ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1796

หลังจากนั่งลง เถ้าแก่ก็รู้สึกไม่สบายตัวเหมือนนั่งอยู่บนเข็มหมุด

เขาไม่รู้ว่ามีเรื่องสำคัญอะไรเซียวเฉวียนถึงได้เกรงใจขนาดนี้

ใช้คำว่าปรึกษาหารือยังต้องให้เขานั่งลงเพื่อปรึกษาหารือหรือ

หรือว่ามีเรื่องสำคัญอะไรที่เถ้าแก่ช่วยได้งั้นหรือ?

แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว เถ้าแก่ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถช่วยได้เลย

เขาเป็นเพียงแค่เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ นอกจากนั้นเขาก็ทำอะไรไม่เป็นเลย

เขาไม่เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊

เพื่อที่จะรีบหนีจากคนที่ทำบรรยากาศน่ากลัวเช่นนี้ให้โดยเร็วที่สุด เถ้าแก่ก็ต้องกัดฟันแล้วถามว่า "ไม่ทราบว่าใต้เท้าเซียวหาข้าน้อยด้วยเหตุอันใดหรือ?"

ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ หากมีเรื่องอันใดท่านสามารถบอกมาได้เลย ท่านก็ไม่ยอม ยังไงก็จะให้นั่งก่อนแล้วค่อยฟังสิ่งที่ท่านพูด แล้วยังให้ข้าน้อยนั่งข้าง ๆ ท่านอีก

ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าน้อยรู้สึกประหม่ามากแค่ไหน?

เวลาที่ข้าน้อยตื่นเต้น คำพูดก็จะตะกุกตะกัก

ดูออกว่าเขาดูประหม่ามาก

เพื่อให้เถ้าแก่รู้สึกผ่อนคลาย เซียวเฉวียนพูดอย่างใจเย็นว่า “เถ้าแก่ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเล็ก แต่เซียวเฉวียนรู้สึกว่าเจ้าสามารถทำมันได้”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เซียวเฉวียนพูด เถ้าแก่ร้านก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เขาถามอย่างสงสัย "ใต้เท้าเซียวเชิญท่าวพูดเถิด?"

เซียวเฉวียนจิบชาแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า "ออกจากโรงเตี้ยมแล้วเลี้ยวขวาจากนั้นเดินตรงไปข้างหน้าประมาณห้ากิโลเมตร บริเวณรอบ ๆ ตรงนั้นมีทุ่งนาและเนินเขามากมาย"

เมื้อเถ้าแก่ได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าน้อยรู้จักสถานที่ตรงนั้น มันเรียกว่าเนินเขาชิว”

แต่ว่า เนินเขาเชินมันทำไมรึ?

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซียวเฉวียนก็พูดต่อว่า "เรื่องมันเป็นเช่นนี้ ทางราชสำนักวางแผนที่จะสร้างโรงเรียนที่นี่และจำเป็นต้องหาสถานที่ที่เหมาะสม"

“ข้ารู้สึกว่าเนินเขาชิวตรงนั้นเหมาะสมที่สุด”

แน่นอนมันคือสถานที่ดีเลยทีเดียว ว่าแต่ว่าเซียวเฉวียนเลือกสถานที่เก่งจริง ๆ

ก็เพราะเป็นแหล่งที่ดี เจ้าของที่ดินที่นี่ถึงได้ให้ความสำคัญกับที่ดินตรงนั่นมาก

เซียวเฉวียนอยากได้กรรมสิทธิ์ในการใช้ที่ดินตรงนั้น เกรงว่าจะไม่ใช้เรื่องง่ายๆ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ด้วยสัญชาตญาณของเถ้าแก่ก็เข้าใจในทันทีว่าเจตนาที่เซียวเฉวียนมาปรึกษาเขาคือเรื่องอะไร

หรือว่าเซียเฉวียนต้องการให้ข้าไปที่บ้านของเจ้าของที่ดินเหล่านี้ เป็นแขกไปเยี่ยมพวกเขาหรือ?

ในเวลานี้ เซียวเฉวียนเหมือนยิ้มแล้วพูดว่า "ข้าได้ยินมาว่าเถ้าแก่เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างกว้างขวาง ไม่ทราบว่าเถ้าแก่จะช่วยข้าให้ได้กรรมสิทธิ์ในการใช้ที่ดินจากเจ้าของที่ดินได้หรือไม่?"

เป็นเช่นนั้นจริง ๆ !

เขามีการไปมาหาสู่กับเจ้าของที่ดินนั้นเป็นเรื่องจริง และความสัมพันธ์ก็ค่อนข้างดี

เรื่องอื่นๆ ยังพอคุยกันง่าย แต่ปัญหาเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงกรรมสิทธิ์การใช้ที่ดิน และยังเกี่ยวข้องถึงผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดิน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดีแค่ไหน เจ้าของที่ดินก็อาจจะไม่เห็นด้วย

เพื่อที่ดินแล้ว พี่น้องถึงกับทะเลาะเสียเลือดเสียเนื้อก็มีให้เห็น และบางคนถึงกับกลายเป็นศัตรูต่อกัน

ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างเถ้าแก่และเจ้าของที่ดินก็เป็นเพียงผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ว่าความสัมพันธ์จะดีแค่ไหน ก็ไม่ดีเท่าพี่น้อง

ทำไมเจ้าของที่ดินถึงจะเชื่อฟังเถ้าแก่ล่ะ?

เถ้าแก่ก็อยากจะช่วยเซียวเฉวียน ถึงเขาจะมีใจแต่ก็ไร้ความสามารถจริง ๆ

ดังนั้น เถ้าแก่จึงปฏิเสธเซียวเฉวียนอย่างสุภาพ

การสร้างโรงเรียนนั่นสำหรับราษฏรแล้วถือเป็นเรื่องที่ดี

หากเถ้าแก่สามารถช่วยได้ เขาจะช่วยเซียวเฉวียนอย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือเขา

ไม่สามารถช่วยได้นี่

หากว่าเซียวเฉวียนขอให้เขาช่วยระดมหาเงิน เถ้าแก่จะรีบตอบตกลงทันที

หลังจากฟังคำพูดของเถ้าแก่แล้ว เซียวเฉวียนก็พูดเบา ๆ ว่า "เถ้าแก่ เจตนาของข้าคือแค่อยากขอให้ท่านใช้ชื่อของท่านออกหน้านัดพวกเจ้าของที่ดินออกมาเท่านั้น เรื่องที่เหลือเซียวเฉวียนจะเป็นคนจัดการเอง ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?"

เรื่องนัดหมายนั่นสามารถทำได้ แต่เถ้าแก่เป็นนักธุรกิจ และเจ้าของที่ดินก็เป็นผู้มีอำนาจในสถานที่แห่งนั้น ดังนั้นเถ้าแก่ก็ไม่อยากจะล่วงเกิน

หากไม่ใช่เพราะเซียวเฉวียน พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีอยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไร?

แม้ว่าความโกลาหลจะสงบลงแล้วก็ตาม แต่จำนวนผู้คนที่บาดเจ็บและเสียชีวิตก็ไม่ได้น้อยลงขนาดนี้

การลดอัตราการเสียชีวิตลงไปอย่างมาก เซียวเฉวียนก็ได้ช่วยเหลือครอบครัวไว้หลายครอบครัวแล้ว

เซียวเฉวียนคือผู้มีพระคุณสำหรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่ยอมให้ใครดูหมิ่นเซียวเฉวียน!

แม้ว่าเถ้าแก่จะปฏิเสธ แต่ผู้คนกลับไม่เชื่อคำพูดของเถ้าแก่เลย พวกเขาพูดด้วยความโมโหว่า "ถ้าไม่ได้ทำ เถ้าแก่กล้าไปกับพวกเราเพื่อไปยืนยันต่อหน้าเซียวเฉวียนหรือไม่?"

เถ้าแก่รู้สึกรำคาญกับพวกแฟน ๆ ของเซียวเฉวียน เขาพูดด้วยความโมโหว่า "ไปก็ไปสิ! ใครกลัวใคร?"

พูดจบ เขาก็รีบตรงดิ่งไปที่โรงเตี๊ยมที่พวกเซียวเฉวียนพักอยู่

เมื่อมาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม เถ้าแก่ก็ไม่ได้เข้าไปแต่กลับยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้วตะโกนว่า "ใต้เท้าเซียว ข้าน้อยถูกใส่ร้าย อยากให้ท่านออกมาให้ความยุติธรรมข้าน้อยด้วย"

ทันทีที่สิ้นเสียงของเถ้าแก่ เจ้าของโรงเตี๊ยมและพนักงานต่างพากันวิ่งกรูออกไปทีละคน ชี้หน้าว่าเถ้าแก่ว่า “เจ้ามาที่นี่ตะโกนเสียงดังโยววายอะไรกัน? แล้วความยุติธรรมรอะไร?”

“ไป รีบหลีกทางไป อย่ามารบกวนข้าจะรับแขก!”

สมัยโบราญ หากทำธุรกิจเหมือนกันล้วนถือเป็นศัตรูต่อกัน

เถ้าแถ่มาเอะอะโวยวายเสียงดังอยู่หน้าโรงเตี๊ยม เจ้าของโรงเตี๊ยมก็ต้องรู้สึกไม่สบายใจเป็นเรื่องธรรมดา

เถ้าแก่ก็พอเข้าใจเรื่องนี้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของเซียวเฉวียน เถ้าแก่คิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไปจนวันตาย และจะขอไม่พบหน้ากันอีกในชาตินี้ !

แต่ตอนนี้เขาก็ได้มาแล้ว ความโกลาหลก็ได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ผู้คนก็อยู่ที่นี่เยอะมาก ถ้าเขาไม่มีคำอธิบายให้พวกเขา เกรงว่าโรงเตี๊ยมของเขาจะไม่สามารถดำเนินกิจการได้ตามปกติแน่ หากคนเหล่านี้ยังไปก่อความวุ่นวายอยู่

ดังนั้น เถ้าแก่จะกลับไปไม่ได้ เขาไม่สนใจเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้

เถ้าแก่เตือนและตะโกนต่อไปว่า “ใต้เท้าเซียว ! ใต้เท้าเซียว ! ”

ความดื้อรั้นของเถ้าแก่นั้น เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้มองเห็นได้อย่างชัดเจนทะลุปุโปร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาคงไม่พอใจที่เซียวเฉวียนย้ายจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้นมาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้แทน

เห็นได้ชัดว่าเขามาเพื่อก่อความวุ่นวาย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย