พู่กันเฉียนคุนได้ยินคำพูดนี้ก็พลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที ในต้าเวยนอกจากผนึกอักษรที่มันสู้ไม่ได้แล้ว อาวุธอื่นๆ จะมาเป็นคู่ต่อกรของมันได้อย่างไร?
อาวุธที่ถือกำเนิดจากฟ้าดินกระหายเลือด การได้มีคู่ต่อสู้ นับว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้ายามโจโฉมีชีวิตก็เป็นผู้อารักขา ผู้อารักขามีนิสัยชอบต่อสู้ กล้าหาญแข็งแกร่ง แต่ต่อให้หาญกล้าเพียงใดก็เป็นแค่มนุษย์เท่านั้น พวกเขายังคงหวาดกลัวและหวั่นเกรงความตายอยู่วันยันค่ำ
ตอนนี้ร่างของโจโฉตายไปแล้ว สติมาสิงอยู่ในพู่กันเฉียนคุน กลายเป็นอาวุธที่หลุดพ้นจากร่างกายเลือดเนื้อ โจโฉก็สามารถต่อสู้ได้โดยไม่ต้องพะวงกว่าเดิม
ยิ่งกลิ่นอายอันตรายเท่าไหร่ อาวุธก็ยิ่งคึกคัก
ยิ่งยากจะรับมือเท่าไหร่ อาวุธก็จะยิ่งพยายามมากขึ้น
เซียวเฉวียนให้พู่กันเฉียนคุนเข้าไปอยู่ในชายเสื้อ เขาละคิดอยากจะเห็นค่าพลังการต่อสู้ตอนที่เซียนชิวน้อยกับกระบี่ชีวันสู้กัน เมื่อเป็นแบบนี้อีกหน่อยเวลาสู้กับคนประเภทนี้ ในใจจะได้พอคะเนได้บ้าง
“พรวด!”
ขณะที่เซียวเฉวียนกำลังคิดแบบนี้ กลิ่นอายกระหายเลือดก็กระจายผ่านกระดาษสีขาวตรงบานหน้าต่างออกมาทั่ว
หลังจากนั้น แสงสีขาวก็สว่างขึ้น และในเวลเดียวกันยังมีเสียงคำรามอันเย็นยะเยือกเป็นที่สุดของเซียนชิวน้อย “เป็นแค่มนุษย์สามัญ กลับกล้าลงมือกับข้า”
ทหารรายแรก ตายแล้ว
ไม่เพียงแค่ตายแล้ว กระบี่ชีวันเล่มนั้นยังถูกเสี่ยวเซียนชิวเขวี้ยงออกมาเต็มแรง ก่อนจะปักอยู่ตรงพื้นเบื้องหน้าเจวี๋ยซา
“ฟึ่บ”
แรงเขวี้ยงของเซียนชิวน้อยรุนแรงยิ่ง กระบี่สั่นไหวอยู่บนพื้นไม้พลางส่งเสียงหวิ่งๆ ออกมา
กระบี่ชีวันเล่มที่อยู่ตรงหน้านั้น กลิ่นอายหยางยะเยือกหายไปสิ้น ประหนึ่งมันกลายเป็นเศษเหล็ก
พวกเจวี๋ยซาพากันตกตะลึง!
นี่มันกระบวนท่าแบบใดกัน?
หากพูดให้มันง่ายนั้น กระบี่วิญญาณกินคนเป็นอาหารและกินวิญญาณของกระบี่เช่นเดียวกัน ในบันทึกโบราณของคุนหลุนนั้น บันทึกข้อมูลของกระบี่วิญญาณเอาไว้ยาวเหยียด เห็นได้ชัดว่ากระบี่วิญญาณนี้พบเห็นได้มากในหนึ่งพันปีก่อนหน้า และมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วย
เพียงแต่ว่าในหลายปีมานี้ กระทั่งชาวคุนหลุนยังไม่เคยเห็นกระบี่วิญญาณเลยด้วยซำ ดังนั้นทุกคนก็เลยถือว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง
เซียวเฟิงกับฉีหลิน อสูรต่อสู้ระดับสูดชั้นนี้ ทุกคนยังพอได้เคยพบเคยเห็นกันมาบ้าง ทว่าเสี่ยวเซียนชิว วิญญาณกระบี่ในรูปแบบนี้ยังเป็นของที่ได้พบครั้งแรกในรอบพันปี
ดังนั้นแล้ว คนหนุ่มกลุ่มนี้นับว่ามีเคราะห์ร้ายขั้นหนักแล้ว
“คนต่อไป”
กลางห้องที่ปิดตายนั้น น้ำเสียงเย็นชาของเสี่ยวเซียนชิวดังลอดมา ปากเล็กๆ ของนางเคี้ยวหนุบหนับ คล้ายกับไม่พอใจปราณวิญญาณของกระบี่ชีวันยิ่ง
“พี่ใหญ่! นี่...” เหล่าคนหนุ่มไฉนเลยจะเคยเห็นฉากนี้ เพื่อนของตัวเองเข้าไปไม่ถึงห้านาทีเลยก็ตายเสียแล้ว? “อะไรกัน พวกเจ้ากลัวกระทั่งเด็กสาวคนเดียวหรือ?”
ในตอนที่เหล่าคนรุ่นเยาว์กำลังลนลานเล็กน้อยกันอยู่นั่นเอง ปากของเว่ยเป่าก็สั่นระริกขึ้นมา “พวกเจ้าไม่ได้พูดว่าสู้กับนางได้หรอกหรือ?”
“เจ้าหุบปาก!”
เจวี๋ยซาโมโหเล็กน้อย วาจาเช่นนี้ของเว่ยเป่าพอได้ยินมาถึงหูแล้วก็คล้ายมีเจตนาไม่เคารพเขาเสียเลย เขาหรือจะกลัวสาวน้อยตัวเล็กๆ รายหนึ่ง!
ในเวลานี้เอง น้ำเสียงหยิ่งทะนงก็ดังลอดมา “กลัวก็ยอมรับซะ ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้หรอก”
เว่ยเป่าพได้ยินเสียงนี้ ก็ตื่นตระหนกจนวิญญาณหลุด เขารีบวิ่งไปหลบหลังเจวี๋ยซาพลางคิดว่าเมื่อเป็นแบบนี้ผู้ที่มาก็จะมองไม่เห็นตัวเขา
เหล่าคนหนุ่มทั้งหลายโมโหเลือดพล่าน ใครกล้าเย้ยหยันพวกเขากันหรือ?
เป็นเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาทีละก้าว พลางกวาดตามองคนเหล่านี้รวมไปถึงเว่ยเป่าที่หลบอยู่ด้านหลังสุดด้วย
“ฮ่าๆๆๆ!” เจวี๋ยซาถูกมองจนใจสะท้าน แต่กลับยังหัวเราะบ้าคลั่ง “เพ้ย วาจายิ่งใหญ่นัก! เป็นแค่กระสอบทรายใบหนึ่งก็เท่านั้น! ยังจะกล้าพูดจาเหลวไหล!”
เซียวเฉวียนที่เพิ่งจะดื่มชาถ้วยนั้นเสร็จ ก็เอาน้ำชากระแทกลงกับโต๊ะโดยรง สายตาของเขากวาดมองกลุ่มอันธพาลอายุเยาว์พวกนี้ทีละคนจนกระทั่งถึงคนที่หลบอยู่คนสุดท้าย “เว่ยเป่า ส่งเลือดพิสุทธ์ของเย่าเหล่ากับจิ่นเซ่อมานี่!
“ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นฝ่ายมอบออกมาเองก่อน ไม่อย่างนั้น เจ้าคงรู้ผลลัพธ์ดี”
เซียวเฉวียนมองเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมรายนี้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจเสียเลย ใครจะไปรู้ว่าใบหน้าที่ดูไร้พิษสงดวงนี้ ที่แท้ซ่อนปีศาจร้ายเอาไว้กัน?
เว่ยเป่ากอดขวดที่บรรจุเลือดพิสุทธิ์เอาไว้สองขวดพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุร้าย “อ๋องเช่นข้าไม่มอบให้เจ้า!”
“เจ้าสังหารบิดาของข้า! เจ้าสังหารพี่ชายของข้า! แล้วข้าจะให้เจ้าทำไม!”
เซียวเฉวียนสายตากดลึก “บิดาแท้ๆ ของเจ้าตายอย่างบุรุษ! ตายเพราะต้องการช่วงชิงอาวุธของตระกูลฉิน! เว่ยเชียนชิวเป็นคนสังหารพี่ชายของเจ้า! แล้วเจ้าจะมาชำระแค้นอะไรกับข้ากัน! แถมยังจะมาชำระแค้นอะไรกับคนในครอบครัวและพี่น้องของข้า!”
“ถ้าไม่มีเจ้า! เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น!” เว่ยเป่าส่งเสียงอ้อแอ้ เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงเดือดสุดขีด “ล้วนเป็นเจ้า ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”
เสียงกรีดร้องของเด็กดื้อรายนี้ ช่างพาให้คนชิงชังยิ่งนัก
ใบหน้าของเว่ยเป่านั้นแดงเก่า เขาอาศัยว่าพวกเจวี๋ยซาล้วนอยู่ตรงนี้ เขาย่อมไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด เขาไม่เชื่อหรอกว่า เซียวเฉวียนกับสาวน้อยรายนั้นจะสู้กลุ่มคนที่สังหารล้างตระกูลพวกนี้ได้!
“เจ้าไม่ให้ใช่ไหม”
เซียวเฉวียนเอ่ยเสียงเบาเสียงหนึ่ง เว่ยเป่ายังคงส่ายหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ “ไม่! ข้าจะไม่มอบให้เจ้า! นี่คือสิ่งที่ตระกูลเซียวพวกเจ้าติดค้างพวกข้า! เจ้าอย่าได้หวังจะเอาเลือดพิสุทธิ์ของสองคนนี้ไปได้เลย!”
“ให้พวกมันทั้งสองคนชดใช้หนี้ของตระกูลเซียวเจ้าเสียเถอะ!”
เซียวเฉวียนไม่ได้สนใจคำพูดมากความของเว่ยเป่า เขาเพียงแค่ถามเว่ยเป่าคำถามเดียว “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สั่งให้คนหมิ่นหยามทำลายจิ่นเซ่อน้องสาวของข้า?”
ในยามนี้เซียวเฉวียนเงยหน้าขึ้น ประกายความเย็นชาในดวงตาทำเอาเว่ยเป่าตกใจจนพูดติดๆ ขัดๆ “ใช่ ใช่แล้วอย่างไร! คนตระกูลเซียวเช่นพวกเจ้าเป็นคนต่ำช้า! เดิมควรจะเป็นบ่าวเป็นทาส ข้าทำเช่นนี้แล้วมีปัญหาอะไร!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...