ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 23

ที่ลานบ้านตระกูลเซียว

เซียวเฉวียนที่อยู่ในยุคศตวรรษที่ 21 เขาไม่มีงานอดิเรกใดๆ นอกจากการหมกมุ่นอยู่กับวัตถุของเก่าโบราณทางวัฒนธรรมทุกวัน ชอบกินชอบดื่ม มีเพียงทรัพยากรในโลกามนุษย์เท่านั้นที่ปลอบประโลมจิตใจและไส้พุงของชาวมนุษย์ธรรมดาทั่วไปได้มากที่สุด

เมื่อเขามาถึงโลกของต้าเว่ย เซียวเฉวียนรู้สึกอดอยากเต็มทีเพราะไม่มีพริก เกือบจะบ้าคลั่งเมื่อขาดเหล้า เขารู้ว่าสภาพความเป็นอยู่และความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุในสมัยโบราณนั้นไม่ดีเท่าในยุคปัจจุบัน แต่เขาไม่คิดว่าผู้คนในต้าเว่ยจะมีชีวิตที่น่าเบื่อถึงขนาดนี้

เขายังพออดใจได้ที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือให้เล่น แต่อาหารของต้าเว่ยนั้น สำหรับเซียวเฉวียนผู้ซึ่งเคยกินอาหารจีนหลัก 8 ชนิดในยุคปัจจุบันมาแล้ว เป็นอาหารจืดชืดจนทำให้คนทำอะไรไม่ถูก เขาคิดถึงอาหารเสฉวนและหูหนาน อาหารกวางตุ้ง อาหารซานตง......

พริกจะยังไม่สามารถหาได้ในระยะหนึ่ง แต่เหล้าสามารถปรุงได้ด้วยมือตัวเอง

ระหว่างทางที่กลับจากคฤหาสน์ตระกูลฉิน เซียวเฉวียนแวะไปซื้อธัญพืชใหม่ที่ออกในปีนี้ที่ร้านเล็กๆ กลั่นเหล้า ต้องเลือกธัญพืชใหม่ที่ปราศจากโรคราน้ำค้าง แมลง และธัญพืชต้องเต็มเมล็ดเพื่อทำเป็นวัสดุพื้นฐาน

การทำแป้งเปียกของธัญพืชเป็นพื้นฐานในการกลั่นเหล้า และผลของการทำแป้งเปียกนั้นจะเป็นตัวกำหนดตัดสินคุณภาพขั้นสุดท้ายของเหล้าโดยตรง

เจลาติไนเซชันหรือการทำแป้งเปียกคือการทำให้ธัญพืชดูดซับน้ำที่เหมาะสม ทำให้เมล็ดแป้งแตกตัว อำนวยความสะดวกในการสัมผัสเชื้อรา และเตรียมน้ำและสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์

การหมักเหล้าขาวในลัษณะของแข็งแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น การกรอง การซาว การแช่ การทำให้แห้ง การนึ่งครั้งแรก การตุ๋น การทำให้เย็น และการนึ่งซ้ำ แต่ละกระบวนการมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด สุดท้ายมาวินิจฉัยว่าทำสำเร็จหรือไม่โดยใช้ประสาทสัมผัส!

อาศัยความทรงจำในสมอง เขาพูดพล่ามในปาก ถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อซาวข้าว ป้าแม้วบอกว่าอยากช่วย แต่เขาก็ไม่ให้ช่วย เขาต้องการทำเองทุกขั้นตอน

มารดาของเซียวเฉวียนอยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้มว่า "ลูกอยากเหล้ามากขนาดนี้หรือ เมื่อก่อนลูกไม่เคยแตะต้องแม้แต่หยดเดียวนี่นา"

“ที่ทำอยู่นี่เพื่อจะเอาไปขายครับ ไว้กลั่นเสร็จแล้ว แม่ลองชิมดูสิ มันต้องไม่เหมือนกับเหล้าที่เคยดื่มมาก่อนอย่างแน่นอน”

คำตอบของเซียวเฉวียนทำให้มารดาอึ้งไปชั่วขณะ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ "ลูกอยากทำการค้าหรือ"

“แน่นอน ไม่อย่างนั้นมีฝีมือก็เสียเปล่า ลูกจะปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของทุกคนดีขึ้น พวกคุณที่อยู่กันที่นี่มันยากลำบากเกินไปแล้ว”

มารดาของเซียวเฉวียนฟังไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกชายพูดในระยะหลังนี้ ท่านรู้สึกว่าลูกชายเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน แต่ก็บอกไม่ถูกว่าอะไรเปลี่ยนไป

และลูกชายก็ไม่ให้มารดาเรียกชื่อเขาว่า ลูกติ้ง บอกให้เรียกว่า ลูกเฉวียน แทนดีกว่า

มารดาเซียวเฝ้ามองดูอยู่ข้างๆ เป็นเวลานาน ลังเลที่จะพูด เห็นลูกชายซึ่งอยู่ใกล้ต่อหน้า แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้า

เซียวเฉวียนแช่ธัญพืชไว้เสร็จ เช็ดน้ำที่มือด้วยเสื้อผ้า "แม่ แม่มีอะไรจะบอกกับลูกไหม"

ตอนที่เซียวเฉวียนกลับเข้าบ้านมาเมื่อสักครู่นั้น ได้เล่าอย่างตื่นเต้นให้มารดาฟังถึงเรื่องโต้ฝีปากกับซ่งจือมาอย่างไร ท่านครุ่นคิดอยู่นานแล้วยังถามว่า "ลูกเฉวียน ลูกต้องคิดให้ดีนะ จะไปออกสนามรบสู้กับศัตรูจริงๆหรือ?"

“แน่นอน แต่ว่าก่อนหน้านั้น ลูกยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ”

เซียวเฉวียนตอบไปโดยไม่ลังเล

ต้าเว่ยอยู่ในสภาวะสงคราม ในสภาวะล่อแหลมนี้ มีวิชาปัญญาอะไรก็ไร้ประโยชน์ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีอำนาจอยู่ในมือ

แต่การจะได้มาซึ่งอำนาจนั้น ในสมัยโบราณมีช่องทางแสวงหาที่สะดวกที่สุดคือ 1. สอบให้ได้พร้อมชื่อเสียง 2. สืบทอดทางวงศ์ตระกูล 3. เข้าสู่สนามรบและสร้างผลงานทางทหาร

การสืบทอดทางวงศ์ตระกูลนั้น เซียวเฉวียนคงไม่มีหวัง

ดังนั้น เซียวเฉวียนได้แต่สมัครเข้าสนามสอบเพื่อสอบให้ได้มาพร้อมชื่อเสียง แต่ตอนนี้ตระกูลเซียวไม่มีบรรพบุรุษที่จะมาอุ้มชูเขา และไม่มีรากฐาน แม้เขาจะสอบได้และได้รับความโปรดจากจักรพรรดิ ทรัพย์สมบัติของตระกูลเขายังไม่แข็งแกร่งพอ จึงยังไม่อาจท้ายทายกับผู้คนที่มีฐานะและอิทธิพลได้

ไม่ใช่ว่าเซียวเฉวียนไม่สามารถสู้ศึกในสนามรบได้ ถึงอย่างไรเขาก็ได้ร่ำเรียนตำราวิทยายุทธ์มาอย่างช่ำชองแล้วทั้งสิบสำนักของสมัยโบราณ เช่น "ศิลปะแห่งสงครามของซุนวู" "อู๋จื่อ" "วิชาซือหม่า" เป็นต้น เขาจำได้อย่างคล่องแคล่วและวางแผนกลยุทธ์ได้สบาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย