สรุปเนื้อหา บทที่ 1882 เสียหายจากความผิดพลาด – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บท บทที่ 1882 เสียหายจากความผิดพลาด ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เซียวเฉวียนในตอนนี้ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการสังหารโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
เสวียนอวี๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจกับรัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
ตั้งแต่เขารู้จักกับเซียวเฉวียนจนมาถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอารมณ์ที่ผันผวนเช่นนี้ของเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนในสภาพเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกเล็กน้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเฉวียนระงับกลิ่นอายแห่งการสังหารของเขาเอาไว้ มองมาที่เสวียนอวี๋ด้วยแววตาอันเฉยเมย “เสวียนอวี๋ เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เจ้ารู้สึกหวาดกลัวหรือไม่?”
เสวียนอวี๋ตอบด้วยสายตาอันแน่วแน่ “ไม่กลัว”
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เสวียนอวี๋ไม่เคยผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย เขาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เสวียนอวี๋ในวันนี้ ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นเป็นหลายเท่าตัว
มีเพียงความแข็งแกร่งที่เผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งเท่านั้น ถึงทำให้ตนเองสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน!
หวาดกลัวไปก็ไม่มีประโยชน์!
ได้ยินเช่นนั้น เซียวเฉวียนมองเสวียนอวี๋ด้วยแววตาชื่นชม “ยอดเยี่ยม”
เขาเป็นชายหนุ่มที่ดี มีแรงบันดาลใจอันแน่วแน่ตั้งแต่อายุยังน้อย!
เสวียนอวี๋ยิ้มและพูดออกมา “เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้ามีท่านอาเซียวเป็นแบบอย่าง”
มีนายท่านที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าเขาต้องตามให้ทัน อย่างน้อยก็จะได้ช่วยเซียวเฉวียนในการรับมือกับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น
เซียวเฉวียนพอใจกับความแน่วแน่และการพัฒนาของเขามา ยิ้มและพูดออกมาว่า “ดีมาก! ไม่เลวเลยจริงๆ!”
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำเอาไว้ หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่อาจเอาชนะได้ อย่าฝืนต่อสู้ต่อไปเด็ดขาด สู้ไม่ได้ก็แค่หนีไปเท่านั้น”
นี่คือรากฐานของอัจฉริยะ
หากยังมีลมหายใจอยู่ เช่นนั้นก็ยังมีหวัง
อย่าใจร้อนหรือกดดันตัวเองมากเกินไปเป็นอันขาด
เสวียนอวี๋พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เขาเข้าใจในความหมายที่เซียวเฉวียนต้องการจะสื่อออกมา แต่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซียวเฉวียนถึงอยากให้เขาทำเช่นนี้
นายท่านคนอื่นล้วนอยากให้ลูกน้องของตนเองเข้าไปพัวพันกับศัตรูให้นานที่สุด ไม่ยอมให้ลูกน้องของตนเองถอยกลับมาแม้แต่ก้าวเดียว
แต่เซียวเฉวียนนั้นต่างออกไป เขาเกรงว่าเมื่อลูกน้องของตนเองเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งจะไม่ยอมถอยหนี เขาจึงเน้นย้ำออกมาให้ลูกน้องของเขาได้รับรู้
นายท่านเช่นนี้ ทั่วทั้งใต้หล้าคงมีเซียวเฉวียนเพียงคนเดียวหรือเปล่า?
ต้องโชคดีเพียงใดได้ถึงติดตามนายท่านอย่างเซียวเฉวียน!
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็ไปสืบหาร่องรอยของพวกนักปราชญ์
แม้เซียวเฉวียนจะรู้ว่าการสืบหาข้อมูลเช่นนี้จะได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
หากมีคนพบเห็นพวกของนักปราชญ์ขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเซียวเฉวียนได้เบาะแสบ้างแล้วไม่ใช่หรือ?
ระหว่างทาง เซียวเฉวียนสอบถามผู้คนมากมาย คนเหล่านี้ต่างบอกว่าไม่เคยเห็นนักปราชญ์หรือผู้หญิงผมสีเงินเหมือนกับที่เซียวเฉวียนกล่าวถึง
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถามมาตลอดทาง เซียวเฉวียนก็ยังไม่ได้ความคืบหน้าแต่อย่างใด
ทั้งสองคนเดินต่อไป พวกเขาเดินมาถึงตลาดที่แสนคึกคัก
บนกำแพงทั้งสองข้างของถนนมีภาพวาดของนักปราชญ์แปะอยู่ด้วย
และด้านหน้าของภาพวาดดังกล่าวก็เต็มไปด้วยฝูงชนที่รวมตัวกัน
เฮ้อ ผ่านไปหลายวันแล้วก็ยังมีคนมาดูภาพวาดนี้อยู่
พวกเขาไม่ได้จำจดรูปลักษณ์ของนักปราชญ์ไว้ในใจแล้วงั้นหรือ?
เซียวเฉวียนพาเสวียนอวี๋เดินไปด้านหน้า ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ฟังบทสนทนาซุบซิบนินทาของชาวบ้านเงียบๆ
สถานที่แห่งนี้เรียกว่ายุทธภพ
ตราบใดที่ยังมียุทธภพ การนินทาก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มีชาวบ้านผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ภาพวาดใบนี้ ข้าได้ยินมาว่ามันถูกติดไว้บนกำแพงของรัฐข้างเคียงด้วยเช่นกัน”
มีคนตอบกลับมาว่า “จริงหรือ? งั้นข้าเดาว่าที่อื่นก็น่าจะมีด้วยเหมือนกัน”
อีกคนพูดว่า “ใช่ เกรงว่าทั่วทั้งต้าเว่ยคงเต็มไปด้วยภาพวาดของเขา”
ในสายตาของชือหลิว เจินฮ่าวคือคนที่งดงาม นางไม่คิดว่าเจินฮ่าวจะเป็นผู้ชายเลยแม้แต่น้อย
เหมิงเอ้าเป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมา ฟังไม่ออกว่าน้ำเสียงของชือหลิวนั้นแปลกไป เขาตอบไปอย่างจริงใจว่า “ข้าชอบทานอาหารที่นี่ เลยพาเขามาทานด้วยกัน”
ตั้งแต่ที่เหมิงเอ้าออกไปจากหอคอยเหลียนเซียง เขาก็กลับมาหอคอยเหลียนเซียงบ้างในบางครั้ง แม้ว่าเขาอยากจะพบหน้าชือหลิว แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาพบกับนาง และก็เกรงว่าหากมาแบบกะทันหันคงไม่เหมาะสม เขาจึงทำได้เพียงระงับความปรารถนาในใจของเขาไว้เท่านั้น
ในความเป็นจริง เมื่อได้ยินว่าเจินฮ่าวอยากจะมาที่หอคอยเหลียนเซียง เหมิงเอ้ารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาเองก็อยากมาที่นี่มากเหมือนกัน
ที่จริงชือหลิวเองก็รอเหมิงเอ้าอยู่ คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขามาที่นี่ เขาจะพาคนงามมาด้วย ทำให้หัวใจของชือหลิวจมดิ่งลงในทันใด
ตอนแรกที่ได้รู้จักกับเหมิงเอ้า นางรู้สึกว่าเหมิงเอ้าเป็นคนจริงใจ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจผ่อน รู้สึกผ่อนคลาย นางจึงมีความรู้สึกที่ดีต่อเหมิงเอ้า
แม้ว่าปกติแล้วชือหลิวจะจัดการกับหอคอยเหลียนเซียงได้เป็นอย่างดี มีวาทศิลป์ในการพูดคุยกับแขกในร้าน แต่นางก็ยังรู้สึกเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่นางชอบ
ยิ่งไปกว่านั้น เป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว นางไม่สามารถแสดงออกมามากเกินไปว่านางชอบเหมิงเอ้า และไม่สามารถสารภาพรักกับเหมิงเอ้าได้
แต่หากเหมิงเอ้ามีใครอยู่ในใจ เช่นนั้นจะไม่เป็นการเขินอายที่สูญเปล่าอย่างนั้นหรือ?
คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะมีคนในใจจริงๆ อย่างที่นางคิด แถมยังงดงามมากอีกด้วย
และสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือ เหมิงเอ้ายังบอกอีกว่าอยากให้อีกฝ่ายมาทานอาหารที่นี่ ดังนั้นจึงพานางมาทาน
ชือหลิวรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว นางกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ขอโทษ ร้านของพวกเราจะปิดแล้ว”
ขอโทษด้วย พวกเราไม่รับแขก
พูดจบชือหลิวก็หันหลังและเดินกลับเข้าไปด้านใน
เหตุใดจู่ๆ ชือหลิวถึงได้เปลี่ยนไปและกลายเป็นคนเช่นนี้?
เหมิงเอ้ารู้สึกสับสน “คุณชายเจิน ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาสายเกินไปแล้ว”
คำเรียกว่าคุณชายเจินดังไปถึงหูของชือหลิวที่เดินไปได้ไม่ไกล ชือหลิวตะลึงงันพร้อมกับหน้ากลับมา ดวงตาคู่นั้นของนางเปล่งประกาย “เมื่อครู่เจ้าเรียกนางว่าอะไร?”
“คุณชายเจินไง” เหมิงเอ้าตอบไปตามความจริง “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
ชือหลิวอยากจะกลอกตาขาวใส่เจินฮ่าวจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ชาย แต่ครั้งที่แล้วชือหลิวเรียกเขาว่า “คุณหนู” เหตุใดเขาจึงไม่แก้ไข?
ช่างเป็นความเสียหายที่เกิดจากความผิดพลาดเสียจริง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...