เมื่อถูกซือกงวู่จี๋เปิดโปงเรื่องปีศาจภัยแล้งสีหน้าของนักบวชเลี่ยยื่อก็ถึงกับเปลี่ยนไปทันที..
และอีกคนที่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีก็คือไป๋เซียนเอ๋อ..นางยังจำปีศาจภัยแล้งที่เดินตามหลังนักบวชเลี่ยยื่อมาได้เป็นอย่างดี เพราะมันคือศัตรูตัวฉกาจของไป๋เซียนเอ๋อ แต่เพราะอยู่ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน นางจึงต้องอดทนอดกลั้นที่จะไม่ผลีผลามลงมือกับปีศาจภัยแล้งตนนี้
อีกทั้งเวลานี้ไป๋เซียนเอ๋อก็โมโหซือกงวู่จี๋อย่างมากที่กล้าเรียกนางว่าปีศาจจิ้งจอกต่อหน้าผู้คนเช่นนี้!
“อะไรนะ!ปีศาจภัยแล้งงั้นรึ?! นี่คือปีศาจภัยแล้งจริงหรือนี่?!”
ทางด้านถังเมิ่งและคนอื่นๆเมื่อได้ยินชื่อปีศาจภัยแล้ง ก็ถึงกับขวัญผวาขึ้นมาทันที เพราะนี่คือปีศาจภัยแล้งที่เล่าขานกันต่อๆมาว่ามันสามารถกินคนได้!
“แม่เจ้าโว้ย!!!คืนนี้โคตรสนุกเลย!”
ถังเมิ่งถึงกับร้องตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทนในใจของเขานั้นทั้งหวาดกลัวแล้วก็ตื่นเต้นไปพร้อมกัน จะไม่ให้ถังเมิ่งกรีดร้องออกมาได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อเวลานี้ตรงหน้าของเขานั้นมีทั้งปีศาจจิ้งจอก ปีศาจภัยแล้ง แล้วก็แวมไพร์ ทุกตัวล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจในตำนานทั้งสิ้น!
และหากถังเมิ่งได้ยินชื่อปีศาจภัยแล้งก่อนที่หลิงหยุนจะมาถึงแล้วล่ะก็..เขาคงต้องหวาดกลัวจนขนหัวลุก และแทบประสาทกินแน่! แต่ในเมื่อหลิงหยุนอยู่ด้วยทั้งคน เขาจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวสิ่งใดอีก!
ถังเมิ่งเชื่อมั่นในตัวหลิงหยุนอย่างมากอย่าว่าแต่ปีศาจภัยแล้งเลย ต่อให้เป็นเซียน หลิงหยุนก็มีวิธีที่จะรับมือ และจัดการได้อย่างแน่นอน!
ไม่ใช่ถังเมิ่งคนเดียวที่มีท่าทางเช่นนั้นแม้แต่ฉินตงเฉี่วย หนิงหลิงยู่ และคนอื่นๆ ต่างก็มีท่าที และปฏิกิริยาไม่ต่างจากถังเมิ่ง ทุกคนล้วนแล้วแต่อยู่ในอาการตกใจเมื่อได้ยินชื่อปีศาจภัยแล้ง แต่แล้วก็ตามมาด้วยความโล่งใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลิงหยุนอยูที่นี่ด้วยแล้ว..
แต่ถึงกระนั้น..ภายในบริเวณบ้านเลขที่-1 ก็ยังมีคนคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดเช่นคนอื่นๆ
“อะไรนะ!ปีศาจภัยแล้งงั้นรึ?!”
โม่วู๋เตาได้ยินแค่คำว่าปีศาจภัยแล้งเขาก็กระโดดลุกขึ้นจากพื้นราวกับถูกไฟลนก้นทันที!
การศึกษาของเหล่านักพรตในลัทธิเต๋านั้นแยกออกเป็นห้าแขนงคือ ภูเขา (เซียน) การแพทย์ ชีวิต การทำนาย และการดู..
นักบวชแห่งสำนักเหมาซานนั้นเป็นพวกที่ศึกษาเพื่อความเป็นเซียนและงานหลักก็คือการจับภูตผีปีศาจ โม่วู๋เตาเองก็ได้ร่ำเรียนวิชาเหล่านี้มาตั้งแต่อายุยังน้อย แต่นักพรตน้อยผู้นี้กลับไม่ชื่นชอบ เขานิยมชมชอบการศึกษาเรื่องชีวิตตามหลักคำสอนของมรรคาจารย์ และการทำนายดวงชะตามากกว่า..
ความจริงแล้วหากเป็นนักพรตเต๋าก็ควรจะศึกษามรรคาแห่งเต๋าให้ลึกซึ้งแต่อาจารย์ของเขากลับไม่ชอบใจ และชื่นชอบแต่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์เพียงเท่านั้น ส่วนโม่วู๋เตานั้นไม่สนใจจะฝึกวรยุทธของสำนักเหมาซาน กลับเอาแต่ศึกษาเรียนรู้เรื่องการทำนายดวงชะตาเท่านั้น..
หลังจากที่เกิดเรื่องกับนักพรตหลิวเต๋อหมิงอาจารย์ก็ได้สั่งให้โม่วู๋เตาลงเขามาสืบหาความจริงในเรื่องนี้ แต่ความจริงแล้วอาจารย์ส่งโม่วู๋เตาลงเขามา ก็เพื่อส่งให้โม่วู๋เตาได้มาเรียนรู้ประสบการณ์ที่น่ากลัวของโลกภายนอก หลังจากได้รับบทเรียนครั้งนี้ โม่วู๋เตาก็จะได้ยินดีกลับขึ้นเขาไปฝึกฝนวรยุทธอย่างเต็มใจ
แต่เมื่อโม่วู๋เตาได้ยินชื่อปีศาจภัยแล้งและปีศาจจิ้งจอกเขาก็ไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้อีกต่อไป
“สวรรค์!นี่ข้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ข้าได้ยินว่าที่นี่มีปีศาจภัยแล้ง ใครก็ได้ช่วยบอกข้าทีว่าข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่?”
แต่แล้วจู่ๆโม่วู๋เตาก็ดูเหมือนจะนึกถึงนักบวชเลี่ยยื่อขึ้นมาได้ เขารีบยกกระบี่ไม้ในมือขึ้นชี้หน้านักบวชผู้นั้นทันที พร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า..
“ท่านนักพรต..ท่านเป็นถึงนักบวชผู้ทรงศีล แต่กลับเลี้ยงปีศาจภัยแล้งไว้งั้นรึ ปีศาจร้ายและเป็นภัยต่อโลกมนุษย์เช่นนี้ สำนักเหมาซานของข้าไม่ปล่อยท่านไว้แน่!”
ระหว่างเขาหลงหู่กับสำนักเหมาซานต่างก็เป็นสำนักเต๋าทั้งคู่โม่วู๋เตาจึงเข้าใจดีว่านักบวชเลี่ยยื่อกำลังต้องการทำอะไร!
แต่นักบวชเลี่ยยื่อกลับเพียงแค่เหลือบตาขึ้นมองโม่วู๋เตาและไม่สนใจที่จะต่อปากต่อคำกับเขาเลยแม้แต่น้อย..
สายตาของหลิงหยุนปรากฏแววตาแห่งความชื่นชมขึ้นมาวูบหนึ่งและได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ‘นักพรตน้อยโม่วู๋เตาผู้นี้ ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ข้าคิดนัก!’.Aileen-novel.
จากนั้น..ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงของซือกงวู่จี๋ดังขึ้นอีกครั้ง เขาพูดขึ้นอย่างไม่สนใจผู้ใด
“ท่านนักบวช..แม้ท่านจะมีความคิดว่าธรรมะและอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ แต่ในอดีตกาลมาจนถึงบัดนี้นับหลายพันปี พรรคมารก็ยังคงอยู่ไม่ใช่รึ ข้าไม่เห็นว่าฝ่ายธรรมะจะขจัดพรรคมารได้เลย..”
ระหว่างนั้นนักบวชเลี่ยยื่อก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรแต่ดูเหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว จึงตอบกลับซือกงวู่จี๋ไปว่า..
“ไม่ว่าอย่างไรจุดประสงค์ของข้ากับท่านก็แตกต่างกันอยู่ดีแต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ข้าเห็นตรงกับท่านว่าจำเป็นต้องกำจัดหลิงหยุนเสียก่อน! และด้วยเหตุนี้ข้าจึงตกลงที่จะร่วมมือกับเจ้าสังหารหลิงหยุน..”
ซือกงวู่จี๋สังเกตเห็นปฏิกิริยาของนักบวชเลี่ยยื่อและพยายามใช้ลิ้นสองแฉกของตนเองเกลี้ยกล่อมต่อไป
“ในเมื่อท่านเห็นตรงกันกับข้าเช่นนี้พวกเราทั้งหมดก็ควรจะจู่โจมหลิงหยุนในคราวเดียวพร้อมๆกัน หรือท่านจะรอให้หลิงหยุนสังหารทุกคนตายหมด แล้วเหลือท่านเพียงแค่คนเดียว”
ซือกงวู่จี๋จึงรีบพูดเตือนสตินักบวชเลี่ยยื่อต่อ..
“หากเป็นเช่นนั้นจริง..ท่านเองก็คงไม่สามารถสังหารหลิงหยุนได้แน่ อย่าลืมว่าเวลานี้กลองสะบัดมารของท่าน ก็ใช้กับนางปีศาจจิ้งจอกไม่ได้ผลแล้ว!”
ซือกงวู่จี๋พยายามชักแม่น้ำทั้งห้าและในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ!
นักบวชเลี่ยยื่อเหลือบตาขึ้นมองไปทางหลิงหยุนก่อนจะพยักหน้าช้าๆ พร้อมกับร้องบอกซือกงวู่จี๋ว่า
“ได้..ข้ารับปากร่วมมือกับท่าน! แต่.. ท่านเองก็ต้องรับปากข้าก่อนเช่นกัน!”
ซือกงวู่จี๋พยักหน้าและได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ‘จิ้งจอกเฒ่า.. เจ้าแค่อ้าปาก ข้าก็เห็นลิ้นไก่ของเจ้าแล้ว!’
ในเมื่อเหตุการณ์พลิกผลันและซือกงวู่จี๋ก็จำเป็นต้องหาแนวร่วมเช่นนี้ จึงเปิดโอกาสให้นักบวชเลี่ยยื่อสามารถสร้างเงื่อนไขต่อรองได้ เขาจึงรีบฉวยไว้ทันที..
นักบวชเลี่ยยื่อใช้แส้ปัดในมือชี้ไปทางไป๋เซียนเอ๋อพร้อมกับพูดขึ้นว่า..“นอกเหนือจากปีศาจจิ้งจอกตนนั้นแล้ว หม้อเสินหนง และยันต์ของหลิงหยุนต้องเป็นของข้า! อ่อ.. แล้วก็ศิลาในมือของนางจิ้งจอกตนนั้นด้วย!”
แทบไม่ต้องรอให้นักบวชเลี่ยยื่อพูดจบทั้งหลิงหยุนและซือกงวู่จี๋ต่างก็คิดเหมือนกันว่า ‘จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ช่างโลภมากยิ่งนัก!’
ซือกงวู่จี๋พยักหน้าโดยไม่ต้องคิด“ไม่มีปัญหา.. ตราบใดที่พวกเราร่วมมือกันกำจัดหลิงหยุนได้สำเร็จ เรื่องสิ่งของเหล่านี้ย่อมสามารถเจรจาตกลงกันได้!”
หลิงหยุนเพิ่งจะแสดงความแข็งแกร่งของตนเองให้ทุกคนได้ประจักษ์แต่ซือกงวู่จี๋กับนับวชเลี่ยยื่อกลับยังคงมั่นอกมั่นใจว่า หากพวกเขาทั้งสองคนร่วมมือกัน จะสามารถเอาชนะหลิงหยุน..
จากนั้นซือกงวู่จี๋ก็แสยะยิ้มและพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็คงไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว ท่านสั่งให้ปีศาจภัยแล้งตนนั้นเริ่มลงมือได้เลย!”
นักบวชเลี่ยยื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่ต้องมาสั่งข้า!”
ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วซือกงวู่จี๋จึงไม่สนใจคำพูดคำจาของนักบวชเลี่ยยื่ออีก เขาจึงหันไปทางเฉินเจี้ยนกุ่ยแทน พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คุณชายเฉิน..หากข้าเดาไม่ผิด เวลานี้พลังของท่านคงฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติแล้วสินะ! เช่นนี้แล้วพวกเราทุกคนควรจะหันมาร่วมมือกันสังหารหลิงหยุน จะได้เป็นการล้างอายให้กับตัวท่านเองด้วย ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นไร”
เฉินเจี้ยนกุ่ยไม่ยอมหนีไปและเฝ้ารอคอยเวลานี้ เขาจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับกัดฟันกรอด และตอบซือกงวู่จี๋ไปว่า
“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว!”
ซือกงวู่จี๋เงยหน้าขึ้นสบตาหลิงหยุนเขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ข้าต้องยอมรับว่าการที่เจ้าสามารถกลับลงมาจากเขาหลงเหมินได้นั้น เป็นเรื่องที่ข้า – ซือกงวู่จี๋ก็คาดไม่ถึงจริงๆ อีกทั้งวิชาดูดลมปราณของเจ้านั้น ก็ทำให้ข้าทั้งตกใจ และประหลาดใจยิ่งนัก!”
หลิงหยุนยิ้มสดใส“ซือกงวู่จี๋.. ข้าเองก็ต้องยอมรับว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างมากเช่นกัน! เพียงแต่เจ้าเป็นคนไร้ยางอาย ลิ้นสองแฉก อีกทั้งยังทำตัวเหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสีไปมาได้ตลอดเวลา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวเจ้าเลยแม้แต่น้อย..”
ซือกงวู่จี๋ไม่สนใจคำพูดของหลิงหยุนและพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “หลิงหยุน.. มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าทำพลาดไป แต่ข้าจะบอกให้เจ้าได้รู้..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามเสียงเรียบเฉย“งั้นรึ”
ซือกงวู่จี๋ร้องตะโกนออกมา“เจ้าประเมินทุกคนต่ำจนเกินไป ในที่นี้มียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ถึงสองคน!”
และแน่นอนว่าต้องเป็นซือกงวู่จี๋กับนักบวชเลี่ยยื่อ!
หลิงหยุนหวนรำลึกถึงหลวงจีนเจี๋วยหยวนกับนักพรตชงซวีบนเขาหลงเหมินซึ่งอยู่ในขั้นเซียงเทียน-9เช่นกัน หลิงหยุนได้แต่แอบคิดว่าเขาหลุดรอดจากการต้องประมือกับทั้งคู่มาได้ แต่กลับต้องมาพบเจอยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 รอคอยอยู่ที่บ้านถึงสองคนเชียวหรือนี่
ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจากยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ทั้งสองคนแล้ว ก็ยังมีปีศาจภัยแล้ง และเฉินเจี้ยนกุ่ยที่จู่ๆก็สามารถข้ามขั้นได้อย่างน่าประหลาด..
และนี่นับเป็นการต่อสู้ที่ต้องเสี่ยงอันตรายมาก!
“เอาล่ะ..ลงมือได้!”
ซือกงวู่จี๋ร้องตะโกนพร้อมกับเป็นผู้นำในการจู่โจมเขาใช้วิชารอยเท้ามารกระโดดไปยืนอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว วิชารอยเท้ามารของซือกงวู่จี๋นั้นนับว่าเป็นวิชาตัวเบาที่สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างที่สุด จนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้!
แต่หลิงหยุนกลับไม่หลบและยังใช้หมัดปีศาจเถียนกังพุ่งออกไปรับฝ่ามือโลหิตของซือกงวู่จี๋ด้วย!
ปัง!
หมัดอันทรงพลังและรุนแรงของหลิงหยุนปะทะเข้ากับฝ่ามือที่เหี้ยมโหดของซือกงวู่จี๋!
พลังจากฝ่ามือและกำปั้นนั้นรุนแรงอย่างมากจนเกิดเป็นลมแรงพัดเอาหิน และดินปลิวว่อนไปรอบๆตัวของคนทั้งคู่ทันที..
และที่หลิงหยุนไม่หลบฝ่ามือของซือกงวู่จี๋นั้นก็เพราะเขาต้องการที่จะทดสอบพลังความแข็งแกร่งของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 เสียก่อน!
ซือกงวู่จี๋ถูกหมัดของหลิงหยุนกระแทกเข้าไปอย่างแรงจนร่างของเขากระเด็นถอยหลังออกไปไกลถึงเจ็ดก้าว ก่อนจะทรงตัวนิ่งได้!
ทางด้านหลิงหยุนนั้น..เพียงแค่หมัดของเขาปะทะเข้ากับฝ่ามือของซือกงวู่จี๋เข้า เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณรุนแรงที่ไหลผ่านหมัดของตนเองเข้าไปในร่างกาย จนทำให้การหมุนเวียนของทั้งลมปราณ และเส้นเลือดติดขัด..
แต่ถึงกระนั้น..ภายใต้วิชาที่ทรงพลานุภาพอย่างวิชาพลังลับหยิน-หยาง หลิงหยุนจึงสามารถควบคุมลมปราณ และเส้นเลือดที่ติดขัดนั้น ให้กลับมาไหลเวียนเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว!
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..นี่หรือคือฝ่ามือโลหิตที่โหดเหี้ยมซึ่งเย่ซิงเฉินเคยเตือนเขาก่อนหน้านี้ หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าฝ่ามือโลหิตจะส่งผลรุนแรงกับการไหลเวียนของเลือด และลมปราณภายในร่างกายได้มากถึงเพียงนี้!
อีกทั้งหลิงหยุนยังได้โคจรดาราคุ้มกายขั้นสุดปกป้องร่างกายไว้อีกชั้นหนึ่งเขารู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแกร่งของตนเอง หรือหากเป็นยอดฝีมือธรรมดาๆที่รับฝ่ามือโลหิตเขาไป จะมีสภาพเช่นไรบ้าง หากเลือด และลมปราณภายในร่างกายหมุนกลับเช่นนี้!
หลิงหยุนถึงกับใจสั่นอย่างรุนแรงแต่ซือกงวู่จี๋เองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน!
เขาเป็นฝ่ายบุกจู่โจมหลิงหยุนก่อนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีแต่กลับถูกหลิงหยุนตอบโต้กลับได้เช่นนี้!
ซือกงวู่จี๋อดที่จะตกใจกับความแข็งแกร่งอันมหัศจรรย์ของหลิงหยุนไม่ได้แม้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยก็ตาม แต่ก็ถึงกับท่อนแขนอ่อนล้าไปเช่นกัน..
‘มิน่า..เจ้าเด็กนี่ถึงได้มีชีวิตรอดลงมาจากเขาหลงเหมินได้! เพราะแค่ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว ก็ยากที่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8 จะเอาชนะมันได้แล้ว!”
หลังจากการปะทะกันเพียงแค่ครั้งเดียวทั้งคู่ต่างก็ได้แต่ประหลาดใจ และตกใจในพลัง และความแข็งแกร่งของกันและกัน!
ส่วนนักบวชเลี่ยยื่อนั้นกลับไม่รีบร้อนที่จะจู่โจมหลิงหยุนนักริมฝีปากของเขาขยับไปมาอย่างรวดเร็ว และเขาก็กำลังสาธยายมนต์คาถาอยู่..
หลังจากร่ายมนต์คาถาเรียบร้อยแล้วนักบวชเลี่ยยื่อก็ใช้แส้ปัดในมือฟาดลงบนศรีษะของปีศาจภัยแล้ง จากนั้นบางสิ่งรูปร่างคล้ายยันต์สีเหลืองก็ร่วงหล่นลงมาจากศรีษะของมัน!
และทันใดนั้น..ใบหน้าสีเขียวชวนขนลุกขนพองนั้น ก็ปรากฏออกมาท่ามกลางความมืด..
และทันทีที่ตัวตนของปีศาจภัยแล้งปรากฏต่อหน้าสาธารณชนไป๋เซียนเอ๋อก็ไม่รีรอ และใช้วิชาเก้าดาราพุ่งตรงเข้าหาปีศาจภัยแล้งอย่างรวดเร็ว!
“พวกเราลงมือ!”
ทั้งซือกงวู่จี๋นักบวชเลี่ยยื่อ เฉินเจี้ยนกุ่ย และเฉี่วยหยิงกง ต่างก็พุ่งตรงเข้าจู่โจมหลิงหยุนพร้อมๆกัน!
และการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจังเสียที!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร