ที่จวนจงเหริน
ฉินซูโหรวนั่งอยู่บนพื้น หมดเรี่ยวหมดแรง
สภาพที่นี่ไม่ค่อยดีนัก หนาวเย็นและมืดมน
เธออาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ข้างนอกห้องมีลานเล็กๆ
เดิมทีสำหรับคนอื่นจะไม่มีลาน แต่ได้ยินมาว่าไทเฮาทรงจัดเตรียมให้ เป็นกรณีพิเศษ เลือกห้องที่กว้างกว่าหน่อยให้เธออยู่
ไม่ว่าสถานที่นี้จะกว้างขวางแค่ไหนก็ไม่ใหญ่เท่าห้องครัวในจวนฉิน ฉินซูโหรวอยู่อย่างอึดอัดไร้ความสุข
แต่ยังมีหลังคาคุ้มหัว มีที่พักอาศัยก็ดีแล้ว
ตอนเข้ามาแรกๆ ฉินซูโหรวก็อารมณ์เสียทุกวัน ไม่ทุบประตูหน้าต่างก็ขว้างปาข้าวของ แต่ไม่มีใครมาแยแสเธอ
ด้วยความโมโหร้าย เธอขว้างกระทั่งถ้วยชาที่มีเพียงใบเดียวไป
เธอไม่ได้คิดว่า เธอขว้างถ้วยนี้แตกไป จะไม่มีใครเอาถ้วยชามาให้เธออีกแล้ว
จากนี้ไปเธอต้องดื่มน้ำจากชามสกปรกใบใหญ่ หรือรองน้ำถือไว้ในมือ
“ข้าเป็นเจ้าหญิงนะ! ถ้วยชาใบเดียวก็ไม่มาเปลี่ยวให้เหรอ?” ฉินซูโหรวดุด่าอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครมาสนใจเธอ
เธออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว นอกจากขันทีที่มาส่งอาหาร ไม่เคยเห็นใครอื่นเลย
ที่นี่เงียบเกินไป เงียบจนไม่เหลืออะไรนอกจากเสียงยุงที่ดังหึ่งๆ
“ก๊อก ๆ ๆ !”
เวลานี้ มีคนมาเคาะประตู
ปกติเมื่อขันทีมาส่งอาหาร เขาจะเคาะประตูนี้ เมื่อฉินซูโหรวเปิดประตู อาหารก็จะถูกวางไว้ที่หน้าประตู
ประตูนี้ไม่ได้ใส่กุญแจ ถึงอย่างไร ข้างนอกยังมีประตูใหญ่หลายชั้น เธอไม่สามารถออกไปได้อยู่แล้ว
วันนี้ ฉินซูโหรวเปิดประตู ไม่มีอาหาร มีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเท่านั้น
จดหมายบรรจุในซองสีขาว ซึ่งกรณีมีงานศพ ถึงจะใช้ซองสีขาว
ฉินซูโหรวใจสะดุ้ง เกิดอะไรขึ้นที่บ้านเหรอ?
เธอรีบเปิดซองจดหมาย มือของเธอสะท้าน ข้างในมีข่าวการเสียชีวิตของแม่ฉินและกำหนดการเคลื่อนศพ ซึ่งเป็นเจ็ดวันต่อมา
เจ็ดวัน
คนโบราณเสียชีวิต จะรอเจ็ดวันถึงจะเคลื่อนศพ
งั้นแม่...ก็เสียชีวิตในวันนี้ละสิ
ฉินซูโหรวที่ตั้งครรภ์เข่าอ่อนทรุดลง หัวใจเธอแทบวาย มีกระแสของเหลวอุ่นๆ ใต้ร่างกายของเธอ เป็นเลือดพลุ่งพล่านออกมา
เธอเกิดอาการหน้ามืด ล้มลงที่ประตูข้างใน
“ไทเฮาเสด็จ!”
ทันทีที่แม่ฉินเสียชีวิตในวันนี้ ไทเฮาก็ใช้แม่ฉินเป็นข้ออ้าง จะมาเยี่ยมฉินซูโหรวหลานสาวคนนี้
พอเสด็จมาถึง ก็พบฉินซูโหรวนอนจมอยู่บนกองเลือด
ไทเฮาทรงสะดุ้งและตรัสว่า “เร็วเข้า เรียกหมอเร็ว!”
“ไทเฮา นี่เป็นจวนจงเหริน” ขันทีผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าและขึ้นกราบทูล “ถึงจะป่วยจนถึงแก่ชีวิต ก็ไม่สามารถเชิญหมอหลวงได้ขอรับ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะออกไปรักษาข้างนอกจวนจงเหริน ให้รักษาที่นี่แหละ ไม่ได้เหรอ? คนมานี่!” ไทเฮาสงบคำ แต่นางกำนัลวัยชราที่อยู่ข้างๆ ไทเฮาพูดขู่ว่า “รีบๆ ให้ใครสักคนมาดูอาการเจ้าหญิงโดยด่วน! เจ้าหญิงเป็นหลานสาวของฉินปาฟาง ถ้าเธอมาตายที่นี่ ฝ่าบาทจะทรงอธิบายเรื่องนี้ให้บรรดาข้าราชสำนักทราบอย่างไร? "
ขันทีตกตะลึง ไม่กล้าพูดอีกต่อไป ยังไงก็บอกห้ามแล้ว ไทเฮามีอำนาจใหญ่กว่า ห้ามไม่อยู่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว
ถึงฉินปาฟางจะตายแล้ว แต่ชื่อของเขาก็ยังคงมีประโยชน์ เนื่องจะได้สร้างคุณงามความดีทางทหารมากมาย ฉินซูโหรวก็เป็นลูกหลานของเขา ถึงเธอจะไม่มีสถานะเป็นราชวงศ์ ฉินซูโหรวก็ยังมีฐานะสูงส่ง
องค์ไทเฮาแอบอ้างฉินปาฟาง จึงเป็นการกระทำที่ฉลาด
จวนจงเหรินวุ่นวายไปยกใหญ่ ทุกคนดูตื่นเต้นคร่ำเครียด
ที่จวนเซียว บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและมีความสุข
องค์หญิงต้าถง เซียวจิง และกลุ่มเด็กรับใช้ของบ้านเซียวรวมตัวกันอยู่รอบๆ ตัวของหยางอวี้หวนเพื่อสนทนา
หยางอวี้หวนมีโฉมงดงามโดดเด่น องค์หญิงต้าถงก็ใจกว้างใจดี เห็นเซียวเฉวียนพาสาวงามกลับมา ไม่เพียงแต่เธอไม่อิจฉา แต่เธอยังเอาใจใส่หยางอวี้หวนเป็นอย่างมากอีกด้วย
ในเมืองหลวงมีหญิงงามอยู่มากมายนับไม่ถ้วน องค์หญิงต้าถงเคยรับรู้พบเห็นมาไม่น้อย แต่เธอไม่เคยเห็นใครสวยเท่าหยางอวี้หวน แม้แต่เม่ยซีก็ยังดูสวยน้อยกว่าเธอนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงนิดหนึ่งเท่านั้น
มีคนเหมือนติดปีก บินเหาะเข้ามาอย่างไว "ข้าอ๋องมาแล้ว! ข้าอ๋องมาแล้ว!"
"ไม่สำคัญ ไม่สำคัญ"
เว่ยอวี๋ปัดมือ ทำท่าไม่มีอะไรหนักหนา แค่เรื่องตราประทับมู่อวิ๋นแตกเท่านั้นเอง
ที่ตำหนักฉางหมิง
เซียวเฉวียนมองดูตราประทับมู่อวิ๋นที่ขันทีหม่ากงกงเอามาให้ดู แล้วพยักหน้า "ทูลฝ่าบาท มันจริง... แตกเพราะข้าพระองค์"
"ทำไม?" จักรพรรดิ์ทรงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตราประทับมู่อวิ๋น มันมีอยู่เพียงดวงเดียว!
ทั้งกะราชวงศ์ต้าเว่ย มีตราประทับเหวินอิ้นเพียงแปดดวงเท่านั้นเอง!
ยกเว้นตราเหวินอิ้นในมือของจักรพรรดิที่สามารถควบคุมราชวงศ์ต้าเว่ยทั้งหมดได้ ตราเหวินอิ้นของอีกเจ็ดเมืองแต่ละเมืองจะควบคุมผู้รู้หนังสือในแต่ละเมืองเป็นเอกเทศ
เมื่อตรามู่อวิ๋นถูกทำแตก ผู้รู้หนังสือในตรามู่อวิ๋นเชื่อฟังก็ไม่เป็นไร หากพวกเขาไม่เชื่อฟัง เจ้าอ๋องที่ปกครองเมืองมู่อวิ๋นก็ได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากองค์จักรพรรดิ ซึ่งทำให้จักรพรรดิได้เปรียบแท้ๆ
ในพระทัยขององค์จักรพรรดิต้องการหัวเราะเสียงดังในเวลานี้ แต่มีผู้คนมากมายอยู่ด้วย พระองค์ไม่สามารถชมเซียวเฉวียนว่าทำได้ดีแท้
ตรามู่อวิ๋นเกี่ยวข้องกับบารมีและศักดิ์ศรีของราชวงศ์ มีราคาอันล้ำค่า ถ้ามันสลายไป ก็คือหมดไปโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถทดแทนได้
ดังนั้นเรื่องนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่เว่ยอวี๋กล่าวว่าไม่สำคัญ แต่เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
”เซียวเฉวียน ท่านในฐานะเจ้าหน้าที่เอี๋ยนกวน ท่านรู้ไหม ท่านจะต้องถูกเพื่อนร่วมงานกล่าวโทษวันพรุ่งนี้แล้ว”
องค์จักรพรรดิถามอย่างเคร่งขรึม "การทำลายตรามู่อวิ๋น ถือเป็นโทษฐานร้ายแรง!"
มันเป็นแค่ตราประทับไม่ใช่เหรอ เซียวเฉวียนแอบไม่เห็นด้วย โทษนี้ถึงร้ายแรงแต่จะเท่ากับที่เหลียงไหวโหรวฆ่าแม่ฉินนั่นไหม?
ร้ายแรงเท่าที่เหลียงไหวโหรวขับเคลื่อนตรามู่อวิ๋นทำร้ายผู้รู้หนังสือในเมืองหลวงไหม?
ไหนๆ เหลียงไหวโหรวหัวก็จะหลุดอยู่แล้ว ให้เขาทำความดีอะไรซะอย่างก่อนค่อยตายก็ดี
”อันที่จริง... ตอนที่ตราประทับนี้ตกมาถึงมือของข้าพระองค์ มันถูกเหลียงไหวโหรวทำแตกมาก่อนแล้ว”
”แต่เขาเป็นคนของราชวงศ์ ข้าพระองค์มิอาจกล่าวหาเขา ข้าพระองค์ทำได้แต่รับโทษไว้เงียบๆ แทนคนอื่น”
เซียวเฉวียนกระพริบตาที่ดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดมาเลยของเขา เขาถูกปรักปรำ
ฮ้า?
เหลียงไหวโหรวที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนถูกเขากดหัวให้กินอึ เซียวเฉวียน เจ้าทำเกินไปแล้วนะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...