“ที่จริงฉันก็เหนื่อยมากแล้วนะ”
“เพราะพวกเราเป็นแค่คู่หมั้น ไม่ได้แต่งงานกัน ตระกูลฉินของฉันจึงไม่อยากให้คุณอยู่”
“สองปีมานี้ ฉันแบกรับภาระของตระกูลฉินมากมาย และฉันก็ถูกวิจารณ์เพราะคุณหนักมากด้วย”
ฟังมาถึงจุดนี้ หลินเซียวก็กระพริบตาปริบๆ หัวใจที่ด้านชามานานก็มีความอบอุ่นเล็กน้อย
หลี่ฉงกวง พ่อบุญธรรมเคยบอกเขาว่า เมื่อลูกอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ท่ามกลางคนประจบสอพลอและเสแสร้งก็ยังจะมีคนจริงใจด้วยแน่
ทว่าตอนลูกตกอับแล้วยังมีคนเคียงข้าง แสดงว่าคนนั้นจริงใจกับลูกมากๆแน่
และ ณ เวลานี้หลินเซียวอ่อนแอ กลายเป็นคนขาพิการและสมองทึบแล้ว
แต่ฉินหว่านชิวยังดีต่อเขาขนาดนี้ ซึ่งเรียกว่าไม่ง่ายเสียเลย
เดิมทีหลินเซียวคิดว่าตัวเองหายดีแล้ว ถึงเวลาออกจากบ้านตระกูลฉินเสียที
ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินหว่านชิวเอื้อนเอ่ย เขาก็เปลี่ยนความคิดใหม่โดยพลัน
วิถีชีวิตของหลินเซียวคือ ความแค้นต้องชำระ บุญคุณต้องตอบแทน
หากจะออกไปก็ต้องตอบแทนน้ำใจของฉินหว่านชิวก่อน
“อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย ฉันแค่ต้องการคนที่มาร่วมแบกรับภาระของครอบครัวด้วยกัน”
“ฉันอยากมีคนไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อน และสามารถปกป้องฉันได้”
ฉินหว่านชิวสูดจมูก จากนั้นก็เอาหัวไปพิงตักของหลินเซียว
นางไม่ค่อยหมดอาลัยตายอยากแบบนี้บ่อยนัก แต่วันนี้เธอควบคุมอารมณ์ไม่ไหวแล้วจริงๆ เธอต้องการระบายความทุกข์ใจ
“ซัวะ!”
เวลานี้นี่เอง ฉินหว่านชิวรู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองมีคนมาจับขึ้นไป
ฉินหว่านชิวเงยหน้ากะทันหัน จากนั้นก็ประสานสายตาอันแน่วแน่ของหลินเซียว
วินาทีนี้ไม่รู้ว่าฉินหว่านชิวเป็นอะไร หัวใจเธอเต้นรัวแรงมาก
“ชีวิตต่อจากนี้ แม้โลกจะแตกสลาย...”
“แต่ฉินหว่านชิว คุณจะเป็นหนึ่งเดียวของผมตลอดไป”
ถ้อยคำที่ได้ยินกะทันหัน ทำให้ฉินหว่านชิวช็อกเหมือนสมองเกิดเสียงดังโครมๆ
ผ่านไปสักพัก ฉินหว่านชิวก็สะบัดมือหลินเซียวทิ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
เวลานี้ฉินหว่านชิวรู้สึกตกตะลึงและอับอายยิ่ง
ตกตะลึงเพราะสติปัญญาของหลินเซียวกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
และสาเหตุที่เขินอายเพราะเธอได้พูดความในใจต่อหน้าหลินเซียวไปมากมาย
“คุณหายดีแล้ว ทำไมคุณถึงหลอกฉัน คุณ...”
ฉินหว่านชิวสบตาหลินเซียวด้วยความขวยเขิน
“ผมไม่ได้หลอกคุณ ผมพึ่งหายดี”
หลินเซียวมองฉินหว่านชิว พลางพูดด้วยน้ำใจจริงใจเหลือแสน
“คุณ...คุณหลอกฉันนั่นแหละ”
เวลานี้ฉินหว่านชิวรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่ง และรู้สึกอายกับคำพูดเมื่อครู่ด้วย ดังนั้นจึงส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเดินเข้าห้องไป
หลินเซียวนั่งมองแสงแดดอันร้อนระอุบนเก้าอี้รถเข็น มุมปากก็เผยรอยยิ้มขึ้นมา
สมองที่ใช้การไม่ได้สองปี และเป็นคนขาพิการสองปี
แต่เธอกลับดูแลเขา ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งเขาตลอดสองปี
เขาคือผู้บัญชาการทหารในสนามรบ เวลาจับศึกชิงชัยก็ไม่มีใครเทียบเทียม
ทว่าลูกผู้ชายอกสามศอกเช่นเขาก็เป็นคนอ่อนโยนได้เหมือนกัน
สิ่งดีๆที่เธอมอบให้ เขาจะทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดี ไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่
“เอาไป อันนี้เป็นของของคุณ”
ผ่านไปสักพัก ฉินหว่านชิวก็กลับมาพร้อมกับโยนกล่องใบหนึ่งให้หลินเซียว
“คุณทุ่มเทเพื่อผมแบบนี้ ผมจะไม่ให้คุณทำฟรีๆแน่”
“คุณบอกว่าพวกเราแค่หมั้นกัน ถ้าไปเป็นได้ ผมอยากจัดงานวิวาห์อย่างอลังการให้คุณ”
หลินเซียวรับกล่องมาแล้วก็มองฉินหว่านชิวด้วยใบหน้าจริงจังขึงขัง
ถ้าดูจากอาการตอนนี้ เขาจะหายดีภายในเจ็ดวันแน่
ถึงเวลานั้นเขาจึงจะเป็นผู้บัญชาการหลินอย่างแท้จริง
บนโลกใบนี้จะไม่มีใครขัดขวางเส้นทางเดินของเขาได้อีกต่อไป
หลินเซียวเงยหน้ามองฟากฟ้า แววตาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา
“บุญคุณของตระกูลฉิน ฉันจะตอบแทน”
“และความหยาดเหยียมที่ตระกูลฉินมอบให้ ฉันก็จะเอาคืนเช่นกัน”
“และฉันจะทวงคืนทุกอย่างที่เป็นของฉันกลับมา”
ภายในลานบ้าน เสียงของหลินเซียวหนักแน่นและราบเรียบยิ่ง
……
ภายในโรงแรม
จ้าวเฉวียนกับหวางเฟิ่งกำลังปรึกษาอะไรบางอย่าง
“น้าหวางครับ หลินเซียวเป็นใครมาจากไหนครับ?”
“ผมรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดายังไงไม่รู้ครับ?”
จ้าวเฉวียนขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เมื่อนึกถึงคำพูดกับการกระทำของหลินเซียวแล้วก็อดหวาดผวาไม่ได้
“เขาจะเป็นใครมาจากไหนได้? ก็แค่ทหารธรรมดาคนหนึ่ง”
“ไม่รู้ว่าตอนนั้นสมองนายท่านฉินเป็นอะไร ถึงได้จับหว่านชิวไปหมั้นกับเขาได้”
“แต่ก็ยังดีที่แค่หมั้น ไม่ได้แต่งงานกัน ไม่งั้นตระกูลฉินของน้าก็จะโดนหัวเราะเยาะจนฟันร่วงแน่”
หวางเฟิ่งส่งเสียงไม่พอใจ พูดถึงหลินเซียวทีไรก็รู้สึกหงุดหงิดเมื่อนั้น
“จากแหล่งข่าวของตระกูลจ้าว ผมได้ยินมาว่าสองปีกว่าก่อน ในค่ายทหารพายัพมีผู้บัญชาการทหารสูงแซ่หลินครับ เป็นผู้บัญชาการที่อายุน้อยที่สุดในค่ายครับ”
“เก่งสุดในนั้นเลยครับ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฝีมือเหนือชั้นกว่าทหารผู้กล้าอื่นๆครับ”
“สามารถเฝ้าอาณาเขตได้แค่คนเดียว ได้ฉายาว่า นักรบที่เก่งที่สุด”
“หลินเซียวคนนี้...”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดาบพิทักษ์แผ่นดิน
รบกวนอัพเดทเรื่องนี้ให้หน่อยครัย...