ที่ไป่เจวี๋ยบอกมานั้น ก็ใช่จะไร้เหตุผล
ในความเป็นจริง ก็ไม่มีใครเคยเห็นเซียวเฉวียนเคยอวดหญ้าอสุรา
แต่ก่อนนั้น เว่ยเชียนชิวเคยกลัวว่าเซียวเฉวียนครอบครองหญ้าอสุราอยู่ในมือ และไม่กล้าเอากองทัพนักรบแท้มาเสี่ยง เช่นเดียวกับนักปราชญ์ในเวลานี้
กองทัพนักรบแท้เป็นไพ่ใบสุดท้ายของนักปราชญ์ จะทำอะไรพลาดพลั้งไม่ได้
ระวังไว้ก็จะไม่พลาด
เพื่อรักษาไพ่ใบนี้ นักปราชญ์ยังคงยืนกรานจะให้กองทัพนักรบแท้เคลื่อนย้ายที่มั่นไปที่อื่น
เขาไม่อาจปล่อยให้กองทัพเกิดอะไรขึ้นได้
ตอนนี้ ฉินเฟิงยิงคำถามอันสำคัญออกมา "เจ้านาย แล้วเราควรย้ายไปอยู่ที่ไหน ?"
คนมากเป้าหมายก็ใหญ่ ไม่ใช่บอกว่าจะย้ายก็ย้ายได้
ในเมื่อไม่อยากให้เซียวเฉวียนรู้ที่อยู่ของกองทัพ จึงต้องแอบทำโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ปัญหานี้ นักปราชญ์ก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึง
แต่ตอนนี้เซียวเฉวียนอาจค้นหามาถึงได้ทุกเมื่อ ไม่รีบย้ายออกจากนี่ไปก็ไม่ได้
ส่วนจะไปที่ไหนนั้น นักปราชญ์ก็ไม่มีจุดหมายที่แน่นอน
คิดๆ แล้ว นักปราชญ์กล่าวว่า "เรากลับไปที่หุบเขาในเมืองมู่อวิ๋นนั้นชั่วคราวก่อนเถอะ"
สถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
เซียวเฉวียนจะไม่มีวันฝันได้ว่ากองทัพจะย้อนกลับมาอยู่ที่เมืองมู่อวิ๋น
ย้อนกลับไปตามทางตอนที่มา ก็จะไม่มีคนมาเจอ
แต่มีข้อแม้ว่า ก่อนเดินพ้นจากทะเลทราย จะต้องไม่ไปจ๊ะเอ๋กับเซียวเฉวียน
ดังนั้น ยิ่งยืดเยื้อไปวันครึ่งวัน โอกาสที่จะไปเจอเซียวเฉวียนก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ชักช้าไม่ได้ พวกเขาต้องรีบอพยพออกจากทะเลทรายแล้ว
ถอนกลับไปอยู่ที่หุบเขาเมืองมู่อวิ๋น ยังมีข้อดีอีกประการคือ หากวันหนึ่งพวกเขาต้องการเปิดสงครามกับต้าเว่ย พวกเขาก็จะอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบมาก
สามารถบุกฆ่าต้าเว่ยได้เฉียบพลัน ทำให้เขารับมือไม่ทัน
ได้ยินว่าจะถอยกลับไปที่เมืองมู่อวิ๋น ฉินเฟิงคิดว่ามันเป็นทางเลือกไม่เลว
ที่นั่นมีต้นไม้มาก สะดวกที่ฉินเฟิงจะติดต่อกับภายนอกได้
ดังนั้น ฉินเฟิงจึงกล่าวว่า "เรื่องนี้แล้วแต่การตัดสินของเจ้านาย"
แต่ไป่เจวี๋ยกลับลังเลใจเล็กน้อย ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เขาพูดว่า "เจ้านาย ผู้น้อยรู้สึกว่าทำอย่างนี้ ดูไม่เหมาะสม"
หุบเขาในเมืองมู่อวิ๋นก็ดีอยู่ และสะดวกในการหลบซ่อน แต่เซียวเฉวียนคนนี้คาดเดาได้ยาก เผื่อเขาบุกย้อนกลับมา แอบย้อนมาที่เดิมเงียบ ๆ ย้อนรอยไปถึงหุบเขา ถึงตอนนั้นพวกเขาจะไม่ตกที่นั่งลำบากหรือ ?
ยิ่งกว่านั้น นักปราชญ์เมื่อกี้ก็บอกแล้ว กำลังของเซียวเฉวียนไม่ใช่เหมือนอย่างเมื่อก่อน ก็ยิ่งหละหลวมไม่ได้อย่างเด็ดขาด
โดยรวมแล้ว ไป่เจวี่ยรู้สึกว่า ถ้าจะกลับไปที่เมืองมู่อวิ๋น สู้อยู่นิ่งๆ ที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ
อยู่ที่นี่ เซียวเฉวียนไม่แน่ว่าจะหาพวกเขาเจอ
แต่ถ้ากลับไปที่เมืองมู่อวิ๋น ไม่เพียงแต่อาจถูกเซียวเฉวียนหาเจอได้ง่ายๆ ยังอาจโดนเซียวเฉวียนวางกับดักโดยไม่รู้ตัวด้วย
ถึงตอนนั้น หากเซียวเฉวียนจะกวาดล้างพวกเขา ก็แค่กระดิกนิ้วเท่านั้น
เล่นกับคนอย่างเซียวเฉวียน ไป่เจวี๋ยคิดว่าไม่อาจเอาชนะได้
เดิมทีไป่เจวี๋ยก็คิดหวังดีต่อกองทัพ แต่คำพูดของเขาฟังในหูของนักปราชญ์แล้ว ทำให้นักปราชญ์คิดไปเป็นอย่างอื่น
ก่อนที่นักปราชญ์จะมาที่ทะเลทราย ยายเหยียนได้บอกเขาว่ามีไส้ศึกในกองทัพ ส่งจดหมายไปเมืองหลวงแต่ถูกยายเหยียนดักจับเอาได้
ตอนนี้ ไป่เจวี๋ยมาพูดขัดขวางกองทัพเคลื่อนย้ายที่ตั้ง หรือว่าเขากำลังพยายามถ่วงเวลาให้กับเซียวเฉวียนหรือกับคนในเมืองหลวงหรือเปล่า ?
ใช่แล้ว นักปราชญ์เริ่มระแวงในตัวไป่เจวี๋ย
แต่ว่า เขาไม่แสดงออกมาบนหน้า คงทำสีหน้าอย่างเคร่งขรึม พูดว่า "แต่เราก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ รอให้เซียวเฉวียนตามมาเจอ"
เด็กคนนี้ จะติดตามเซียวเฉวียนไปทุกที่จริงๆ เซียวเฉวียนก็ทำอะไรกับเธอไม่ได้ เขาจึงตอบตกลงว่า "ถ้างั้น พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ"
ไม่รู้ตำแหน่งโดยประมาณของกองทัพ เซียวเฉวียนก็ได้แต่ค้นหาไปทั่วทั้งทะเลทราย
ทะเลทรายออกกว้างใหญ่ ถึงแม้เซียวเฉวียนจะมีวิชาเคลื่อนที่ในพริบตา แต่คิดจะหาให้ทั่ว ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
อย่างน้อยก็ต้องสักหนึ่งวัน
ได้ยินเช่นนี้ เซียวหมิงชิวก็ตอบทันทีว่า "ได้เลย ตามพ่อนั่นแหละ"
ทันใดนั้น เซียวหมิงชิวดวงตาเป็นประกายพูดว่า "พ่อ ดูสิ มีรอยเท้าอยู่ที่นี่"
เซียวเฉวียนก้มหน้าลงดู เห็นว่ามีรอยเท้าสองรอยจริงๆ รอยเท้าได้ถูกคลุมไปเกือบครึ่ง ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะมองไม่เห็นมันเลย
เห็นได้ว่าเซียวหมิงชิวเป็นคนรอบคอบมาก
ทิศทางของรอยเท้านี้ชี้ไปที่ทะเลทราย ซึ่งหมายความว่ามีคนเข้าไปในทะเลทรายแล้ว
นี่อาจเป็นของนักปราชญ์หรืออาจเป็นของชิงหลงก็ได้
เมื่อได้ยินชื่อชิงหลงนี้ เซียวหมิงชิวอดแปลกใจไม่ได้ว่า "พ่อ ท่านอาชิงหลงก็มาทะเลทรายด้วยหรือ ? มาตั้งแต่เมื่อไร ?"
เซียวเฉวียนบอกตามจริงว่า "ก็วันนี้เอง คาดว่าเขายังไปได้ไม่ไกลเท่าไร"
เซียวหมิงชิวถามอีกครั้งว่า "ถ้าพวกเราพบเขา เราจะให้เขารับรู้ในพลังของหมิงชิวไหม ?"
พอได้ยินสิ่งนี้ เซียวเฉวียนก็ลังเลนิดหนึ่งและกล่าวว่า "ให้รู้ได้ไม่เป็นไร"
เรื่ององค์หญิงต้าถงยังมีชีวิตอยู่ ชิงหลงรู้มานานแล้ว ตอนที่องค์หญิงอยู่ในภูมิภาคตะวันตก ชิงหลงยังได้ช่วยเหลือกันไม่น้อยด้วย
เขาก็รู้เรื่องมีเซียวหมิงชิวอยู่ เขายังเป็นคนที่เชื่อถือได้ เซียวเฉวียนคิดว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังเขา
ได้ยินปั๊บ เซียวหมิงชิวก็ยิ้มกล่าว "ได้เลย งั้นหมิงชิวก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังล่ะ"
ในความเป็นจริง เซียวเฉวียนรู้สึกว่า ถ้าเขาเจอชิงหลงในทะเลทราย พลังของเซียวหมิงชิวก็อาจไม่สามารถปิดบังชิงหลงก็ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...