ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1936

สรุปบท บทที่ 1936 วิธีการที่รวดเร็วฉับไว: ซูเปอร์ลูกเขย

ตอน บทที่ 1936 วิธีการที่รวดเร็วฉับไว จาก ซูเปอร์ลูกเขย – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1936 วิธีการที่รวดเร็วฉับไว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่เขียนโดย ชิงเฉิง เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ณ ตีนผาที่เพิ่งเงียบสงบได้สองวัน เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอัปมงคลเกิดขึ้นกับพวกเขา ชาวบ้านที่นี่ก็ค่อยๆ สบายใจมากขึ้น

แต่เมื่อเพิ่งสบายใจลง ก็มีคนเห็นย่าเหยียนปรากฏตัวอีกครั้ง

สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ครั้งนี้นางตรงเข้าไปในบ้านผู้เฒ่าจัง

ผู้คนที่พบเห็น ในใจทั้งรู้สึกกลัวและเริ่มพากันยืนนินทาอยู่ที่หน้าประตูบ้านผู้เฒ่าจัง แม้ว่าประตูบ้านผู้เฒ่าจังจะปิดไว้อย่างแน่นหนา แต่พวกเรายังคงเขย่งปลายเท้าและสอดส่องเข้าไปด้านใน

พวกเขามองแล้วมองอีก ฟังแล้วฟังอีก แต่กลับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชาวบ้านจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้รอยแตกที่ประตู และพยายามดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน

ก่อนหน้านี้มีชายผมขาวและมีเคราเข้าไปในบ้านผู้เฒ่าจัง ภายหลังก็มีคนผมขาวเต็มหัวเข้าไปอีกคน

สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านยิ่งแปลกใจก็คือ ย่าเหยียนมาถึงกลับไม่ได้เดินเข้าทางประตูใหญ่ แต่บินปิ้วเข้าไปแทน

นี่นับว่าเป็นการบุกรุกเข้าที่พักอาศัยของผู้อื่น เป็นการกระทำที่ไร้มารยาทที่สุด

เมื่อเห็นการกระทำของย่าเหยียน ชาวบ้านจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

แต่ด้วยความสามารถอันสูงส่งของบุคคลผู้นี้ ชาวบ้านจึงไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่น้อย

ด้านนอกประตู ชาวบ้านต่างก็กำลังรอเผือกอยู่

ด้านในประตู การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของย่าเหยียน ทำให้นักปราชญ์ตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดเลยว่าย่าเหยียนจะมาปรากฏตัวที่นี่เร็วถึงเพียงนี้

ประโยคแรกที่เขาอยากถามย่าเหยียนก็คือ “ผู้นำเหยียนตามหาเซียวเฉวียนเจอแล้วหรือไม่?”

ย่าเหยียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ยังไม่เจอ”

ตามคำบอกเล่าของอาเล่อ เขาพบเงาของกิเลนในบริเวณใกล้เคียงที่นี่ และนักปราชญ์อยู่ที่ตีนผาได้สองวันแล้ว เขาพบเห็นอะไรบ้าง?

นักปราชญ์พูดตามความจริงว่า “จะว่ามีก็มี แต่ยังไม่มีโอกาสไปพิสูจน์”

ในตระกูลจัง หากไม่ใช่พ่อจัง ก็ต้องเป็นจังผิงที่วิ่งเข้ามาไถ่ถามทุกข์สุขของนักปราชญ์อยู่ตลอดเวลา ทำให้นักปราชญ์ไม่โอกาสได้ออกไปด้านนนอกเลย

เดิมทีเขาคิดจะใช้ช่วงเวลากลางดึกที่เงียบสงัด เพื่อออกไปสืบเสาะละแวกใกล้เคียงอย่างเงียบๆ แต่เขายังไม่ทันรอถึงกลางคืน ย่าเหยียนก็มาที่นี่แล้ว

พูดจบ นักปราชญ์ก็เหลือบมองที่ประตูด้วยความระแวดระวัง ต้องระวังสองพ่อลูกตระกูลจังที่ชอบเข้ามาโดยฉับพลัน และจะพบกับร่องรอยของย่าเหยียนเอาได้

ย่าเหยียนมองท่าทางกังวลของเขาออก จึงพูดเสียงเข้มว่า “ไม่ต้องระวังตัวถึงขนาดนั้นหรอก พวกเขาจะรู้ก็รู้ไปเถอะ”

ถึงแม้ว่าคนในตระกูลจังไม่พบกับย่าเหยียน แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องรู้ว่านางเคยมา เพราะตอนที่นางมาถึงบ้านตระกูลจัง นางเล่นใหญ่ไปหน่อย มีชาวบ้านไม่น้อยที่เห็นนาง

ข่าวลือแพร่กระจายเร็วกว่าที่เจ้าคิด คิดจะปิดบังคนตระกูลจัง ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย

เมื่อได้ยินคำพูดของย่าเหยียน นักปราชญ์รู้สึกหมดปัญญาอย่างที่สุด

สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนดี นักปราชญ์รู้สึกว่าต้องระวังให้ดีในทุกเรื่อง

ย่าเหยียนกลับตรงกันข้าม คงกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่านางและนักปราชญ์เป็นคนสนิทสนมกัน และยังมาที่ตระกูลจังด้วยความเอิกเกริก

หากมีเรื่องด่วนอะไร ส่งเสียงพันลี้มาก็ได้ไม่ใช่หรือ?

หรืออาจจะเข้ามาแบบเงียบๆ ก็ได้เช่นกัน

นักปราชญ์ไม่เข้าใจว่าย่าเหยียนคิดอย่างไรจริงๆ

ย่าเหยียนเมินเฉยต่อสายตาที่มีความสงสัยของนักปราชญ์ นางพูดว่า “อาเล่อเคยเจอกิเลนผ่านมาแถวนี้ เซียวเฉวียนน่าจะอยู่บริเวณนี้”

ตอนที่นางลงมาที่ตีนผาครั้งแรก ไม่สามารถหาตัวเซียวเฉวียนเจอ เพราะนางประมาท และถูกเซียวเฉวียนหลอกเอาได้

เมื่อนึกย้อนในตอนนี้ ย่าเหยียนคิดว่าตอนแรกเซียวเฉวียนก็ต้องคาดเดาได้แน่นอน ว่านางจะหาที่นี่พบ ต้องการคิดหลบการไต่สวนของนาง จึงตั้งใจไม่ให้ชาวบ้านตีนผาเห็น

เพราะเซียวเฉวียนรู้ว่า หากหลบชาวบ้านพ้น ก็ยิ่งสามารถหลบย่าเหยียนพ้นเช่นกัน เขารู้ว่าย่าเหยียนต้องมาถามที่มาที่ไปของเซียวเฉวียนอย่างแน่นอน

ต้องบอกเลยว่า ความคิดของเซียวเฉวียนรอบคอบเป็นอย่างมาก ย่าเหยียนที่ใช้ชีวิตมาเนิ่นนานขนาดนี้ บางทีก็รู้สึกอับอายที่สู้คนอื่นไม่ได้เล็กน้อย

ตรงตามประโยคที่กล่าวไว้ว่า ทุกยุคสมัยจะมีคนเก่งเกิดขึ้นมา

การกลับมาที่ตีนผาในครั้งนี้ ย่าเหยียนไม่เพียงต้องการตามหาเซียวเฉวียนและฆ่าเขาเท่านั้น และยังต้องการยุติปัญหาการไปจากที่นี่ของชาวบ้านตีนผา

ก็ไม่แปลกที่ย่าเหยียนจะปิดบังความสามารถที่แท้จริงกับเขา

คิดว่าในใจของย่าเหยียนจะต้องดูหมิ่นเขาอยู่เป็นแน่

เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว จู่ๆ ในใจของนักปราชญ์ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา คิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ตัวตลกต่อหน้าย่าเหยียนมาโดยตลอด

ทว่าเขาไม่กล้าแสดงอารมณ์แบบนั้นออกมา ย่าเหยียนไม่เพียงแต่มีความแข็งแกร่งเท่านั้น เขายังต้องพึ่งพานางเพื่อช่วยชีวิตเขาด้วย

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ย่าเหยียนพูดเหตุผลของการมาที่นี่ออกมาตรงๆ “ท่านคอยดูการเคลื่อนไหวของชาวบ้านที่นี่ต่อไป ข้าจะขอตัวไปตามหาที่อยู่ของเซียวเฉวียน”

ด้วยความสามารถของนักปราชญ์ หากย่าเหยียนนำเขาไปตามหาเซียวเฉวียนด้วย อาจจะทำให้สัตว์สงครามสองตัวรู้ตัวก่อน

อีกอย่างก็คือ ต้องมีคนคอยจับตาดูชาวบ้านเอาไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาแอบหนีออกจากหมู่บ้านแห่งนี้

นักปราชญ์ตอบรับอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ได้!”

ในขณะเดียวกันนั้น จังผิงเดินเข้ามาพอดี วินาทีแรกที่เขาเห็นย่าเหยียน เขาก็ประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก

เป็นเวลานานกว่าที่เขาจะได้สติกลับมา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้มว่า “ท่านคือผู้ใดกัน?”

มาได้เวลาพอดีเลย ย่าเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “เมื่อครู่เจ้าไปเก็บยา ได้กลิ่นเนื้อไหม้ในอากาศด้วยใช่หรือไม่?”

จังผิงพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว

ย่าเหยียนพูดว่า “อยู่ตำแหน่งใด?”

จังผิงไม่รู้ว่านางถามคำถามเหล่านี้ทำไม ยิ่งไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับนาง แต่เขาทำได้เพียงตอบตามความจริงว่า “เมื่อออกนอกประตูไปให้เดินตรงไปทางด้านซ้าย จากนั้นก็ก็จะเห็นภูเขาลูกหนึ่ง”

ในขณะนั้นเขาเป็นคนไปเก็บยาบนภูเขาลูกนั้น และได้กลิ่นแบบนั้นด้วย

เมื่อได้ยินดังนั้น ย่าเหยียนก็พูดว่า “ดี ข้ารู้แล้ว ขอบใจ”

คำว่า “ขอบใจ” สองคำนี้ ทำให้เส้นประสาทที่ตึงเครียดของจังผิงได้ผ่อนคลายลงมาก

เขายังไม่ทันกล่าวพิธีรีตองกับย่าเหยียน เงาของนางกลับไปหาย เหมือนกับเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางจริงๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย