จ้าวอีโต้วเป็นใครกัน อาเจิ้งก็ไม่ทราบ อาเจิ้งเพียงแต่รู้ว่าคนผู้นั้นแม้จะผ่านการปลอมแปลงตัวตนแต่เขาก็สามารถมองออกตั้งแต่วินาทีแรกว่าคนผู้นั้นไม่คล้ายคนนอกด่าน
“เจ้าไหมว่าลูกชายของท่านแม่ทัพชื่ออะไร”
เสี่ยวเซียนชิวถามเสียงเบา อาเจิ้งพยักหน้าเบาๆ พลางคิด ยามที่ท่านแม่ทัพได้บุตรกิเลนมาคนหนึ่งนั้นดีใจมาก
“ชื่อเซียวเฉวียน”
อาเจิ้งจำชื่อแซ่ตัวเองไม่ได้แต่กลับจำชื่อของบุตรชายท่านแม่ทัพได้
“ใช่แล้ว เขาชื่อเซียวเฉวียน เป็นบิดาของข้า”
“บิดาอย่างนั้นหรือ?”
อาเจิ้งงงไปเล็กน้อย จะเป็นไปได้อย่างไร คุณชายของท่านแม่ทัพยังอายุไม่เท่าไหร่ แล้วจะเป็นบิดานางไปได้อย่างไร
อาเจิ้งกุมศีรษะตนเองพลางมึนงงเล็กน้อย
สำหรับเขาแล้ว คำพูดของเสี่ยวเซียนชิวฟังดูจริงจังมากเกินไป เขาไม่อาจจะรับได้ภายในชั่วครู่
เขาไม่เข้าใจ เห็นชัดว่าแม่ทัพตระกูลเซียวเพิ่งจะแพ้ศึก เหตุใดจึงผ่านไปสามสิบปีแล้วล่ะ
“หรือว่า...นี่คือเลือดพิสุทธิ์หว่างคิ้วของข้า...”
อาเจิ้งตายไปเนิ่นนานแล้ว สติสัมปชัญญะพร่าเลือนไปเนิ่นนาน พอต้องคิดถึงเรื่องราวและความรู้ทั่วไปที่ผ่านมา เขายังต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย
อาเจิ้งได้ยินมาว่า บนโลกใบนี้มีวิธีการลงโทษที่โหดร้ายที่สุดอยู่วิธีหนึ่ง
ราชวงศ์แคว้นต้าเว่ยสามารถดึงเลือดพิสุทธิ์ของคนตายไปแล้วกลับมาได้ อีกทั้งมักจะถ่ายทอดวิธีการนี้ผ่านผู้มีอำนาจสูงศักดิ์เสียส่วนใหญ่
นี่ก็เพื่อลงโทษคน ให้ผู้ที่ตายไปแล้วอยู่อย่างไม่สงบ ตายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วิธีการลงทัณฑ์เช่นนี้ หากมิใช่คนที่ชั่วช้าสามานย์จริงๆ ก็ไม่อาจจะใช้ลง
“ใช่ เจ้าเดาถูกแล้ว เลือดพิสุทธิ์หว่างคิ้วของเจ้าถูกดึงออกมา”
อาเจิ้งตัวสั่นเล็กน้อย เขาส่ายหน้า “ข้าทำผิดอะไรกัน? เป็นเพราะข้าไม่ได้ปกป้องท่านแม่ทัพให้ดีหรอกหรือ?”
“ใช่...จะต้องเป็นเพราะเหตุนี้แน่นอน...”
“ต้องโทษข้า ต้องโทษข้า...ทุกสิ่งต้องโทษข้า...”
อาเจิ้งพึมพำกับตนเอง น้ำตาของเขาร่วงหล่นลงเป็นสาย เขายังเยาว์อยู่มากเงจะอายุสิบหกสิบเจ็ดปี บนใบหน้ามีบาดแผลที่ตากแดดและถูกลมพัด สองมือของเขาหนากร้านดังดักแด้
เขาใช้มือกุมใบหน้าของตัวเอง รู้สึกทุกข์ใจเป็นที่สุด “หากว่าข้าเข้ากองทัพเร็วขึ้นก็ยังดี ข้าจะได้ฝึกกระบี่ให้ดีๆ จะได้ปกป้องท่านแม่ทัพได้...”
เสี่ยวเซียนชิวกระโดดลงมาเบื้องหน้ายืนอยู่เบื้องหน้าของเขา “อาเจิ้ง ท่าไม่ได้ผิด ยามนี้ข้ามาก็เพื่อพาท่านออกไป”
พาออกไปอย่างนั้นหรือ? อาเจิ้งไม่เข้าใจ
“ท่านต้องรู้ว่า ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนกัน?”
อาเจิ้งส่ายหน้า
ในสายตาของเขา เขาอยู่กลางสนามรบมาตลอด
นัยน์ตาของอาเจิ้งแสดงชัดถึงความสงสัย ภายในใจของเสี่ยวเซียนชิวคะเนได้แล้ว อาเจิ้งจำไม่ได้กระทั่งชื่อของตัวเอง อยู่ที่ไหนเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ พวกเขาต้องไม่ได้ฆ่าบุตรชายทั้งสามคนของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่
“อาเจิ้ง ท่านรู้ไหมว่าใครที่ดูดเลือดพิสุทธิ์หว่างคิ้วของท่านไป? ท่านจำได้หรือไม่ว่าท่าน...ก่อนตายเคยพบใครมาก่อน?”
ทุกครั้งที่พูดคำว่าตายนั้น เสี่ยวเซียนชิวรู้สึกแทบทนไม่ได้ขึ้นมา
แต่ว่าบิดาพูดไว้แล้ว จะต้องพยายามสอบถามที่มาที่ไปให้ได้มากที่สุด
เดิมทีเสี่ยวเซียนชิวมั่นใจเต็มประดา ทว่าในบรรดาเลือดพิสุทธ์นับหมื่นนี้ นางหาเจอเพียงอาเจิ้งผู้เดียว
มีเพียงอาเจิ้งที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่เล็กน้อย ผู้อื่นนั้นเข้าสู่วงจรความตายที่ไม่มีวันจบเรียบร้อยแล้ว สติของพวกเขาพร่าเลือนไปเนิ่นนานแล้ว
บางทีอาจจะเพราะเวลาที่อาเจิ้งเสียชีวิตนั้นค่อนข้างช้ากว่าผู้อื่น
และบางทีอาจจะเพราะว่าก่อนตาเขาเห็นพี่น้องและเซียวเทียนถูกสังหาร ได้รับความตื่นตกใจครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้ความยึดติดของเขาแข็งแกร่งกว่า ดังนั้แล้วตอนนี้จึงยังพอจะเหลือสติอยู่บ้าง
กับสติสัมปชัญญะเล็กน้อยนี้ ทำให้เขาได้กลายเป็นผู้นำของเหล่าเลือดพิสุทธิ์ทั้งปวง อาเจิ้งอาศัยความรู้สึกผิดและความยึดมั่นที่มีต่อกองทัพของตนเอง อีกทั้งคำว่า “กลับบ้าน” สองคำซึ่งท่านแม่ทัพได้พูดเอาไว้ก่อนหน้าจะสิ้นใจ เป็นสิ่งหล่อหลอมให้เลือดพิสุทธิ์ของเขากลายเป็นจิตสังหารและคิดจะกลับเมืองหลวงของต้าเว่ย
อีกทั้งสติสัมปชัญญะเล็กน้อยขุดนี้ ก็ไม่เพียงพอให้พวกเขาสังหารคน สติสัมปชัญญะไม่ชัดเจนแล้วจะสังหารคนได้เช่นไร?
ครั้นอาเจิ้งร้องไห้ ผู้อื่นก็พากันร่ำไห้ตามไปด้วย
ข้างหูของเสี่ยวเซียนชิวคล้ายมีเสียงฮือๆ ดังไม่หยุด
นางเพียงเห็นท่ามกลางผืนฟ้าและผืนน้ำนั้น หมู่เมฆลอยหมุน เสียงร่ำไห้ของพวกเขากลายเป็นหยาดฝน ค่อยๆ หยาดรดลงมาทั่วท่วมทั้งผืนดิน
เดิมทีฝนในตำบลซิ่วสุ่ยนั้น กลั่นมาจากน้ำตาของพวกเขาทั้งสิบสามปี
ลมฝนในยามค่ำคืนนั้น คือเสียงกรีดร้องภายในอกของพวกเขาตลอดทั้งสิบสามปี
“อาเจิ้ง ไปกัน ข้าจะพาท่านไปพบบิดาของข้า”
ใจของเสี่ยวเซียนชิวปวดร้าว นางยื่นมือไปหาทว่าอาเจิ้งกลับถอยหลังหนึ่งก้าว “มิใช่ว่าเจ้าพูดว่า ข้าตายไปแล้วหรอกหรือ จะพบเขาได้เช่นไร?”
วันนี้เสี่ยวเซียนชิวได้เห็นชีวิตหนึ่งของอาเจิ้งแล้ว นางถึงได้เห็นกับสองตาตนเองว่าเซียวเทียนกับกองทัพตระกูลเซียวตายได้ทุกข์ทรมานเพียงใด
“ไม่...ไม่อาจจะเป็นแบบนี้...”
ครั้นอาเจิ้งได้ยินว่าท่านแม่ทัพมีชีวิตอยู่แบบตนเอง เขาก็กัดฟัน น้ำตายิ่งไหลมากขึ้น
ผู้อื่นเองก็สะอื้นไห้ตาม
“ท่านแม่ทัพ...”
เสียงของชายหนุ่มทุ้มลึก คล้ายกับเสียงสาปแช่ง ก้องหนักสะท้อนท้องฟ้า
“ฝนนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงตกหนักปานนี้ล่ะ?”
ในกระท่อมชาวนานั้น ฉินซูโหรวขมวดคิ้ว
เซียวเฉวียนลุกขึ้นยืน หรือว่าเสี่ยวเซียนชิวกับจิตสังหารคุยกันไม่ค่อยจะราบรื่น?
“ไอ้หยา ฝนตกหนักเช่นนี้ บ้านในหมู่บ้านไม่รู้จะถล่มไปมากแค่ไหนกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า น้ำเสียงของนางแหบแห้งเต็มประดา “แต่ก็ไม่มีคนมาอยู่ตั้งนานแล้ว พังก็พังไปเถอะ”
“ท่านพ่อ!”
ยามนี้ เสียงของเสี่ยวเซียนชิวดังลอดมา “ข้ากลับมาแล้ว ท่านเข้ามาในห้องสักหน่อยเถอะ”
เซียวเฉวียนครั้นได้ฟังก็รีบสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปในห้อง “อย่างไรหรือ?”
“ท่านพ่อ มีคนผู้หนึ่ง ต้องการพบท่าน”
เขาเพียงได้เห็นเลือดสีแดงหยดหนึ่งลอยอยู่กลางฝ่ามือของเสี่ยวเซียนชิว
เลือดพิสุทธิ์หว่างคิ้วหรือ?
เซียวเฉวียนหัวใจหนักอึ้ง
ฝ่ามือเสี่ยวเซียนชิวเปลี่ยนเป็นสีทอง จากนั้นเลือดพิสุทธิ์หยดนั้นก็ลอยไปสู่ปลายนิ้วมือของเสี่ยวเซียนชิว
“ฟึ่บ!”
นางจับมันยัดเข้าไปกลางหน้าผากตนเอง “อาเจิ้ง ออกมาเถอะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...