ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฉวียนก็มองไปที่เจ้าบ้านพร้อมกับรอยยิ้ม พลางเอ่ยถาม “เช่นนั้นข้าขอถามท่านเสียหน่อย คนสองคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ มีคนอายุน้อยคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนแก่ มีผมและหนวดเคราสีขาวใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าเซียวเฉวียนอธิบายลักษณะภายนอกของนักปราชญ์ได้ เจ้าบ้านจึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อ เขาพึมพำเบาๆ “แต่พวกเขาดูไม่เหมือนมือสังหารเลยสักนิด”
ดั่งคำพูดที่ว่า คนเราไม่ควรตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก
เจ้าบ้านคิดไม่ถึงว่า นักปราชญ์และเสวียนจิ้งจะเป็นมือสังหาร
ทว่าทั้งสองคนกลับไม่ได้ลงมือกับครอบครัวของเขา สวรรค์ช่างคุ้มครองเสียจริง!
เจ้าบ้านชี้ไปยังห้องที่นักปราชญ์และเสวียนจิ้งอาศัยอยู่ พร้อมกับส่งสัญญาณบอกเซียวเฉวียนกับคนอื่นๆว่า นักปราชญ์และเสวียนจิ้งอาศัยอยู่ข้างในนั้นเงียบๆ
ได้ยินเช่นนั้น เสวียนอวี๋ก็ปรี่เข้าไปถีบประตูทันที
ทว่า ภายในห้องกลับว่างเปล่า มีเพียงหน้าต่างที่เปิดอยู่
เห็นได้ชัดว่า นักปราชญ์กับเสวียนจิ้งรู้ตัว จึงกระโดดออกนอกหน้าต่างหลบหนีไปแล้ว
บัดซบ!
คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้หนีไปได้อีกแล้ว!
จังหวะนั้นเอง เสวียนอวี๋พลันได้ยินเสียงต่อสู้กันดังขึ้นจากทางด้านหลังหน้าต่าง
เขาโผล่หน้าออกไปดู เห็นเจี้ยนจงกำลังต่อสู้อยู่กับนักปราชญ์
ทว่า ไม่เห็นแม้แต่เงาของเสวียนจิ้ง
ความจริงแล้ว ขณะที่นักปราชญ์กับเสวียนจิ้งกำลังหลบหนี พวกเขาก็โดนเจี้ยนจงจับได้เสียก่อน
เดิมทีเจี้ยนจงอยู่ด้านหน้ากับพวกเซียวเฉวียน เผชิญหน้าอยู่กับเจ้าบ้าน
แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของเจ้าบ้าน ก็ยิ่งน่าสงสัย แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เจ้าบ้านจงใจถ่วงเวลาให้กับนักปราชญ์และเสวียนจิ้ง
เพื่อให้พวกเขามีโอกาสหลบหนี
ประตูห้องปิดสนิท หากนักปราชญ์กับศิษย์ผู้ติดตามคิดจะหลบหนี ก็มีเพียงสองทางเท่านั้นที่เป็นไปได้
หนึ่งคือหนีออกทางหลังคาบ้าน
และสอง ข้างในห้องมีหน้าต่าง จึงหลบหนีออกทางหน้าต่างได้
ดั่งคำพูดที่ว่า ยืนให้สูงแล้วมองให้ไกล
เจี้ยนจงค่อยๆรวบรวมลมปราน ใช้จังหวะที่เจ้าบ้านไม่สนใจ บินขึ้นไปบนหลังคาเงียบๆ
ทันทีที่เขาบินขึ้นไป ก็เห็นนักปราชญ์และเสวียนจิ้งกำลังหลบหนีอย่างสุดชีวิต
เจี้ยนจงไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป จึงบินตามไปเงียบๆ จากนั้นขวางทางพวกเขาเอาไว้
นักปราชญ์กับศิษย์ติดตามต่างตื่นตกใจ
นักปราชญ์กระซิบบางอย่างกับเสวียนจิ้ง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ เขาบอกให้เสวียนจิ้งรีบหนีไปทันทีเมื่อมีโอกาส
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เสวียนจิ้งรู้สึกตื้นตันใจ
ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ยังคงสนใจข้าอยู่
คำสั่งของอาจารย์ไม่อาจละเลยได้ ดังนั้นเสวียนจิ้งจึงใช้โอกาสที่นักปราชญ์และเจี้ยนจงกำลังต่อสู้กัน หลบหนีไปอย่างสุดชีวิต
การต่อสู้ระดับปรมาจารย์ เพลงยุทธที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว ทั้งคู่ก็ต่อสู้กันผ่านไปสองยกแล้ว
นักปราชญ์ค้นพบว่า เพลงยุทธของตนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจี้ยนจงเลยสักนิด ทำให้เขาเกิดลำพองใจ
แต่เขารู้ดีว่าเซียวเฉวียนและคนอื่นๆยังอยู่ด้านหน้า จึงไม่อาจต่อกรกับเจี้ยนจงอยู่ตรงนี้ได้นานมากนัก
เขาต้องรีบหาทางหนี
ไม่เช่นนั้น หากเซียวเฉวียนและคนอื่นๆตามมาก็ยากที่จะหนีรอดไปได้
แม้เขาจะมีวิชาในการหลบหนี แต่ก็เคยใช้มันต่อหน้าเซียวเฉวียนและคนอื่นๆมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงทำให้พวกนั้นระแวดระวังมากขึ้น
การที่จะใช้กลอุบายเช่นเดิมอีกครั้ง เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนักปราชญ์จึงเริ่มจัดรูปแบบค่ายกลกระบี่
พยายามสกัดเจี้ยนจงไว้ในค่ายกลกระบี่ของตนชั่วคราว
เจี้ยนจงเคยเรียนรู้ค่ายกลกระบี่นี้ของนักปราชญ์ ย่อมไม่เปิดโอกาสนี้แก่เขา เจี้ยนจงเร่งความเร็วในการโจมตี เพื่อไม่ให้นักปราชญ์มีโอกาสได้ตั้งรับ
บัดซบ!
เจ้าสำนักผู้สง่างามของสำนักหมิงเซียน อวดอ้างว่าเป็นตัวแทนของเทียนเต๋า เมื่อสู้ไม่ได้ก็ใช้กลอุบายชั่วร้ายเช่นนี้ โดยไม่เกรงกลัวว่าจะดูถูกชื่อเสียงของสำนัก
แต่เมื่อคิดไปคิดมา สำนักหมิงเซียนได้ล่มสลายไปนานแล้ว มีเพียงเจี้ยนจงและเซียนเฉวียน ทว่าสำนักหมิงเซียนกลับไม่มีอยู่อีกต่อไป เช่นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดดูถูกสำนักได้
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านักปราชญ์จะกังวลเรื่องนี้หรือไม่
เมื่อเห็นนักปราชญ์หลบหนีไปต่อหน้าต่อตา ในใจของเสวียนอวี๋ก็หงุดหงิดขึ้นมาทันใด เขาอมลมไว้ในแก้มทั้งสองข้างด้วยความเดือดดาล
เห็นเช่นนี้เจี้ยนจงจึงพูดปลอบใจเบาๆ “เสวียนอวี๋น้อย อย่าเป็นอย่างนี้เลย เขาหนีจากหุบเขาห้านิ้วของเราไปไม่ได้หรอก”
ครั้งนี้ปล่อยให้นักปราชญ์หนีไปได้ แต่ไม่ช้าพวกเขาก็จะพบเบาะแส และไม่ช้าก็เร็วนักปราชญ์ก็ต้องอยู่ในมือของพวกเขา
ครั้งนี้ปล่อยให้เขากระโดดโลดเต้นดีใจไปก่อน
ได้ยินเช่นนั้นเสวียนอวี๋ก็คิดว่าเจี้ยนจงพูดถูก
หลังจากนักปราชญ์หนีออกจากภูเขาจงหนานครั้งที่แล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็ค้นพบที่อยู่ของนักปราชญ์
ตราบใดที่นักปราชญ์ไม่หยุดรนหาที่ตาย พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะค้นพบอีกครั้ง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของเสวียนอวี๋ก็กลับมาเป็นปกติ “บรรพชนพูดถูก”
เวลานี้ ในที่สุดเซียวเฉวียนและชิงหลงก็มาถึง แต่ดูจากสีหน้าของเสวียนอวี๋ เซียวเฉวียนก็รู้ว่านักปราชญ์หนีไปได้
ตามที่คาดการณ์
แต่ก่อนที่เซียวเฉวียนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสวียนอวี๋ก็พูดขึ้นมาด้วยความเสียดาย “ท่านอาเซียว ครั้งนี้ปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้อีกแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวเฉวียนจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร โลกกลมเช่นนี้ พวกเราจะได้พบพวกเขาอีกครั้ง”
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านจาง ทำให้เซียวเฉวียนคิดว่ามีทาสคุนหลุนอยู่ในเจ็ดรัฐ อีกอย่าง ถ้าไป๋ฉี่ดูแลทาสคุนหลุนเพียงลำพังคงจะยุ่งเกินไปสักหน่อย
หากนักปราชญ์ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ ผู้ที่โชคร้ายก็คงเป็นทาสคุนหลุน
เพื่อให้แน่ใจว่าทาสคุนหลุนได้รับความคุ้มครอง เซียวเฉวียนจึงต้องคิดหาหนทาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...