซิ่งด้วย
เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า ประชาชนทุกคนเห็นอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
ไม่ว่าจะมีตำแหน่งที่สูงส่งแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่สามารถอดใจต่ออาหารที่แสนอร่อยได้
เมื่อพูดถึงหอปี๋เซิ่ง ชิงหลงก็แปลกใจและพูดว่า “ใต้เท้าเซียว หอปี๋เซิ่งถูกเผาตั้งแต่เมื่อไร?”
ถึงแม้ว่ากำลังก่อสร้างใหม่ แต่ชิงหลงก็มองออกว่ามีร่องรอยของการเคยโดนเผามาก่อน ดินโคลนที่อยู่ข้างๆเป็นสีดำไปหมด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นแววตาของเซียวก็เยือกเย็นขึ้นมาทันที
มีประโยคหนึ่งที่พูดว่า คนลำบากทำงานหนัก แต่โดนขัดขวางการทำมาหากิน ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ร้ายแรงอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...