ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1934

นักปราชญ์ไม่มีความสามารถในการอ่านใจ จึงไม่รู้ว่าจังผิงคิดเช่นนี้อยู่

ทว่านักปราชญ์ใช้ชีวิตมาจวบอายุเท่านี้แล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เขารู้จักการสังเกตคนจากสีหน้าและคำพูด จากสีหน้าของจังผิง นักปราชญ์สามารถมองออกว่าจังผิงดีใจจริง แต่มารยาทและความเป็นห่วงนักปราชญ์มีความเสแสร้งเล็กน้อย เป็นเพียงความพยายามที่จะรักษาหน้าตาของทุกคน

หากเป็นเมื่อก่อน นักปราชญ์จะต้องดูถูกจังผิงแน่นอน แม้แต่การมองจังผิงและผู้เฒ่าจังด้วยสายตาที่ปกติอาจไม่มีเลยก็ได้

ตอนนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง นักปราชญ์รู้ดีกว่าการแสดงท่าทีเช่นนั้นไม่เหมาะสมสักเท่าไร

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมองว่าบ้านผู้เฒ่าจัง คือผู้บุกเบิกให้ชาวบ้านตีนผาต่างก็เข้าร่วมกับสำนักหมิงเซียน จึงไม่กล้าชักสีหน้าใส่สองพ่อลูกบ้านผู้เฒ่าจัง

เขาก็มองออกแต่กลับไม่พูดออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติว่า “พวกท่านเป็นผู้ที่ช่วยข้าไว้หรือ?”

ผู้พเนจรในยุทธภพ การเสแสร้งเป็นเรื่องที่ขาดไปไม่ได้เลย

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เฒ่าจังรีบพูดขึ้นว่า “ไม่เชิงว่าช่วย”

ความเป็นจริงเป็นดังนี้ บ้านผู้เฒ่าจังเพียงแค่สละที่อยู่อาศัยให้แก่นักปราชญ์เท่านั้น จากนั้นก็ให้ข้าวให้น้ำเขาเป็นเวลา เพียงเท่านั้นเอง

นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย การใช้คำว่า “ช่วย” คงมากเกินไป

ดูจากประสบการณ์ของผู้เฒ่าจัง นักปราชญ์แทบไม่ได้เป็นอะไรเลย และยังยืนยันคำเดิมว่า เขาสงสัยว่านักปราชญ์แกล้งสลบ

ส่วนเหตุผลที่แกล้งสลบ นักปราชญ์คงรู้แก่ใจตัวเองดี

ยึดตามธรรมเนียมไว้ ผู้คนล้วนไม่ติติง นักปราชญ์แสดงท่าทางพูดชอบคุณว่า “ขอบคุณท่านทั้งสองที่มีบุญคุณช่วยชีวิตไว้”

หากต้องการผูกสัมพันธ์ที่ดี มารยาทหมัดน็อคที่ดีที่สุด

เป็นจริงดังนั้น เมื่อได้ยินคำพูดที่มีมารยาทของนักปราชญ์ ความประทับใจที่สองพ่อลูกมีต่อนักปราชญ์ก็ดีขึ้นอย่างอดไม่ได้ สายตาที่เขาสองคนมองนักปราชญ์ก็เป็นมิตรมากขึ้นด้วย

จังผิงรีบโบกมือและพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าได้พูดเช่นนี้เลย มันไม่คู่ควรกับพวกเรา”

พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจมากขนาดนั้น การเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ บ้านผู้เฒ่าจังไม่อาจเอื้อมโดยเด็ดขาด

พวกเขารู้สึกดีต่อนักปราชญ์ แต่เป็นคนละเรื่องกัน

ตลอดหลายสิบปีตีนผาเพิ่งมีคนแปลกหน้าปรากฏตัวเป็นครั้งแรก และมีถึงสองคนในวันเดียวกัน พ่อจังและจังผิงไม่กล้าประมาท

จังผิงพูดว่า “ท่านผู้เฒ่ายังรู้สึกเจ็บปวดตรงไหนอยู่หรือไม่?”

ความหมายโดยนัยก็คือ หากไม่เจ็บปวดและร่างกายของท่านก็พักฟื้นดีแล้ว ถึงเวลาไปจากบ้านของข้าได้แล้ว

จังผิงพูดไล่แขกอย่างมีชั้นเชิง เขาคิดว่านักปราชญ์น่าจะฟังเข้าใจ

นักปราชญ์เข้าใจความหมาย แต่เขาไม่ยอมไปจากที่นี่ เขาขยับร่างกายเล็กน้อย จากนั้นก็ร้องเสียงดังซี้ด และพูดว่า “รู้สึกปวดหัวมากเหลือเกิน”

คำพูดนี้ทำให้สองพ่อลูกเข้าใจแล้วว่า นักปราชญ์ยังไม่อยากไป

สองพ่อลูกมีความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นในใจ ทั้งสองมองหน้ากันและกัน พวกเขาหวังเป็นอย่างมากว่านักปราชญ์จะรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่พวกเขาถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเขาไม่กล้าไล่นักปราชญ์ออกไปตรงๆ

ไม่สนใจว่าอาการป่วยของนักปราชญ์เป็นจริงหรือเท็จ แต่การไล่คนชราที่หงอกขาวทั้งหัวออกไปจากบ้าน สามารถทำให้สองพ่อลูกเกิดความรู้สึกผิดบาป

ยิ่งไปกว่านั้น หากคนนอกพบเห็น ก็อาจมาตำหนิพวกเขาได้ และพูดว่าพวกเขาเป็นพวกไร้น้ำใจต่อมนุษย์ บลาๆ

สรุปแล้วว่า ที่ใดมีมนุษย์ก็ย่อมมีเรื่องผิดใจกัน และที่ใดมีมนุษย์ก็ย่อมต้องสร้างบุญคุณต่อกัน หากกระทำการไล่คนชราต่อหน้าผู้คน ไม่ว่าเกิดจากสาเหตุใด มักมีผลสรุปว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

ผู้ที่ไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจ เรื่องนี้ไม่เคยเกินจริง

คนประเภทนี้มีจุดยืนอย่างที่สุด และพวกเขามักชอบจุดยืนที่อยู่ในศีลธรรมอันสูงสุด ใช้สายตาแห่งปราชญ์ไปวิจารณ์บุคคลอื่น

ยกตัวอย่างเช่น มีคนชราคนหนึ่งอาศัยที่ตนมีอายุมากเที่ยวดูถูกคนอื่น หลอกลวงผู้อื่น หากเจ้ากล้ากระทำท่าทางใดที่ไม่ดีงามต่อคนชราผู้นี้ คนประเภทนี้ก็จะออกตำหนิเจ้าได้ว่า เจ้าไม่ควรแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อคนชรา

การเป็นคนควรเคารพนับถือผู้สูงอายุและรักเด็ก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย