ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 39

บทกวีที่นักเรียนได้เรียนในชั้นประถม สามารถส่งผลให้คนสมัยโบราณมีความสุขได้ถึงเพียงนี้ เมื่อเซียวเฉวียนหันกลับมาพบว่าเขาเป็นชายชราผมขาวท่านหนึ่ง

ชายชราแต่งกายภูมิฐาน เรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ดูเปล่งปลั่ง ท่าทางและอารมณ์นี้ ประกอบกับแว่นสายตาที่สวมอยู่นั้น เป็นภาพของครูสอนภาษาจีนอย่างไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน

แถมเขายังอยู่ที่ข้างนอกของโรงเรียนชิงหยวน เซียวเฉวียนจึงยกมือขึ้นทำความเคารพว่า “นักเรียนเซียวขอคำนับท่านเจี้ยวยวี่ (ครู) ครับ”

ที่เรียกว่า เจี้ยวยวี่ เจี้ยวหมายถึงสอน ยวี่ หมายถึงตักเตือน เจี้ยวยวี่ในยุคโบราณหมายถึงครูที่สอนเป็นทางการ เป็นทั้งขุนนางระดับแปด คอยชี้แนะบัณฑิตที่มีชื่อเสียงหรือผู้สมัครสอบ เพื่อให้พวกเขาสามารถมุ่งมั่นในการเรียนและสอบให้ได้ตำแหน่งและชื่อเสียง

เมื่อเห็นว่าเซียวเฉวียนฉลาดและดูหนักแน่น ทั้งพูดจาฉะฉาน ชายชราตรวจสอบอย่างละเอียดเห็นว่า ไม่มีชื่อคนนี้ในโรงเรียน เขาครุ่นคิดอยู่นานพลางลูบหนวดเคราและเอ่ยปากถามว่า "ใช่เซียวเจี่ยเหยียนหรือเปล่า?"

"ใช่นักเรียนครับ"

”ใกล้จะถึงกำหนดสอบแล้ว ผู้ที่ได้ผ่านการทดสอบมาทุกคนกำลังเตรียมตัวสอบในโรงเรียน เหตุใดเจ้าจึงไม่อยู่ที่นี่?” ชายชราดูมีพลกำลัง โชกโชนแต่หนักแน่น สีหน้าของเขาไม่อาจปิดบังว่าเขาชื่นชมเซียวเฉวียนแค่ไหน แต่น้ำเสียงของเขาแซมตำหนิ หรือจริงอย่างที่คนในเมืองหลวงเขาว่า เซียวเฉวียนไม่เก่งเรื่องเลข เลยล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองไปแล้ว?

ดูจากบทกวีของเขาเมื่อสักครู่นี้ เขาเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น ไม่ใช่คนที่จะยอมทำตัวตกต่ำ

ไม่ใช่ว่าเซียวเฉวียนไม่อยากมา เขาคิดว่าเขาสามารถทำข้อสอบได้ เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าตีห้าทุกวันเพื่อมาอ่านตำราของคนโบราณหรอก

เซียวเฉวียนก้มศีรษะไม่ตอบ จะมาคุยโม้ว่าเขาเป็นที่หนึ่งสำหรับวิชาเลขในตอนนี้ไม่ได้หรอก

ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า "พรุ่งนี้เจ้ามาที่โรงเรียน ฉันจะสอนวิชาเลขให้"

เมื่อพูดจบ เขาก็ยื่นไม้คาดเอวที่มีคำว่า "เหวิน" สลักไว้ แสดงว่าชายชรานั้นมีนามสกุลว่า เหวิน

เซียวเฉวียนผงะไปแวบหนึ่ง และรับป้ายคาดเอวด้วยมือทั้งสองข้าง "ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอน แต่ว่านักเรียน......"

มือของครูเหวินวางกดอยู่บนไหล่ของเขาอย่างหนัก ราวกับว่าเขากำลังนึกเสียดาย "อย่ายอมแพ้ วิชาเลขไม่ได้ยากอะไร อย่ารอให้ถึงวัยชราอย่างครูคนนี้ แล้วเจ้าจะมาเสียใจว่า วัยหนุ่มสาวมัวแต่เกียจคร้าน ถึงวัยแก่เถ้าเศร้าใจเอย”

หลังพูดจบ ครูเหวินก็เอามือไพล่หลังเดินจากไป เงาร่างที่ผอมเรียวอ้างว้างของเขาค่อยๆ แต่มั่นคง หายไปในแสงระเรื่อของตะวันตกดิน

เซียวเฉวียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในยุคศตวรรษที่ 21 เขาเรียนภาคบังคับ 9 ปี มัธยมปลาย 3 ปี และมหาวิทยาลัย 4 ปี หลายปีมานี้ เขาทำงานทั้งเรียนอย่างหามรุ่งหามค่ำ ได้ยินเสียงไก่ขันมาทุกเช้าวัน เรียนหนักและฝึกฝนหนักมาตั้ง 16 ปีเต็มๆ ยากลำบากมากมายยิ่งกว่าคนสมัยโบราณที่ต้องเรียนหนักอยู่เพียง 3 ปีนั่น

โรงเรียนที่คนอื่นขอแต่ไม่สามารถเข้าได้นั้น เซียวเฉวียนกลับปฏิเสธเพื่อขอให้อยู่ห่างๆ

โรงเรียนชิงหยวน รอไม่เห็นตัวเซียวเฉวียน

เซียวเฉวียนขอให้ไป่ฉีนำส่งคืนป้ายคาดเอวของครูเหวินพร้อมกับจดหมายขอบคุณ ไปที่โรงเรียนชิงหยวนเพื่อปฏิเสธครูเหวิน

ในจดหมายเขียนว่า ฉันขอขอบคุณครูเหวินที่อำนวยความรักในตัวเซียวเฉวียน รู้สึกเป็นบุญคุณยิ่งนัก เขามีภาระกิจที่ต้องทำจึงไม่สามารถไปเรียนได้ เขาหวังว่าจะได้รับความเข้าใจจากคุณครู

ในจดหมาย เซียวเฉวียนยังบอกด้วยว่า วิชาเลขนั้นเขาพอได้อยู่ ไม่ได้แย่อย่างที่คนอื่นเขาพูดกัน ขอให้คุณครูไม่ต้องกังวล

พักนี้ผู้คนในเมืองหลวงสังเกตเห็นครูเหวินซึ่งเป็นครูสอนระดับปรมาจารย์ จะมายืนอยู่หน้าโรงเรียนชิงหยวนมองไปที่ถนนทางยาว หลังเวลาเลิกเรียนทุกวัน เสมือนว่ากำลังรอใครอยู่สักคน

แต่ทุกวันคนคนนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวมาเลย

สุดท้ายก็จะเอามือไพล่หลังแล้วเดินโดดเดี่ยวเดียวดายจากไปคนเดียว

ในเมืองหลวง คนที่รู้รักทนุถนอมบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่เทียบได้กับเฉาสิงจือได้นั้น คงต้องยกให้ครูเหวิน ท่านมีชื่อจริงว่าเหวินฮั่น ถ้าไม่พบบุคคลที่มีพรสวรรค์ ท่านจะกินไม่ลงและนอนไม่หลับ

เฉาสิงจือได้ยินมาว่าชายชราหัวโบราณคนนี้ ช่วงนี้กินไม่ลงนอนไม่หลับ จึงหาทางสอบถามเพื่อความกระจ่างว่าเขาคนนั้นเป็นใคร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย