มู่จิ่นไม่ใช่คนกะล่อน ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่สามารถช่วยมู่เวยได้
มู่เวยโกรธมากจนสีหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง และเธอก็เอาสายบังเหียนขึ้นมา: "ต่อจากนี้ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกต่อไป!"
มู่เวยดื่มกับเซียวเฉวียนเสร็จแล้วก็หันหลังกลับและเดินจากไป
มู่จิ่นตกตะลึง และเซียวเฉวียนเคารพและพูดว่า: "ขอบคุณพวกเจ้าสองคนมาก งั้นข้าก็ไม่ไปส่งพวกเจ้าแล้ว"
เวลานี้มู่จิ่นถึงรู้ว่า ที่เซียวเฉวียนพูดคำที่ทำให้คนอื่นรำคาญออกมาเมื่อกี้นั้น เซียวเฉวียนทำไปเพราะมู่เวยเดินจากไป
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า”มู่จิ่นเคารพแล้วก็ยิ้ม และขี่ม้าตามมู่เวยไป
ด้านหลังของมู่จิ่นยังมีตะกร้ายาอีกด้วย ในตะกร้ามีสมุนไพรที่เก็บมาจากภูเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อช่วยเซียวเฉวียนตามหาคน สองพี่น้องจึงไม่มีเวลาศึกษาสมุนไพรนี้ด้วยซ้ำ
จะเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นคนมีจิตใจอบอุ่นจริงๆ
หากเซียวเฉวียนไม่ทำให้มู่เวยโกรธ ไม่รู้ว่ามู่เวยจะต้องอยู่กับพวกเขานานแค่ไหน ดังนั้นการจากไปอย่างรวดเร็วก็เป็นเรื่องดี
“นายท่าน ปืนนั้นอยู่ที่ไหน? ไม่สนใจปืนแล้วเหรอ?ปล่อยให้มู่จิ่นจากไปแบบนี้เหรอ?”
โย่วควนมีความกังวลเล็กน้อย มู่จิ่นจากไป แล้วเขาจะรู้เรื่องปืนได้อย่างไร?
“มู่จิ่นปากแข็งมากเกินไป หากทอดสอบเขาแบบนี้ต่อไปก็จะไม่ได้คำตอบอะไรเลย หรือว่าพวกข้าเปลี่ยนวิธีอื่น”
“วิธีไหน?”
มู่จิ่นและมู่เวยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน พวกเขาจึงศิษย์สำนักเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหน ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ตอนนี้เซียวเฉวียนต้องหาพ่อตาของเขาได้เท่านั้น
องษ์หญิงและหมิงเจ๋อไม่รู้อยู่ที่ไหน คาดว่ามีเพียงแค่คนของราชวงศ์แห่งซินเจียงเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน
ก็ดี ทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน
“แต่นายท่านบอกว่า ไม่สามารถให้พวกราชวงศ์รู้ว่าพวกข้ากำลังตามหาปืนไม่เหรอท่าน?”
“ใครบอกว่าข้ากำลังตามหาปืน?”เซียวเฉวียนยิ้ม: “เมื่อถึงเวลา ข้าก็จะบอกว่าข้ากำลังตามหาผู้มีพระคุณที่ช่วยองษ์หญิงไว้ ข้าจะขอบคุณเขาอย่างดี และขอบคุณศิษย์สำนักไปด้วย”
เมื่อถึงเวลานั้น ก็เริ่มลุงมือจากผู้อาวุโสของหมิงเจ๋อ คิดว่าสามารถได้ข้อมูลเกี่ยวกับปืนได้เร็วขึ้น
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”โย่วควนพยักหน้า และพูดด้วยความชื่นชมว่า:“นายท่านคิดอย่างรอบคอบ”
“ไปที่วังหลวงแห่งซินเจียงกันเถอะ”
“ขอรับนายท่าน”
เซียวเฉวียนและโย่วควนขี่ม้าไป พวกเขาไปคนละทิศทางกับมู่จิ่นและมู่เวย
พระอาทิตย์กำลังตกดิน ก็ถึงเวลาบอกลากัน
โย่วควนแอบหันกลับไปมองทิศทางที่มู่เวยไป แต่เขาก็รู้ว่าเขาและเธอไม่มีบุญวาสนาต่อกันในที่สุด
มู่เวยเป็นเหมือนดาวที่ตกวิ่งผ่านโลกของโย่วควนอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามโย่วควนก็จะจดจำผู้หญิงคนนี้ที่ไม่เคยรังเกลียดเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่เกี่ยวกับเรื่องความรัก เพียงเพื่อการยอมรับนี้เท่านั้น
ในระหว่างทาง เซียวเฉวียนไม่ได้พูดอะไรเลย
โย่วควนรู้สึกว่านายท่านของเขาเงียบสงบลงกว่าเมื่อก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เซียวเฉวียนตกอยู่ภายใต้ความกดดันมกแค่ไหน
ประการที่หนึ่ง พู่กันเฉียนคุนก็ถูกยืด
ประการที่สอง เขาได้รับข่าวต้าเว่ยจากไป๋ฉี ตอนที่เขากำลังทำห็มู่เวยโกรธหนีไป ว่าเสี่ยวเซียนชิวถูกเว่ยเชียนชิวโจมตีนจนแพ้และถูกเอาไปขังไว้
ในอดีตเว่ยเชียนชิวไม่มีทางจัดการกับเสี่ยวเซียนชิวได้เลย บอกได้ว่าเขากลัวเสี่ยวเซียนชิวมากๆ ตอนนี้เสี่ยวเซียนชิวถูกขังไว้ เบื้องหลังของเว่ยเชียนชิวจะต้องได้รับคำแนะนำจากผู้มีอำนาจแน่นอน
ความกดดันอันยิ่งใหญ่ของเซียวเฉวียนมาจากการไม่รู้จักศัตรู เห็นได้ชัดว่า ความสามารถของคู่ต่อสู้นั้นเหนือกว่าเขา
"อย่ากังวลไปเลย"ผนึกจูเสินกล่าวอย่างเคร่งขรึม: "มีข้าอยู่ เจ้าชนะแน่นอน"
“เฮอ”เซียวเฉวียนหมดหนทางเล็กน้อย: “คนๆนั้นอยู่เหนือกว่าข้า เจ้าถูกฉันพิชิตแล้ว เจ้าจะเอาชนะคนๆนั้นได้อย่างไร?”
"ไม่มีปัญหา" น้ำเสียงของผนึกจูเสินมีความดูถูกเล็กน้อย: "เจ้าอย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพู่กันเฉียนคุนและดาบวิญญาณ พวกมันไม่มีอะไรเลย"
นักปราชญ์ไม่ได้อธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นเว่ยเชียนชิวจึงคิดว่าไฟธรรมดาก็สามารถจัดการเสี่ยวเซียนชิวได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าในอนาคตเขาก็สามารถทำมันได้ และเขาก็ภูมิใจเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็เป็นแสดงท่าทางก็งั้นๆ
นักปราชญ์ไม่ได้อธิบายชัดเจน ควรกินก็กินควรดื่มก็ดื่ม
ดวงตาของจางจิ่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ท่านผู้เฒ่าคนนี้กล้าดียังไงใช่เขาเป็นเครื่องมือ
แต่เนื่องจากท่านผู้เฒ่าได้ให้หยกเนื้อดีแก่เขา จางจิ่นจึงไม่ถือสามัน
ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าเป็นคนของเว่ยเชียนชิว แม้ว่าจางจิ่นอยากจะถือสามากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้า
ที่จริงแล้ว หากจางจิ่นต้องการลำบากใจนักปราชญ์ มันไม่จำเป็นเลย เพราะนักปราชญ์มาที่นี่เพื่อชี้เป้าไปที่เซียวเฉวียนนั้นเอง
ตราบใดที่มันเป็นเรื่องของเซียวเฉวียน มันก็เป็นเรื่องของนักปราชญ์
หากไม่ใช่เรื่องของเซียวเฉวียน นักปราชญ์จะไม่สนใจเลย และไม่สามารถไปยุ่งได้
พูดตามหลักการแล้ว นักปราชญ์และเว่ยเชียนชิวมีเป้าหมายอีนเดียวกัน เว่ยเชียนชิวเกลียดเซียวเฉียวมาก และต้องการกำจัดเซียวเฉวียน เป้าหมายของนักปราชญ์ก็เช่นเดียวกัน
แต่เว่ยเชียนชิวยังคงต้องการที่จะเป็นเจ้าครองรัฐมหาอำนาจของต้าเว่ย แต่นักปราชญ์ไม่ได้คิดเช่นนี้
ดังนั้น นักปราชญ์จึงมีเป้าหมายเพียงแค่บางส่วนที่ตรงกันกับเว่ยเชียนชิวเท่านั้น
แต่ตอนนี้เว่ยเชียนชิวมีความสุขอย่างมาก เขารู้สึกว่าต่อจากนี้ไปนักปราชญ์จะทำงานให้เขา และคอยปรนนิบัติเขา มีคนเก่งอย่างนักปราชญ์อยู่ทั้งคน ทำไมเขาจะต้องกังวลด้วย?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เว่ยเชียนชิวมีความสุขมากขนาดนี้ ทำไงได้นักปราชญ์แค่โชว์ฝีดมือครั้งเดียวก็สามารถกำจัดเสี่ยวเซียนชิวได้
ในคุกใต้ดินของต้าเว่ย
กรงที่กำลังลุกไหม้ เปลวไฟยังคงลุกไหม้กรงเหล็ก เสี่ยวเซียนชิวที่อยู่ในนั้น ยืนก้ไม่ใช่นั่งก็ก้ไม่ใช่ เปลวไฟหนาลุกไหม้ และผิวหนังบนร่างกายของเธอก็พองขึ้น
เสี่ยวเซียนชิวร้องให้และตะโกนว่า: "ท่านพ่อ...ท่านพ่อ..."
"ปล่อยข้าออกไป"
"ปล่อยข้าออกไป!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...