ในความทรงจำของนักปราชญ์ มันเหมือนเทพเจ้าแห่งโรคระบาด ทุกครั้งที่มันปรากฏตัว ย่อมไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้น
หรือว่าคราวนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นที่ไม่ดีต่อนักปราชญ์?
แต่สถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่มากแล้ว นอกจากถูกเซียวเฉวียนและพวกเขาไล่ล่า นักปราชญ์ก็คิดไม่ออกว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นอีก
เขาพยายามหนีอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าเซียวเฉวียนและพวกเขาจะมาที่เกาะนกกระสาจริงๆ แต่เซียวเฉวียนก็คงหาที่นี่ไม่เจอในชั่วครู่
ดังนั้น นักปราชญ์จึงรู้สึกว่าไม่มีสถานการณ์ใดจะเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว
ความฝันนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาตึงเครียดมากเกินไป
เมื่อคิดเช่นนี้ นักปราชญ์ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก และโยนเรื่องนี้ทิ้งไป
ในช่วงเวลานี้ นักปราชญ์ต้องพลัดถิ่น แม้ว่าภายนอกจะดูไม่มีอะไร แต่ภายในใจเขาย่อมรู้สึกเหนื่อยล้า
ความรู้สึกแบบนี้ เขาจำต้องอดทนรับ ไม่สามารถพูดกับใครได้ ไม่สามารถพูดกับใครได้ และยิ่งไม่มีใครให้พูดด้วย
เมื่อคิดไปเรื่อย ๆ เปลือกตาของนักปราชญ์ก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้น
เขาใช้ใบไม้ปิดตาอีกครั้ง หลับตาลง พักสายตา
ส่วนเซียวเฉวียนและพวกเขา ค้นหาในวงกว้าง แต่ก็ยังหาทิศทางที่นักปราชญ์หายไปไม่เจอ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหยุดการค้นหาครั้งนี้ชั่วคราว
เสี่ยวเซียนชิวโกรธแค้นและพูดว่า “ท่านพ่อ พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะค้นหาต่อ”
แม้ว่านักปราชญ์จะมีค่ายกลกระบี่ปกป้องเขา แต่เสี่ยวเซียนชิวก็ไม่เชื่อว่าเขาจะใช้ค่ายกลกระบี่ได้ตลอดทาง
เพียงนางไม่ยอมแพ้ในการค้นหา สักวันก็ต้องเจอ
เซียวเฉวียนจะยอมให้เสี่ยวเซียนชิวคนเดียวไปค้นหาได้อย่างไร?
เรื่องอันตรายเช่นนี้
นักปราชญ์อยู่ในที่มืด เซียวเซียนชิวอยู่ในที่สว่าง เผื่อว่านักปราชญ์พบร่องรอยของเสี่ยวเซียนชิว เสี่ยวเซียนชิวก็ตกอยู่ในอันตราย
เซียวเฉวียนพูดจาเย็นชาว่า “เสี่ยวเซียนชิว เชื่อฟังข้าเรากลับไปก่อน คิดหาวิธีใหม่”
ยังไงก็ตาม ตราบใดที่อาจารย์ศิษย์นักปราชญ์งอยู่ในเกาะนกกระสา พวกเขาก็หนีไม่รอด
เว้นแต่พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ตลอดไป
แต่นั่นเป็นไปไม่ได้
นักปราชญ์และเสวียนจิ้ง ทั้งคู่เคยเป็นคนที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย ทักษะการใช้ชีวิตด้วยตนเองแทบจะเป็นศูนย์
ทักษะการเอาชีวิตรอดในป่าของพวกเขายังต่ำจนน่าตกใจ
อาหาร พวกเขาต้องลงเขาไปซื้อ
แม้พวกเขาลงจากเขา ย่อมมีคนพบเห็น
ดังนั้น ตอนนี้เซียวเฉวียนมีเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งต้องทำ
นั่นคือการติดภาพนักปราชญ์เพิ่มเติม
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังต้องการวาดภาพเสวียนจิ้งด้วย
หลังจากได้ยินความคิดนี้ ชิงหลงและเจี้ยนจงอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก จริงๆ แล้ว ห้ามล่วงเกินใครก็ตาม ห้ามล่วงเกินเซียวเฉวียน
การล่วงเกินเซียวเฉวียน เขาอาจจะไม่ฆ่าเจ้า แต่เขาคิดจะแก้แค้นเจ้า เขาก็มีวิธีทำให้รู้สึกแย่กว่าตาย
โชคดีที่พวกเขาเป็นคนของค่ายเซียวเฉวียน
ดังนั้น พวกเขาจึงคิดว่าความคิดของเซียวเฉวียนนั้นดีมาก
เมื่อมีสิ่งที่ต้องทำ เสี่ยวเซียนชิวก็ไม่ยึดติดกับการติดตามเบาะแสของนักปราชญ์อีกต่อไป
ท้ายที่สุด เซียวเฉวียนก็พูดแบบนั้น และเซียวเฉวียนก็ไม่รีบร้อน
เขายังคิดหาวิธีทรมานพวกเขาอีกด้วย
เสี่ยวเซียนชิวรู้สึกว่าการทรมานคนชั่วเป็นเรื่องที่สนุกมาก
ดังนั้น ทุกคนจึงออกจากที่นี่ กลับไปที่พัก และเริ่มลงมือวาดรูป
ด้วยพลังของคนหมู่มาก แต่ละคนก็แสดงฝีมือของตัวเอง
ไม่ถึงครึ่งวัน เซียวเฉวียนและคนอื่น ๆ ก็วาดรูปนักปราชญ์และเสวียนจิ้ง เสร็จ หนาเป็นปึก
คราวนี้ เซียวเฉวียนไม่ได้ตั้งใจจะแปะทีละแผ่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...