ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1936

ณ ตีนผาที่เพิ่งเงียบสงบได้สองวัน เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอัปมงคลเกิดขึ้นกับพวกเขา ชาวบ้านที่นี่ก็ค่อยๆ สบายใจมากขึ้น

แต่เมื่อเพิ่งสบายใจลง ก็มีคนเห็นย่าเหยียนปรากฏตัวอีกครั้ง

สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ครั้งนี้นางตรงเข้าไปในบ้านผู้เฒ่าจัง

ผู้คนที่พบเห็น ในใจทั้งรู้สึกกลัวและเริ่มพากันยืนนินทาอยู่ที่หน้าประตูบ้านผู้เฒ่าจัง แม้ว่าประตูบ้านผู้เฒ่าจังจะปิดไว้อย่างแน่นหนา แต่พวกเรายังคงเขย่งปลายเท้าและสอดส่องเข้าไปด้านใน

พวกเขามองแล้วมองอีก ฟังแล้วฟังอีก แต่กลับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชาวบ้านจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้รอยแตกที่ประตู และพยายามดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน

ก่อนหน้านี้มีชายผมขาวและมีเคราเข้าไปในบ้านผู้เฒ่าจัง ภายหลังก็มีคนผมขาวเต็มหัวเข้าไปอีกคน

สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งแปลกใจก็คือ ย่าเหยียนมาถึงกลับไม่ได้เดินเข้าทางประตูใหญ่ แต่บินปิ้วเข้าไปแทน

นี่นับว่าเป็นการบุกรุกเข้าที่พักอาศัยของผู้อื่น เป็นการกระทำที่ไร้มารยาทที่สุด

เมื่อเห็นการกระทำของย่าเหยียน ชาวบ้านจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

แต่ด้วยความสามารถอันสูงส่งของบุคคลผู้นี้ ชาวบ้านจึงไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่น้อย

ด้านนอกประตู ชาวบ้านต่างก็กำลังรอเผือกอยู่

ด้านในประตู การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของย่าเหยียน ทำให้นักปราชญ์ตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดเลยว่าย่าเหยียนจะมาปรากฏตัวที่นี่เร็วถึงเพียงนี้

ประโยคแรกที่เขาอยากถามย่าเหยียนก็คือ “ผู้นำเหยียนตามหาเซียวเฉวียนเจอแล้วหรือไม่?”

ย่าเหยียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ยังไม่เจอ”

ตามคำบอกเล่าของอาเล่อ เขาพบเงาของกิเลนในบริเวณใกล้เคียงที่นี่ และนักปราชญ์อยู่ที่ตีนผาได้สองวันแล้ว เขาพบเห็นอะไรบ้าง?

นักปราชญ์พูดตามความจริงว่า “จะว่ามีก็มี แต่ยังไม่มีโอกาสไปพิสูจน์”

ในตระกูลจัง หากไม่ใช่พ่อจัง ก็ต้องเป็นจังผิงที่วิ่งเข้ามาไถ่ถามทุกข์สุขของนักปราชญ์อยู่ตลอดเวลา ทำให้นักปราชญ์ไม่โอกาสได้ออกไปด้านนนอกเลย

เดิมทีเขาคิดจะใช้ช่วงเวลากลางดึกที่เงียบสงัด เพื่อออกไปสืบเสาะละแวกใกล้เคียงอย่างเงียบๆ แต่เขายังไม่ทันรอถึงกลางคืน ย่าเหยียนก็มาที่นี่แล้ว

พูดจบ นักปราชญ์ก็เหลือบมองที่ประตูด้วยความระแวดระวัง ต้องระวังสองพ่อลูกตระกูลจังที่ชอบเข้ามาโดยฉับพลัน และจะพบกับร่องรอยของย่าเหยียนเอาได้

ย่าเหยียนมองท่าทางกังวลของเขาออก จึงพูดเสียงเข้มว่า “ไม่ต้องระวังตัวถึงขนาดนั้นหรอก พวกเขาจะรู้ก็รู้ไปเถอะ”

ถึงแม้ว่าคนในตระกูลจังไม่พบกับย่าเหยียน แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องรู้ว่านางเคยมา เพราะตอนที่นางมาถึงบ้านตระกูลจัง นางเล่นใหญ่ไปหน่อย มีชาวบ้านไม่น้อยที่เห็นนาง

ข่าวลือแพร่กระจายเร็วกว่าที่เจ้าคิด คิดจะปิดบังคนตระกูลจัง ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย

เมื่อได้ยินคำพูดของย่าเหยียน นักปราชญ์รู้สึกหมดปัญญาอย่างที่สุด

สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนดี นักปราชญ์รู้สึกว่าต้องระวังให้ดีในทุกเรื่อง

ย่าเหยียนกลับตรงกันข้าม คงกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่านางและนักปราชญ์เป็นคนสนิทสนมกัน และยังมาที่ตระกูลจังด้วยความเอิกเกริก

หากมีเรื่องด่วนอะไร ส่งเสียงพันลี้มาก็ได้ไม่ใช่หรือ?

หรืออาจจะเข้ามาแบบเงียบๆ ก็ได้เช่นกัน

นักปราชญ์ไม่เข้าใจว่าย่าเหยียนคิดอย่างไรจริงๆ

ย่าเหยียนเมินเฉยต่อสายตาที่มีความสงสัยของนักปราชญ์ นางพูดว่า “อาเล่อเคยเจอกิเลนผ่านมาแถวนี้ เซียวเฉวียนน่าจะอยู่บริเวณนี้”

ตอนที่นางลงมาที่ตีนผาครั้งแรก ไม่สามารถหาตัวเซียวเฉวียนเจอ เพราะนางประมาท และถูกเซียวเฉวียนหลอกเอาได้

เมื่อนึกย้อนในตอนนี้ ย่าเหยียนคิดว่าตอนแรกเซียวเฉวียนก็ต้องคาดเดาได้แน่นอน ว่านางจะหาที่นี่พบ ต้องการคิดหลบการไต่สวนของนาง จึงตั้งใจไม่ให้ชาวบ้านตีนผาเห็น

เพราะเซียวเฉวียนรู้ว่า หากหลบชาวบ้านพ้น ก็ยิ่งสามารถหลบย่าเหยียนพ้นเช่นกัน เขารู้ว่าย่าเหยียนต้องมาถามที่มาที่ไปของเซียวเฉวียนอย่างแน่นอน

ต้องบอกเลยว่า ความคิดของเซียวเฉวียนรอบคอบเป็นอย่างมาก ย่าเหยียนที่ใช้ชีวิตมาเนิ่นนานขนาดนี้ บางทีก็รู้สึกอับอายที่สู้คนอื่นไม่ได้เล็กน้อย

ตรงตามประโยคที่กล่าวไว้ว่า ทุกยุคสมัยจะมีคนเก่งเกิดขึ้นมา

การกลับมาที่ตีนผาในครั้งนี้ ย่าเหยียนไม่เพียงต้องการตามหาเซียวเฉวียนและฆ่าเขาเท่านั้น และยังต้องการยุติปัญหาการไปจากที่นี่ของชาวบ้านตีนผา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย