ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1946

แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่นางยังปิดบังสถานะที่แท้จริงของตัวเองไว้ นักปราชญ์ก็ยังรับใช้สำนักหมิงเซียน รับใช้นาง กองทัพจะอยู่ในมือของนางเองหรือไม่มันไม่สำคัญ

อันที่จริง ยายเหยียนยังว่ามันน่ารำคัญด้วยซ้ำ มีกองทหารอยู่ในมือ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ปัญหาเรื่องเสบียงปากท้องของทหารก็ยุ่งยากมากพอแล้ว

มีคนสมัครใจมายุ่งเกี่ยวเรื่องพวกนี้ ยายเหยียนสามารถนั่งเฉยๆ ให้คนอื่นไปเหนื่อยแทนไม่ดีกว่าหรือ ?

นางคงไม่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรจะทำ ไปแส่ชิงเอากองทัพมาจากมือของนักปราชญ์ดอก

ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ท่าทีของยายเหยียนก็คือ หากนางบังเอิญสามารถได้เบาะแสของกองทัพมาก็ดี

หาไม่แล้ว กองทัพอยู่ในมือของนักปราชญ์ไปตลอด ก็เป็นเรื่องที่ดี

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่กองทัพรับใช้สำนักหมิงเซียนอยู่ มันก็เป็นเรื่องที่ดี

ตราบใดที่ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน มันไม่สำคัญว่าขั้นตอนของมันจะเป็นอย่างไร

ยายเหยียนไม่ได้ตอบคำถามของนักปราชญ์ทันที แต่ไปบอกนักปราชญ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งให้นักปราชญ์ต้องตกตะลึง "ตอนที่ข้ามุ่งไปเมืองหลวง ได้ดักนกพิราบส่งสารไว้ตัวหนึ่ง นกพิราบตัวนี้น่าจะออกมาจากกองทัพ"

พอได้พูดถึงกรณีส่วนนี้ ด้วยความฉลาดแหลมของนักปราชญ์ ยายเหยียนไม่ต้องพูดต่อไป เขาก็คงคิดออกได้แล้วกระมัง

อย่างว่า พอนักปราชญ์ได้ยินแค่นั้น สีหน้าของเขามืดคล้ำลงทันที และพูดว่า "ในจดหมายเขียนว่าอะไรหรือ ?"

จุดประสงค์ที่ถามนี้ นักปราชญ์จะอาศัยข้อความของจดหมาย ดูว่าใครแอบกำลังติดต่อกับคนโลกภายนอกอย่างเงียบๆ และกำลังติดต่อกับใครอยู่

ยายเหยียนพูดด้วยเสียงหนักอึ้ง “จดหมายไม่ได้กล่าวอะไรมาก แค่เขียนว่า หากต้องการทราบที่อยู่ของกองทัพ ให้ตามมากับนกพิราบสื่อสารได้”

ไม่ได้เขียนกล่าวอะไรอย่างอื่นเลย

ลักษณะนี้ จะรู้ว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ คงยาก

นอกจากจะติดตามนกพิราบนั้นไปถึงแหล่งของผู้รับสารนั้น

น่าเสียดายที่นกพิราบสื่อสารนั้นถูกยายเหยียนดักจับกลางทาง

ถึงอย่างไร ก่อนจับนกพิราบนั้น ยายเหยียนก็ไม่รู้ว่าจดหมายที่นกพิราบนำส่งนั้นเกี่ยวข้องกับกองทัพ

หากรู้ก่อน ยายเหยียนก็คงไม่ด่วนดักมันลงมาเร็วขนาดนี้

แน่นอน เรื่องที่นางให้อาเล่อติดตามนกพิราบสื่อสารไปยังทะเลทรายนั้น นางไม่บอกนักปราชญ์หรอก

จะปิดบังเรื่องนี้ ยายเหยียนก็ย่อมไม่อาจบอกนักปราชญ์ได้ว่าอาเล่อพบกิเลนตอนที่เขาไปยังทะเลทราย

เมื่อได้ยิน นักปราชญ์ก็หรี่ตาลงแล้วถามว่า "เจ้าสำนักเหยียนได้นำนกพิราบตัวนั้นกลับมาหรือเปล่า ?"

หากได้นำนกพิราบนั้นกลับมาที่นี่ นักปราชญ์ก็สามารถติดตามนกพิราบเพื่อไปดูว่ามีคนมาจับตาดูกองพันหรือว่ามีหนอนอยู่ในกองพันกันแน่

ยายเหยียนกล่าวว่า "เปล่า ไม่ได้คิดอะไรมากในตอนนั้น"

มือง่ายๆ ก็ปล่อยนกพิราบบินไปเลย

จะบอกว่านางเจตนาปล่อยนกพิราบไม่ได้

ไม่งั้น นักปราชญ์จะระแวงได้

พูดอย่างนี้ ก็ทำอะไรต่อไม่ได้ละสิ

นักปราชญ์ยังคิดว่ายายเหยียนจะมีความรอบคอบ นำนกพิราบกลับมาเสียอีก

แต่พอคิดใหม่อีกที นักปราชญ์ก็รู้สึกช่างเถอะ

หากนางนำกลับมา ตอนที่ยายเหยียนมาถึงด้านล่างของหน้าผาแรกๆ ก็คงจะบอกนักปราชญ์เรื่องนี้ และมอบนกพิราบสื่อสารให้กับนักปราชญ์แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาพูดถึงมันกับนักปราชญ์ตอนนี้

คิดว่ายายเหยียนคงเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หรือบางทีอาจคิดว่ามันไม่สำคัญขนาดนั้น จึงเพิ่งมาพูดเรื่องนี้ขึ้นกับนักปราชญ์ในตอนนี้

แต่ก็ยังดีที่ยายเหยียนไม่ได้ติดใจในเรื่องนี้มากนัก มิฉะนั้น ถ้ายายเหยียนติดตามนกพิราบนั้นไปด้วยตัวเอง ยายเหยียนก็คงรู้ที่อยู่ของกองทัพนั้นไปแล้ว

ถ้ายายเหยียนมีเจตนาจะยึดกองพันเป็นของนางเอง ไพ่ตายของนักปราชญ์ก็คงต้องสูญเสียไป

ดังนั้นเรื่องนี้ สำหรับตัวนักปราชญ์แล้ว เป็นทั้งเรื่องแย่ เป็นทั้งเรื่องดี

ขอเพียงว่ากองทัพยังอยู่ในมือของเขา ก็เป็นเรื่องดี

ส่วนที่ว่าเป็นเรื่องแย่นั้น นักปราชญ์ก็ต้องไปพิสูจน์เอาเองว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ในกองทัพหรือว่ากองทัพกำลังตกเป็นเป้าของใครอื่นหรือไม่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย