นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีถูกบีบให้ต้องล่าถอย ตอนนี้เขาพิงกำแพงอยู่ เขาไม่ตอบสนอง เขาตกใจในคำพูดของเซียวเฉวียนจนพูดอะไรไม่ออก
เสียงดังของเซียวเฉวียนเข้มแข็งและทรงพลัง ด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีและลูกน้องของตระกูลฉีต่างตกตะลึง
ฉินปาฟางที่เซียวเฉวียนพูดถึง มีใครบ้างจะไม่รู้จัก? ฉินปาฟางมีเกียรติยศไม่เป็นสองรองใคร ลูกชายของเขาฉินเซิงมีความสามารถยิ่งน่าตกใจ ได้รับขนาดนั้นว่าจอมขุนพลตั้งแต่อายุน้อย ตระกูลฉีเป็นเพียงเจ้าของที่ดินตัวเล็ก ๆ เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บของจวนฉินด้วยซ้ำ!
นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีตื่นตระหนกจนหัวใจเต้นแรง!
แต่นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉียังคงกัดฟัน เขารู้จักกับลูกชายคนโตของตระกูลฉิน ฉินเฟิง มานานหลายปี ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดี เขาต้องกลัวลูกเขยจอมอวดดีที่เพิ่งแต่เข้าไปผู้นี้อย่างนั้นหรือ?
นึกถึงตรงนี้ นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีก็กล่าวออกมาด้วยความกล้าของเขา “ข้า......ข้าไม่เคยเห็นใครที่แต่งเข้าไปเป็นเขยบ้านคนอื่นแล้วภูมิในใจตัวเองเยี่ยงเจ้ามาก่อน! ใครก็รู้ เมื่อคืนเจ้าไม่ได้แม้แต่เข้าไปในห้องของคุณหนูใหญ่! นอนในห้องคนรับใช้ นอนในหัวครัว! เรื่องพวกนี้ลือกันไปทั่วเมืองหลวง! เจ้ายังเรียกตัวเองว่าลูกเขยอยู่งั้นหรือ! แม้แต่หมาเจ้ายังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
เวลานี้สีหน้าของแม่เซียวก็เปลี่ยนไป
เซียวเฉวียนหัวเราะอย่างเยือกเย็น หัวเราะจนทำให้หัวใจของนายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีสั่นไหว
เซียวเฉวียนประสานมือของเขา ท่าทางแห่งความรุนแรงของเขาไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย แสงในดวงตาของเขาราวกับทิ่มแทงเข้าไปในดวงตาของนายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉี “นินทาหรือพูดถึงเรื่องของขุนนางในพระราชวัง อาจจะถูกตัดลิ้นและส่งเข้าไปในคุก! ในกรณีที่ร้ายแรง พวกเจ้าอาจถูกส่งตัวไปเป็นทาสตามชายแดน! และดึงลิ้นของคนในตระกูลฉีทุกคน! ต่อให้เจ้าจะมีสักกี่ชีวิตก็คงอยู่ไม่ถึงวันที่เจ้าไปถึงชายแดน!”
นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีตัวสั่น คำพูดนี้ทำให้เหล่าชาวบ้านที่กำลังดูความสนุกอยู่ด้านนอกต่างพากันเงียบปาก
ฉี่ของนายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีกำลังจะไหลออกมา เขามองมาที่เซียวเฉวียน “เจ้า......เจ้ารอข้าก่อน......หลังจากเจ้าสอบระดับชนบทเรียบร้อย ข้าจำมารับเงิน เจ้าหนุ่ม เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
ลูกน้องของเขาตัวสั่นเล็กน้อย กล่าวออกมาด้วยความลำบากใจ “นายน้อยเลิกพูดได้แล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”
ตระกูลฉีไม่สามารถรุกรานได้นั้นเป็นเรื่องจริง หากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปถึงหูของตระกูลฉิน เกรงว่าตระกูลฉีอาจต้องคุกเข่าลงพื้นเพื่อชดใช้
นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีกุมใบหน้าที่ถูกตอบและตะโกนด้วยความโกรธ “เมื่อถึงเวลา! หากเจ้าไม่มอบเงินจำนวนสามร้อยตำลึงให้ข้า ข้าจะทำให้ทุกคนในเมืองหลวงได้รู้ว่าเจ้าทำให้ตระกูลฉินต้องอับอายมากแค่ไหน!”
เซียวเฉวียนตะโกนออกไป “ไสหัวไปซะ! ไม่เช่นนั้นข้าจะโบกเจ้าอีกสักครั้ง!”
นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลฉีตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว รีบวิ่งออกมาจากบ้าน การประสบอุปสรรคครั้งแรกของเขา ทำให้นายน้อยโกรธเป็นอย่างมาก ทำลายข้าวของในสวนจนวอดวาย ระบายความโกรธก่อนจะเดินจากไป
“ลูก เจ้าได้รับความอัปยศเช่นนี้ในตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ?” แม่เซียวถามเสียงสั่นออกมา
เซียวเฉวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความหวาดกลัวยังหลงเหลืออยู่ คิดไม่ถึงว่าอันธพาลพวกนี้จะจากไปโดยไม่สำนึกผิด
เขาหันกลับมาพูดปลอบประโลม “ไม่ต้องไปฟังเขา เขาก็เอาแต่พูดไร้สาระ ที่พูดมานั้นเชื่อไม่ได้”
“ลูก เรื่องสามร้อยตำลึงจะมีหรือไม่นั้นไม่ต้องพูดถึง แต่......ตระกูลฉีนั้นรังแกผู้อื่นมากเกินไป นี่คือการขู่กรรโชกอย่างชัดเจน” แม่เซียวที่ตกใจกลัว ส่ายหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ นางกล่าวออกมาทั้งน้ำตา หากไม่ใช่เพราะสามีของนางเสียชีวิตในสนามรบเร็วเกินไป นางซึ่งกลายเป็นม่ายและลูกของนางจะถูกคนอื่นรังแกถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
“วางใจ เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ข้าต้องมอบเงินให้กับเขาสามร้อนตำลึง เขาก็ไม่กล้ารับมันไว้”
“อ่า ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม่แค่อยากรู้ว่างานแต่งงานที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่ เจ้า......” แม่เซียวกุมมือเขาด้วยความกังวล เวลานี้ชาวบ้านซึ่งอยู่ด้านนอกต่างพากันซุบซิบนินทา พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวอันแสนตลกของเซียวเฉวียน
การเป็นลูกเขยแต่งเข้าก็น่าอายมากพอแล้ว แต่กลับไม่ได้เข้าไปในห้องนอนในคืนแต่งงาน นี่เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่?
นี่คือความอัปยศอย่างแท้จริง!
“แม่ ตระกูลฉินปฏิบัติต่อข้าดีมาก แม่ทัพฉินยินดีที่จะให้ข้าแต่งงานกับคุณหนูฉินคนใหญ่ เขาจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้นได้อย่างไร? ตระกูลฉินเป็นตระกูลที่น่านับถือ ทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับทุกตระกูล เขาไม่มีทางทำเรื่องให้ลูกต้องอับอาย นี่ไง เงินจำนวนห้าสิบตำลึงนี้คือเงินที่ท่านยายฉินฝากข้ามามอบให้แม่ และท่านยังกล่าวว่าครอบครัวของพวกเราจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคต”
เซียวเฉวียนพูดออกมาเสียงดัง เมื่อเหล่าประชาชนได้ยินเกี่ยวกับเงินห้าสิบตำลึง ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างจนแทบจะทะลักออกมา สำหรับครอบครัวทั่วไปที่มีกันอยู่หกคน เงินจำนวนสองตำลึงก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้นานกว่าหนึ่งปี!
ชาวบ้านก็ได้เห็นถุงเงินในมือของแม่เซียว เมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าสนุก พวกเขาก็จากไปด้วยความไม่พอใจ
ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า เซียวเฉวียนอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งวันโดยไม่รู้ตัว ถึงคราวที่เขาต้องกลับจวนฉินแล้ว
แม่เซียวหยิบถุงใส่ของออกมาจากตะกร้า “ลูก เอานี่ไปด้วย”
“นี่มัน......”
เซียวจิงยิ้มและกล่าวออกมา “นี่คือหมูแดดเดียวที่แม่เหลือไว้ให้ท่านพี่”
ในหนึ่งปีตระกูลเซียวแทบจะไม่ได้ลิ้มลองของคาว เนื้อถือเป็นอาหารชั้นยอด
มองเซียวจิงที่ผอมบางและแม่ที่กำลังป่วยอยู่ของเขา ดวงตาของเซียวเฉวียนกลายเป็นสีแดง “ไม่เป็นไร แม่กับน้องเก็บไว้กินเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...