จับให้แน่นอย่างนั้นหรือ?
เสวียนจิ้งก็อยากจับให้มั่นคงนะ!
แต่ปัญหาคือจับแน่นๆไม่ได้น่ะสิ!
เพราะพื้นผิวทะเลสั่นสะเทือนเกินไป!
ส่วนแพไม้ไผ่ก็ลื่นเกินไป!
ยิ่งไปกว่านั้น เสวียนจิ้งยืนหยัดมาเป็นเวลานาน ทำให้มือของเขาแทบหมดแรง
จากนั้นจึงกัดฟันพูด“อาจารย์ ข้าทนไม่ไหวแล้ว”
จริงๆ อยากจะพูดว่าถ้าท่านไหว ให้ท่านมาทำเอง
แต่ท่านคืออาจารย์ เขาไม่สามารถหยาบคายหรือล่วงเกินท่านได้
ยามได้ยินเช่นนั้น มือของนักปราชญ์ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย หากพูดให้ถูกคือ มือข้างหนึ่งจับแพไม้ไผ่ ในขณะที่อีกมือหนึ่งจับเสื้อผ้าของเสวียนจิ้งอยู่
พลางเอ่ยพูดอย่างเย็นชา“ปล่อยมือข้างหนึ่ง แต่เจ้าต้องต้านทานเอาไว้”
ตอนนี้แพไม้ไผ่มีความลาดเอียง บางครั้งเสวียนจิ้งอยู่ด้านบน และบางครั้งนักปราชญ์ก็อยู่ด้านบน
ก่อนที่นักปราชญ์จะปล่อยมือข้างหนึ่ง ไม่ว่าแพไม้ไผ่จะลาดเอียงแค่ไหน คนที่รับแรงทั้งหมดก็คือเสวียนจิ้ง
เพียงตอนนี้เขาปล่อยมือข้างหนึ่งแล้ว เสวียนจิ้งรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
แต่เขาจะจับได้อย่างมั่นคงหรือไม่นั้น ก็ยังบอกไม่ได้
เพราะเวลานี้ การระเบิดบนพื้นผิวทะเล ทำให้คลื่นทะเลซัดสาดเข้ามา
จนเสวียนจิ้งโซซัดโซเซไม่มีแรง และมือของเขาก็หลุดออกจากแพไม้ไผ่
นักปราชญ์รู้สึกว่าร่างกายของเสวียนจิ้งกำลังเอนเอียงไปทางตน ก็ตะโกนพูดออกมา“เสวียนจิ้ง เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้ มันจะทำให้ข้าจะตกลงไป”
แพไม้ไผ่ลื่นมากและไม่มีความแข็งแรงสักเท่าไหร่
เสวียนจิ้งเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เขาพูดออกมาด้วยความรู้สึกผิด “อาจารย์ ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว”
และมือทั้งสองข้างเองก็ชาไปเสียหมดแล้ว
ณ เวลานี้ กังฟูได้อย่างมากที่สุดคือห้านาที
เสวียนจิ้งจึงเอ่ยพูดแนะนำ “อาจารย์ ท่านยืนขึ้นมาได้หรือไม่?”
กังฟูของนักปราชญ์นั้นเป็นที่ยอดเยี่ยมมาก ตราบใดที่เขายืนหยัดแล้วมีจิตใจนิ่งมั่นคง ก็สามารถทำให้แพไม้ไผ่มีความเสถียร และจะไม่ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนของพื้นผิวทะเล
ซึ่งนี่คือเหตุผล แต่ทว่าเมื่อนักปราชญ์นึกถึงทะเลที่มองไม่เห็นก้นบึ้งรอบตัวเขา เป็นเหตุให้เขาไม่กล้าลุกขึ้นยืน
เนื่องจากเกรงกลัวว่าตนเองจะพลัดตกลงทะเล และถูกคลื่นซัดจมหายไปในมหาสมุทร
พูดตรงๆคือ ความกลัวห้วงน้ำที่อยู่ส่วนลึกของหัวใจ ส่งผลให้นักปราชญ์ไม่กล้าลุกขึ้นยืน
เผชิญกับสถานการณ์ในท้องทะเล
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะปีศาจในใจของตัวเองได้
บัดนี้ มีเสียงระเบิดบนพื้นผิวทะเลดังขึ้นอีกครั้ง
คลื่นซัดเข้าใส่อาจารย์และลูกศิษย์ ไม่เพียงทำให้ทั้งสองคนหนาวสั่นเท่านั้น แต่ยังรู้สึกเจ็บปวดอีกด้วย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งคู่คงต้องแช่อยู่ในมหาสมุทร
เสวียนจิ้งพยายามพูดโน้มน้าวอาจารย์ต่อ “อาจารย์ ท่านรีบยืนขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้น เราทั้งสองต้องตกทะเลและจมน้ำตาย”
จะมีสถานการณ์อะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือไม่?
อย่างไรก็ต้องตาย ลุกขึ้นสู้เสียยังดีกว่า!
อย่างน้อยก็อาจมีโอกาสรอด
ถ้าหากไม่ลุกขึ้นสู้ มีแต่รอความตายเท่านั้น!
นักปราชญ์ตื่นกลัวจนสมองตื้อคิดอะไรไม่ออก
ยามได้ยินเสวียนจิ้งพูด เขาจึงมีสติขึ้นมาทันที “ใช่!ไม่มีเหตุการณ์ใดแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว ทำไมถึงไม่ลุกขึ้นสู้หรือ?เพื่อที่ตนเองจะได้มีชีวิตรอด ไม่ใช่หรือ?”
คิดได้เช่นนี้ นักปราชญ์ก็หายใจเข้าลึกๆ เพื่อข่มความกลัวในใจ จากนั้นค่อยๆลุกขึ้นยืน
และจินตนาการว่าตอนนี้ตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศแล้ว กำลังประสบพบเจอกับพายุ
ด้วยวิธีนี้ ภายในใจของนักปราชญ์จึงไม่มีความรู้สึกกลัวอีกต่อไป
เขารีบรักษาเสถียรภาพของแพไม้ไผ่ หลังจากนั้นแสดงค่ายกลกระบี่ออกมา ขณะเดียวกัน เขาก็ระดมกำลังภายใน และแพไม้ไผ่ค่อยๆขับเคลื่อนไปด้วยแรงภายใน
พวกเขาจะต้องรีบออกจากที่นี่ ตรงนี้ช่างน่ากลัวเกินไป มันไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์จะอยู่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...