คนอื่น ๆ เห็นเพียงแต่เซียวเฉวียนเดินเข้าไปในห้อง แต่ในนั้นกลับไม่มีเสียงใด ๆ ดังออกมาเลย
“เมื่อครู่ราชครูสีหน้าไม่ดีเลย เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เว่ยเป้ยถามฉินซูโหรว
ทุกคนต่างก็รู้สึกว่า เซียวเฉวียนปฏิบัติกับฉินซูพิเศษกว่าคนอื่น ๆ
กับคนอื่น ๆ เซียวเฉวียนไม่แม้แต่จะมองเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ฉินซูมีคำถาม เซียวเฉวียนก็พร้อมจะตอบคำถามนั้นเสมอ
อีกทั้งความอดทนที่เซียวเฉวียนมีต่อฉินซูก็มากกว่าคนอื่น ๆ มาก
หรือเป็นเพราะว่า ฉินซูอยู่อันดับต้น ๆ ของการสอบ จึงได้รับการชื่นชมจากราชครูงั้นหรือ?
“เรื่องของราชครู ข้าคนนี้ไม่รู้จริง ๆ ทุกคนต่างก็ผ่านการทดสอบและได้ผ่านโลกมาบ้างแล้ว ซุบซิบนินทาคนแบบนี้ ไม่เคารพกันเกินไปไหม?”
ฉินซูโหรวไม่มีความสุข เมื่อก่อนคนเหล่านี้เคยก่อกวนเซียวเฉวียนอย่างไร ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่ก็เป็นแค่กลุ่มอันธพาลกลุ่มหนึ่ง เธอดูถูกคนเหล่านี้
คำว่าผ่านเข้ารอบนี้ สำหรับเหล่าวิชาการในปีนี้ ก็เป็นแค่เพียงความอัปยศอดสูก็เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้คะแนนเป็นศูนย์ในการสอบ แต่เขาก็ยังผ่านเข้ารอบมาได้
หลังจากที่เข้ารอบมาแล้ว ไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ ไม่ได้มีหน้ามีตาเหมือนคนอื่น
ดังนั้น ประชาชนของต้าเว่ยจึงบอกว่า ปีนี้ดูเหมือนจะง่ายเหมือนหญ้าข้างทาง แค่เข้าร่วมการทดสอบก็เข้ามาได้แล้ว ไม่ได้มีความสามารถจริง ๆ เลย
ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องออกมาฝึกฝน
เรื่องแบบนี้ มีตรงไหนที่เหมือนผ่านการทดสอบหรือ
“ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ทำไมมันถึงเหมือนว่ากำลังดูถูกเราอยู่ เจ้าเองก็ผ่านการทดสอบมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
มีคนโต้กลับแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้ฉินซูโหรวไม่พอใจมากขึ้นไปอีก แต่คนพวกนี้กลับพูดถึงการผ่านเข้ารอบ ที่จริงแล้วคนที่ด้อยกว่าก็ต้องยิ่งหวาดกลัวและไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ดูถูกงั้นหรือ?” ฉินซูโหรวพูดขึ้นเบา ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ได้คบค้าสมาคมกับคนมากมายแบบนี้มานานแล้ว แต่ยังไงซะเธอก็เป็นคนในตระกูลขุนนาง ผ่านโลกมาก็ไม่น้อย “ฉินคนนี้ไม่กล้า ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นคนที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งขึ้นมา ทุกคนก็มีรายชื่อ ข้าหมายถึง ทุกคนก็ผ่านเข้ารอบเหมือนกัน พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
"เจ้า..."
หลายวันมานี้ ฉินซูโหรวทนกับกลุ่มคนน่ารังเกียจนี้มามากพอแล้ว การพูดคุยกันในตอนนี้ก็ไม่มีความสุข เธอได้แต่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ และไม่ต้องการจะพูดคุยกับพวกเขาอีก
เมื่ออาจื่อเห็นฉินซูโหรวแบบนี้ เขาก็เอนเข้าตัวมา
เซียวเฉวียนมีความรู้สึกพิเศษกับฉินซูมาก ได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น อาจทำให้ได้รับความโปรดปรานจากเขามากขึ้น
อยากจะดีกับเซียวเฉวียน ก็ต้องทำดีกับคนที่เขาชอบ เกลียดคนที่เขาเกลียด
แต่อาจื่อกลับไม่ทันได้คิดเลยว่า ในโลกนี้ ฉินซูคือคนที่เธอไม่ควรเข้าใกล้มากที่สุด
“คุณชายฉิน” อาจื่อนั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ “พอได้เห็นคุณชายฉินแล้ว รู้สึกสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ ไม่ทราบว่าบ้านของคุณชายฉินอยู่ที่ไหนหรือ?”
ฉินซูโหรวไม่พูดอะไรตอบ
แค่มองเธอนิ่ง ๆ
ฉินซูโหรวไม่อยากสนทนากับอาจื่ออีก
ฉินซูโหรวรู้ดีว่า คนตรงหน้าเธอนี้ปลอมตัวเป็นอาจื่อ
คนนี้แหละ ที่ปลอมเป็นเธอมานานหลายปี
ระหว่างทางนี้ ไม่รู้ว่าฉินซูโหรวทนต่อความคิดที่อยากจะฆ่ามามากน้อยแค่ไหนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเซียวเฉวียนบอกว่า อาจื่อและหมิงเจ๋อมีประโยชน์กับการตามหานักบุญ อาจื่อก็คงตายไปนานแล้ว จะมานั่งคุยต่อหน้ากันแบบนี้ได้ที่ไหนกัน
"บ้านเกิดเจ้า อยู่ที่ไหนหล่ะ?"
ฉินซูโหรวถามกลับ
อาจื่อก็เป็นแค่หนู ไม่เคยได้เห็นแสงสว่างแบบนี้มาก่อน เธอก็ต้องคิดว่าตนเป็นเจ้าหญิงที่ได้ประสบพบเจอปัญหา “บ้านเกิดของข้าอยู่ในเมืองหลวง”
"ที่บ้านมีพี่น้องไหม?"
“มีพี่ชายหนึ่งคน น้องชายสองคน ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ อาจื่อก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ส่วนน้องชายคนที่สาม มองแวบแรก ก็คล้ายกับคุณชายฉินมากทีเดียว”
คนที่อาจื่อหมายถึงก็คือ ฉินหนาน
พูดถึงครอบครัวขึ้นมา บนหน้าของอาจื่อก็เห็นรอยยิ้มได้อย่างชัดเจน
ราวกับว่านั่นเป็นครอบครัวของเธอจริงๆ
อาจื่ออยู่ในตระกูลฉินก็ไม่ได้มีฐานะอะไร
ถึงแม้ว่าทุกคนจะสุภาพกับเธอมาก แต่สิ่งที่อยู่ในแววตานั้น ช่างเป็นอะไรที่เย็นชาและดูห่างเหินมากเสียจริง
แม้แต่ฉินหนานที่เคยติดเธอหนึบ ตอนนี้ก็ห่างจากเธอมาก
เพราะอย่างนั้น อาจื่อเลยแอบตามเซียวเฉวียนออกมา
ในใจของเธอ ได้คิดอย่างตลกขบขันว่า มีแค่เซียวเฉวียนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเป็นที่พึ่งให้เธอได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นคู่รักที่คบกันไม่นานแต่รู้ใจกันทุกอย่างงั้นหรือ
แต่ไม่ว่าอาจื่อจะพูดอะไร ฉินซูโหรวก็ไม่ตอบอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย
เธอเกลียดน้ำเสียงของอาจื่อมาก แต่จะว่าไปพอฟังไปแล้วมันก็คล้ายกับเธอมากเลยทีเดียว ยั่นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก
ฉินซูโหรวพูดอย่างใจร้อนว่า “เอาหล่ะ ฉินคนนี้ไม่มีเวลามาฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าง่วงเต็มทีแล้ว”
"โอ้ ข้าขอโทษด้วยจริง ๆ รบกวนท่านแล้ว คุณชายฉินพักผ่อนเสียเถอะ"
ในตอนแรกอาจื่อหยิ่งผยองมากแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับถ่อมตัวมาก “ข้ายังนอนไม่ได้ ยังต้องคอยปรนนิบัติท่านราชครู”
เมื่อพูดจบ อาจื่อก็มองเซียวเฉวียนที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง
ฉินซูโหรวรู้สึกเบื่อหน่ายมาก จึงได้หันไปพิงกำแพงพักผ่อนแล้ว
ฉินซูที่มีจิตใจงดงามและคุณธรรมสูง ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่พอใจอย่างมาก นอกเสียจากเว่ยเป้ย
ที่เขากลับรู้สึกว่า ฉินซูนั้นเป็นคนดีมาก ลมหายใจที่ใสบริสุทธิ์
ไม่มีใครรู้เลยว่า เซียวเฉวียนจะออกมาเมื่อไหร่
เมื่อถึงรุ่งเช้า ตอนที่พวกเขาตื่นขึ้นมา เซียวเฉวียนก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เตรียมทานอาหารแล้ว
"ดวงอาทิตย์หรือ? ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว!”
ในเวลานี้ แสงแดดก็ส่องเข้ามาในบ้าน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...