เหลียงไหวโหรวส่งเสียงร้องปานใจจะขาด เซียวเฉวียนกลับเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ามีคำพูดอะไรจะพูด รีบพูดเร็ว”
ในหอฉาวเทียนนั้นเพิ่งจะเริ่มจุดโคม ภายในหอแสงโคมสว่างไสว
เซียวเฉวียนให้ทุกคนล่าถอยไปก่อน หลังจากนั้นลูกเขยสองคนของจวนฉินไม่รู้ว่าสนทนาอะไรกันอยู่เนิ่นนานอย่างยิ่ง
อากาศในต้นฤดูวสันต์นั้นเย็นเล็กน้อย ทำเอาองครักษ์สองคนที่เฝ้าประตูต้องกระทืบเท้า และในบางครั้งพวกเขาก็จะเหลือบตามองภายในหอสักหน่อย “เจ้าว่าคนหนึ่งเป็นอดีตลูกเขย อีกคนหนึ่งเป็นลูกเขยคนปัจจุบัน เขามีเรื่องอะไรจะคุยกันได้หรือ? ตอนนี้สนทนากันกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว”
“เฮ้อ ใครจะไปรู้เล่า” องครักษ์รายหนึ่งเผยรอยยิ้มมีเงื่อนงำ “บางทีพวกเขาอาจจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรบกันอยู่ก็ได้?”
“อะไรที่เรียกประสบการณ์การรบหรือ?” องครักษ์รายนั้นยังตั้งตัวไม่ทันขึ้นมา
“แน่นอนว่าเป็น...จวิ้นจู่ไง” สีหน้าขององครักษ์รายนั้นยิ่งแฝงนัยยะกว่าเดิมก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหวิว
“ฮ่าๆๆๆ!”
องครักษ์ทั้งสองคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน รอยยิ้มของพวกเขากลับกดลึกขึ้น
ในเวลานี้ มีเสียงขอให้ละเว้นดังออกมาจากเหลียงไหวโหรวข้างใน สององครักษ์ที่ซุบซิบกันนั้นพลันหูตั้งขึ้นมา แต่พวกเขากลับได้ยินแค่เสียงของเหลียงไหวโหรวเท่านั้น ส่วนเซียวเฉวียนนั้นเงียบงัน คล้ายกับว่าไม่ได้กระทำสิ่งใดตอบสนองคำขอร้องของเหลียงไหวโหรว
ตอนหลังนั้น เหลียงไหวโหรวไม่ร้องขออไรแล้ว เขาเอาแต่หัวเราะ หัวเราะสะใจบ้าคลั่ง
ในน้ำเสียงหัวเราะนั้น เต็มไปด้วยคำเย้ยหยันต่อเซียวเฉวียนและความเข้าอกเข้าใจ
สติแตก สององครักษ์กลอกตาใส่หอฉาวเทียนครั้งหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เหลียงไหวโหรวรายนี้จะอย่างไรก็เป็นปั้งเหยียนของปีก่อน เหตุใดจึงเกิดเป็นบ้าไปได้ พูดจากระทำตัวไร้ร่องรอยปานนี้?
จากนั้นก็ผ่านไปอีกชั่วยามหนึ่ง
เซียวเฉวียนกำหมัดเดินออกมาจากหอฉาวเทียน
ไม่รู้ว่าเหลียงไหวโหรวพูดสิ่งใด สีหน้าของเซียวเฉวียนจึงทะมึนเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแค่สีหน้าอึมครึมเท่านั้น หมัดของเซียวเฉวียนยังมีรอยเลือดเล็กน้อยหยดอยู่ด้วย
เซียวเฉวียนเดินตัดเส้นทางลัด เงาร่างอันตระหง่านสูงใหญ่หายไปในความมืดอันรางเลือนของยามราตรี
เขาไม่เอ่ยวาจาใด แต่องครักษ์สามารถจับได้ถึงโทสะอันท่วมฟ้าของเขา
องครักษ์ทั้งสองคนต่างตัวสั่นกัน พลางมองตาอีกฝ่าย “เจ้าเห็นสีหน้าของใต้เท้าเซียวหรือไม่?”
“เห็นสี น่ากลัวเป็นบ้า”
“ไม่ใช่กระมัง เหลียงไหวโหรวทำเขาโมโหจนเป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? จิ๊ๆ ดูท่าลูกเขยทั้งสองคนต่างมิใช่ตะเกียงสิ้นไร้น้ำมันทั้งคู่”
“ไม่ดีแล้ว!” องครักษ์อีกคนพลันได้สติขึ้นมาทันใด “เหตุใดเหลียงไหวโหรวถึงไม่ส่งเสียงกันล่ะ?”
องครักษ์ทั้งสองคนตื่นตูมพลางหน้าถอดสี พวกเขารับผิดชอบความปลอดภัยของนักโทษ ในสมัยโบราณนี้ นักโทษจะต้องตายเมื่อใด เรื่องนี้ล้วนทำตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ทั้งสิ้น
หากว่านักโทษตายก่อนเวลา องครักษ์เช่นพวกเขาเหล่านี้ต้องชดใช้ด้วยชีวิต
ดังนั้นแล้ว การคุมหอฉาวเทียนนั้นจึงเป็นงานที่กินแรงและเรื่องทุกข์ยากที่หาประโยชน์ได้ไม่ดีเอาเสียเลย
องครักษ์ทั้งสองวิญญาณหลุดลอย ต่างพากันวิ่งด้วยฝีเท้าอันเร็วเข้าไปข้างใน
ครั้นบุกเข้าไปได้แล้ว พวกเขาก็ได้เห็นเหลียงไหวโหรวนอนตัวอ่อนอยู่บนพรม เขาดื่มสุรารสเลิศ โอบกอดคนงามพร้อมพลอดคำรัก
สีหน้าของเหลียงไหวโหรว มีรอยตบอยู่หลายสิบรอย เห็นก็รู้ว่าเป็นเซียวเฉวียนที่ตบใส่เขา
เมื่อครู่เลือดบนหมัดของเซียวเฉวียน เป็นเลือดที่อยู่บนหน้าเหลียงไหวโหรว
เหลียงไหวโหรวครั้นได้เห็นหน้าเซียวเฉวียนแล้วก็คล้ายกับได้แก้แค้นอะไรสักอย่างก็ไม่ปาน จิตใจของเขาเบิกบานเป็นที่สุด ไม่คล้ายจะโกรธอีกต่อไปและไม่คล้ายจะหวาดกลัวใดๆ อีก เขาเหมือนมุ่งหน้าสู่ความตายอย่างสงบ ควรกินอะไรกิน ควรดื่มอะไรดื่ม
สององครักษ์ต่างมองตากัน พวกเขาคิ้วขมวด จากนั้นก็ถอนหายใจครั้งหนึ่ง
ภายในใจของพวกเขารู้สึกขอบคุณเซียวเฉวียนเป็นอย่างมากขึ้นมา ขอบคุณที่เซียวเฉวียนยังเป็นห่วงเป็นใยคิดถึงทหารผู้น้อยอย่างพวกเขา
เมื่อครู่ที่เซียวเฉวียนโมโหนั้น เขาไม่ได้สังหารเหลียงไหวโหรว น่าจะเป็นต้องไม่อยากจะลากชีวิตของพวกเขาสองคนมาเอี่ยวด้วยเป็นแน่
แต่ว่า เซียวเฉวียนโมโหอะไรอยู่กันนะ? องครักษ์สองสัยเป็นอย่างมาก แต่พวกเขากลับไม่อาจทราบได้
ในเวลานี้ เซียวเฉวียนกลับบ้านตระกูลเซียวแต่กลับไม่ได้บอกผู้ใด
เขาเดินเข้าไปที่ข้างบ่อน้ำตรงสวนดอกไม้เพียงลำพัง บ่อน้ำที่สามารถทะลุไปยังสมุทรกวีคุนหลุนได้บ่อนั้น
นับตั้งแต่ที่องค์หญิงถูกฉินซูโหรวโยนลงบ่อน้ำครั้งแรก บ่อน้ำนี้ก็ถูกปิดตายมาตลอด
ในบ่อน้ำนี้ล้วนเต็มไปด้วยกองโคลนและก้อนหิน จนกลายเป็นบ่อปิดตายบ่อหนึ่ง
ตรงข้างบ่อน้ำ ยังมีรั้วที่ทำจากไม้ไผ่ล้อมเอาไว้ด้วย
เซียวเฉวียนยืนอยู่ตรงนอกรั้วล้อมก่อนจะทอดมองเข้าไปไกลๆ ในบ่อน้ำ
เขากำหมัดแน่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เขารู้ว่าสมุทรกวีคุนหลุนแม้จะถูกทำลายไปไม่อาจฟื้นคืนเหมือนก่อน แต่ว่ามันก็ยังคงอยู่ ทว่าหลังจากถูกทำลายแล้ว ยามที่เซียวเฉวียนลุแตะสมุทรกวี เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังของมันนั้นไม่ได้เต็มเปี่ยมเหมือนสมัยก่อนเท่านั้นเอง
แต่ว่ามันก็ยังคงอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...