เกาเฉินเฉินป้อนข้าวต้มให้กับหลิงหยุนไปถึงห้าถ้วยและข้าวต้มที่หลิงหยุนทานเข้าไปนั้น ท่านหมอเสี่ยวก็ได้ผสมตัวยาสมุนไพรเข้าไปด้วย หลังจากที่รับประทานเข้าไปมากมาย หลิงหยุนจึงรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสัมผัสได้ถึงกำลังวังชาที่เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก..
“ผมอิ่มมากแล้ว..รู้สึกคล้ายเลือดลมหมุนเวียนได้ดีขึ้นมาก!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปพูดกับท่านหมอเสี่ยว“ท่านปู่เสี่ยว.. ลำบากท่านแล้ว!”
มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่ได้กลิ่นยาสมุนไพรล้ำค่าที่ผสมอยู่ในข้าวต้มและสมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้ ก็มีเพียงท่านหมอเสี่ยวเท่านั้นที่จะสามารถจัดหามาได้..
“เอาล่ะ..ในเมื่อเจ้าเองก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ตาแก่อย่างฉันก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีก! หนุ่มๆสาวๆคุยกันต่อก็แล้วกัน ฉันขอกลับไปพักผ่อนก่อนล่ะ..”
ท่านหมอเสี่ยวพูดจบก็เดินจากไปทันทีแต่ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะย้ำกับหลิงหยุน “ที่บ้านของฉันยังมีสมุนไพรดีๆอีกมากมาย น้ำลายมังกรที่เจ้าให้ไว้ก็ยังไม่ได้ใช้ หากเจ้าต้องการก็ไปเอาที่บ้านได้ทุกเมื่อ!”
“เจ้าเด็กดื้อ..ในเมื่อเจ้ากินโจ๊กได้ขนาดนี้ ก็น่าจะกินอาหารบำรุงอย่างอื่นได้ด้วย! ”
หลิงหยุนรีบส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“น้าหญิง.. แค่นี้ข้าก็อิ่มไปถึงพรุ่งนี้เช้าแล้ว..”
จากนั้นหลิงหยุนก็เงยหน้าขึ้นสำรวจสีหน้าของทุกคนก่อนจะพูดขึ้นว่า “ที่ผ่านมาทุกคนคงนอนหลับพักผ่อนกันไม่เต็มอิ่มนัก ตอนนี้ผมก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงผมอีกแล้ว ขอให้กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง มีเรื่องอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่!”
“อืมม..”
แม้ทุกคนจะทำเสียงเห็นด้วยกับหลิงหยุนแต่ก็ราวกับฝ่าเท้าถูกตรึงไว้ด้วยตะปู เพราะไม่มีใครยอมก้าวเท้าออกจากห้องนอนของหลิงหยุนเลยแม้แต่คนเดียว
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่หันไปมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับขอร้อง“น้าหญิง..”
ฉินตงเฉี่วยได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ.. เอาล่ะ.. ข้ารู้ว่าทุกคนต่างก็เป็นห่วงเจ้าเด็กดื้อนี่ แต่ในเมื่อเขาก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน สู้กลับไปพักผ่อนจะดีกว่า..”
ฉินตงเฉี่วยรู้ว่าร่างกายคนเรานั้นไม่ได้ทำจากเหล็กไหลทุกคนเฝ้าหลิงหยุนมานานติดต่อกันถึงเก้าวัน ถึงอย่างไรก็ต้องมีขีดจำกัด และถึงเวลาที่ควรต้องพักผ่อนบ้าง รวมถึงตัวนางด้วยเช่นกัน..
ในเมื่อฉินตงเฉี่วยเอ่ยปากเช่นนี้ทุกคนแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องก้มหน้าก้มตาเดินออกจากห้องนอนของหลิงหยุนไป..
แต่ก็ยังมีหนึ่งคนที่ไม่ยอมไปใหนซึ่งก็คือไป๋เซียนเอ๋อ! และหากไป๋เซียนเอ๋อไม่ยอมออกจากห้อง ใครจะพูดเช่นใดก็เปล่าประโยชน์ หลิงหยุนจึงไม่มีทางเลือก และได้แต่ปล่อยให้นางอยู่ในห้องต่อไป..
หลิงหยุนยื่นแขนออกมาโอบร่างของไป๋เซียนเอ๋อไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“เซียนเอ๋อ.. เจ้าเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังข้าที่สุด!”
ไป๋เซียนเอ๋อนอนขดอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุนราวกับลูกแมวใบหน้างดงามนั้นแย้มยิ้มออกมาอย่างพอใจ ขนตางอนยาวกระพริบถี่ก่อนจะร้องถามออกไปว่า
“พี่หลิงหยุน..ท่านทำให้เซียนเอ๋อกลัวแทบตาย..”
หลิงหยุนรู้ดีว่าไป๋เซียนเอ๋อกำลังพูดถึงทัณฑ์สวรรค์..เขาโอบร่างบอบบางของนางไว้เป็นการปลอบโยน
“เจ้ากลัวงั้นรึที่เกาะเตียวหยู่เจ้าเองก็เคยผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่น่ากลัวมาแล้ว ครั้งนี้ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย!”
ครั้งนี้อาจจะดูเหมือนว่าหลิงหยุนบ้าบิ่นจนเกินไปแต่ความจริงแล้วหลิงหยุนไม่ได้บ้าบิ่นอย่างที่ใครๆเห็น เพียงแต่เขารู้ดีว่าหากตนเองได้รับอันตรายถึงชีวิต พู่กันจักรพรรดิ สมุดจักรพรรดิ หม้อเสินหนง ประคำโพธิ และของวิเศษอื่นๆจะต้องเผยตัวขึ้นเพื่อช่วยชีวิตของเขาอย่างแน่นอน..
ไม่เช่นนั้น..หลิงหยุนเองก็คงไม่โง่ที่จะใช้ร่างที่ไร้เครื่องป้องกันใดๆ รับทัณฑ์สวรรค์ หรือทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายเช่นนั้นแน่!
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งทั้งสองให้จบสิ้นก่อนที่วิชาพลังมังกรของตนจะหมดฤทธิ์และหากวิชาพลังมังกรหมดฤทธิ์ลงแล้ว แต่ทัณฑ์สวรรค์ยังคงอยู่ ถึงตอนนั้นอย่างไรเสียสมุดจักพรรดิ และพู่กันจักรพรรดิ ก็จะต้องออกมาช่วยปกป้องเขาไว้อย่างแน่นอน หลิงหยุนเชื่อมั่นเช่นนั้น!
ไป๋เซียนเอ๋อพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจพร้อมกับพึมพำออกมาว่า “พี่หลิงหยุน.. ตอนนี้พี่อยู่ในขั้นพลังชี่แล้วรึ”
หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างมั่นใจ“แน่นอน.. ไม่เช่นนั้นทัณฑ์สวรรค์ก็คงไม่ปรากฏ เพียงแต่..”
เพียงแต่..หลิงหยุนคำนวณผิดพลาดไป!
หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าผลจากการใช้วิชาพลังมังกรนั้นจะทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงได้มากมายถึงเพียงนี้ อีกทั้งทัณฑ์สวรรค์เส้นสุดท้ายนั้น ไม่เพียงรุนแรง แต่ยังเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างมาก จนแม้แต่พู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิยังไม่สามารถพุ่งออกจากร่างมาช่วยเขาไว้ได้ทัน ด้วยเหตุนี้.. หลิงหยุนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบเอาชีวิตไม่รอด..
ในเมื่อหลิงหยุนยังไม่ตายเพราะทัณฑ์สวรรค์จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าเวลานี้เขาได้เข้าสู่ด่านแรกของขั้นพลังชี่แล้ว แต่ร่างกายของเขากลับมีปัญหาใหญ่ และเขาจะต้องเร่งหาทางแก้ไขให้ได้โดยเร็ว..
หลิงหยุนหยิบศิลากลั่นวิญญาณขึ้นมากำไว้ในมือและเริ่มสงบจิตสงบใจอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็ค่อยๆ เลื่อนตัวลง และเอนศรีษะซบลงบนเนินอกอ่อนนุ่มของไป๋เซียนเอ๋ออย่างสบายอกสบายใจ จากนั้นจึงร้องบอกนางว่า
“เซียนเอ๋อ..ปลดปล่อยพลังชีวิตในกายเจ้าให้ข้าที!”
ไป๋เซียนเอ๋อเห็นหลิงหยุนนอนซบเนินอกตนเองเช่นนั้นก็ได้แต่เขินอาย แต่ก็ทำการปลดปล่อยพลังชีวิตออกจากร่างตามคำสั่งอย่างว่าง่าย..
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แข็งแกร่งของสุนัขจิ้งจอกแต่ร่างกายของเขากลับไม่สามารถดูดซับพลังชีวิตเหล่านั้นเข้าไปได้เหมือนเคย..
‘แย่แล้ว..อาการของข้าดูเหมือนจะหนักหนากว่าที่คิดไว้มาก!’
หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจและไม่คิดว่าการใช้วิชาพลังมังกรจะส่งผลรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาจึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะดูดซับพลังชีวิตไปชั่วคราว..
‘เข้าสู่ขั้นปฐมชี่ได้แต่กลับไม่มีพลังปราณเหลืออยู่เลย จิตหยั่งรู้ก็ไม่สามารถใช้ได้ เช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน นี่ไม่เท่ากับข้าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์งั้นรึ?’
“พี่หยุน..มีอะไรรึ”
ไป๋เซียนเอ๋อสัมผัสได้ถึงท่าทางที่ผิดปกติของหลิงหยุนจึงได้แต่ร้องถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามต่อว่า“เซียนเอ๋อ.. สมุนไพรของข้าทั้งสามต้นเล่า”
แทนที่จะเป็นห่วงบ้านหลิงหยุนกลับเป็นห่วงสมุนไพรทั้งสามต้น ไป๋เซียนเอ๋อยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมตอบกลับไปว่า
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องถามถึงเรื่องนี้!ทุกต้นยังปลอดภัยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญ้าหยินกับหญ้าหยาง ดูเหมือนจะโตขึ้นมากแล้วด้วย!”
เมื่อได้ยินว่าสมุนไพรทั้งสามต้นปลอดภัยดีหลิงหยุนก็ได้แต่โล่งใจ ในเมื่อเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้แล้ว หลิงหยุนก็จะสามารถกลั่นโอสถเองได้ และสามารถสร้างของวิเศษพื้นๆได้ เขาตั้งใจว่ารอให้สมุนไพรทั้งสามต้นโตเต็มวัยเสียก่อน เขาจะได้จัดการนำไปกลั่นเป็นโอสถหยิน-หยาง และโอสถน้ำลายมังกร เพื่อใช้ในการฝึกของตนเองต่อไป..
ไป๋เซียนเอ๋อถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น“พี่หลิงหยุน.. ขั้นพลังชี่คืออะไรงั้นรึ”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปว่า“ขั้นพลังชี่เป็นขั้นของผู้ที่ฝึกบ่มเพาะตนอย่างแท้จริง ในขั้นนี้จะแยกเป็นสองส่วนคือ.. ดูดซับปราณภายในร่างกาย และกลั่นปราณบ่มเพาะจิตวิญาณ”
“ในด่านแรกของขั้นพลังชี่นั้น..จะเน้นในเรื่องของการดูดซับปราณภายในร่างกาย และพลังชีวิตในโลกเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้บ่มเพาะ และสร้างพลังให้กับจิตหยั่งรู้ ในขั้นนี้ผู้บ่มเพาะตนจะสามารถกลั่นโอสถ และสร้างของวิเศษแบบพื้นๆได้บ้าง..”
“เมื่อเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่..ในกายของผู้บ่มเพาะจะเสมือนมีกระบี่อยู่ในกาย เพียงแค่คิดก็สามารถเปลี่ยนขนาดของกระบี่ได้ตามต้องการ และสามารถใช้กระบี่เหินเหาะเหินไปได้ไกลหลายพันลี้..”
“สำหรับด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่นั้น..ผู้บ่มเพาะจะมีพลังแข็งแกร่งอย่างที่สุด ไม่เพียงแค่เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ยังสามารถเสกไฟ เสกอสุนีบาต แล้วก็ของวิเศษได้อีกมากมายหลายอย่าง..”
ไป๋เซียนเอ๋อได้ฟังถึงกับร้องอุทานออกมา“โอ้โห.. เช่นนี้แล้วต่อไปพี่หลิงหยุนคงต้องแข็งแกร่งมากยิ่งนัก!”
“นั่นยังกระจอกนัก..”
หลิงหยุนหลับตาพร้อมกับยิ้มออกมาพร้อมกับพูดต่อว่า“หากสามารถเข้าสู่ขั้นจินตัน และขั้นปฐมจิตได้ คนผู้นั้นจะมีอายุถึงพันปี สามารถทลายขุนเขาแยกแม่น้ำได้ด้วยสองมือเปล่า และเพียงแค่ชั่วพริบตาก็สามารถเดินทางได้ไกลถึงพันลี้ ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไป.. พวกเขาจึงไม่ต่างจากเซียน!.ไอลีนโนเวล.
ไป๋เซียนเอ๋อร้องถามอย่างร้อนอกร้อนใจ“พี่หลิงหยุน.. เซียนเอ๋อจะเป็นเซียนได้หรือไม่”
หลิงหยุนลืมตาขึ้นพร้อมกับตอบยิ้มๆ“ย่อมได้อยู่แล้ว.. รอให้เจ้างอกหางที่หกเสียก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะสามารถฝึกบ่มเพาะจิตวิญญาณได้..”
“และเมื่อใดที่เจ้าสามารถกำจัดหางที่หกได้..เมื่อนั้นเจ้าจะไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ปีศาจ แต่จะกลายเป็นเซียน!”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในว่าเขาล้มเหลวเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะ แต่ในโลกใบนี้.. เขาจะสามารถบ่มเพาะตนขึ้นเป็นเซียนได้สำเร็จหรือไม่
“พี่หลิงหยุน..ท่านต้องฝึกตนอีกนานเท่าใดจึงจะได้เป็นเซียน”
หลิงหยุนเริ่มรู้สึกง่วงและหนังตาของเขาก็เริ่มตก แต่ก็ตอบไปว่า “อีกเนิ่นนานเลยทีเดียว.. ขึ้นอยู่กับโชคชะตา!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงเผลอหลับไปบนเนินอกของไป๋เซียนเอ๋อ..
หลิงหยุนหลับนานถึงสามชั่วโมงและตื่นมาอีกทีในตอนตีห้าของเช้าวันถัดไป..
หลิงหยุนยังคงนอนนิ่งไม่ขยับกายเขาปิดเปลือกตาลง และลองเดินวิชาพลังลับหยิน-หยางอีกครั้ง แต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆในจุดตันเถียน อีกทั้งยังสัมผัสไม่ได้ถึงการไหลเวียนของพลังปราณเลยแม้แต่น้อย จิตหยั่งรู้และเนตรหยิน-หยางก็ยังคงใช้งานไม่ได้..
หลิงหยุนทั้งผิดหวังโกรธ เศร้า และทุกข์ระทม แต่สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับหลิงหยุนมากกว่านั้นก็คือ.. แม้เขาจะนอนแนบเรือนร่างที่งดงามเย้ายวนของไป๋เซียนเอ๋อ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาทางร่างกายในแบบที่บุรุษพึงมีต่อสตรีเลยแม้แต่น้อย!
‘แย่แล้ว..เกิดอะไรขึ้นกับหยางในกายข้ากันแน่! หรือที่ข้าเพียรฝึกฝนมาทั้งหมดนั้น กำลังจะเปลี่ยนข้าให้เป็นเช่นนี้!’
หลิงหยุนรู้สึกท้อแท้ผิดหวังขึ้นมาทันที!แต่หลังจากกร่นด่าอยู่ในใจครู่หนึ่ง เขาก็ต้องทำใจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้..
‘ข้าคงใช้พลังในร่างกายเกินกว่าที่จะรับไหวจริงๆทั้งจุดตันเถียนและเส้นลมปราณจึงพากันประท้วงข้าเช่นนี้!’
หลิงหยุนรู้ดีว่า..จุดตันเถียนรูปไท่จี๋ของตนนั้นได้หมุนกลับแล้ว และการหมุนกลับนั้นย่อมหมายความว่าวิชาพลังลับหยิน-หยางสามารถทำงานได้เอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจุดตันเถียนของเขาจะหยุดหมุนไปแล้ว..
แต่เมื่อใดก็ตามที่จุดตันเถียนของเขากลับมาหมุนอีกครั้งหยินและหยางในร่างกายของเขาก็จะถูกสร้างขึ้นเอง ตราบใดที่หยิน-หยางจะกลับมาหมุนเวียนภายในเส้นลมปราณต่างๆอีกครั้ง เมื่อนั้นจิตหยั่งรู้ และเนตรหยิน-หยางของเขาก็จะถูกฟื้นฟู และสามารถใช้ได้ดังเดิม..
หลิงหยุนยังไม่เข้าใจว่า..ปัญหาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่จุดตันเถียนของตนเอง หรือว่าวิชาพลังลับหยินหยางกันแน่
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ..เขาจะทำให้จุดตันเถียนของตนเองกลับมาหมุนอีกครั้งได้อย่างไร
ที่ผ่านมา..ด้วยร่างกายที่อัศจรรย์ของหลิงหยุน เพียงแค่ดูดซับพลังชีวิตเข้าไป จุดตันเถียนของเขาก็หมุนได้เอง แต่เวลานี้แม้แต่ร่างกายที่อัศจรรย์ของเขากลับไม่สามารถดูซับเอาพลังชีวิตเข้าไปในร่างกายได้..
หลิงหยุนรู้ดีว่าที่ผ่านมานั้นร่างกายของตนเองวิเศษล้ำเลิศเพียงใดไม่เพียงแค่ผิวหนังที่ดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปได้ แม้แต่กระดูก โลหิต อวัยวะภายใน และแม้แต่จุดฝังเข็มต่างๆภายในร่างกายก็สามารถดูดซับพลังชีวิตได้..
แต่หลังจากที่เขาใช้วิชาพลังมังกรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ในคืนนั้นไม่เพียงพลังปราณในจุดตันเถียนของเขาถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แม้แต่พลังชีวิตที่ถูกเก็บไว้ตามจุดฝังเข็มทั่วร่างกาย ก็เหือดแห้งไปด้วย!
หากเปรียบพลังปราณในตันเถียนเป็นท้องทะเลในเส้นลมปราณเป็นแม่น้ำ ในจุดฝังเข็มก็คือทะเลสาบ เมื่อเส้นลมปราณเยิ่นและเส้นลมปราณตูเปิดออก สายน้ำจากทุกหนแห่งจึงไหลมารวมกัน และหมุนเวียนได้อย่างสมบูรณ์..
แต่เวลานี้..ในร่างกายของหลิงหยุน ไม่ว่าจะเป็นท้องทะเล แม่น้ำ หรือว่าทะเลสาบ ล้วนแล้วแต่เหือดแห้ง ไม่มีพลังปราณเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย!
นี่คือผลพวงของการใช้วิชาพลังมังกรที่เพิ่มศักยภาพให้หลิงหยุนถึงสิบเท่าในครึ่งชั่วโมงแต่หลิงหยุนต้องจ่ายคืนในราคาที่เจ็บปวดที่สุด!
“พี่หลิงหยุน..ท่านตื่นแล้วรึ” ไป๋เซียนเอ๋อถามงัวเงีย
“ข้านอนมามากพอแล้ว..แต่เจ้าสิไม่ได้พักผ่อนมาหลาย เจ้านอนต่อเถอะนะ! ไม่ต้องห่วงข้า..”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนและพบว่าร่างกายของเขายังคงอ่อนแอมาก จึงยืนปรับร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากรู้สึกร่างกายมั่นคงแล้วจึงค่อยๆ โน้มตัววางศิลากลั่นวิญญาณลงบนเตียง แล้วจึงเดินออกลงไปข้างล่างอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นที่ยังหลับอยู่
หลิงหยุนเดินตรงไปที่สวนด้านหน้าและพบว่ามีคนผู้หนึ่งที่ตื่นเช้ากว่าตนเอง เขาก็คือหวังเฟยฮู๋..
หวังเฟยฮู๋กำลังฝึกเพลงหมัดอยู่ใต้ต้นไม้แต่เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นที่ด้านหลัง จึงรีบหันกลับไปมอง และเมื่อพบว่าเป็นหลิงหยุน เขาจึงร้องออกมาอย่างตกใจ
“หลิง..หลิงหยุน.. ท่าน.. เหตุใดจึงฟื้นตัวเร็วเช่นนี้”
หวังเฟยฮู๋ประหลาดใจหลิงหยุนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพลังที่รุนแรงของสายฟ้าเทวะสีทองจนนอนหลับใหลไปนานถึงเก้าวัน แต่เมื่อรู้สึกตัว และหลับไปเพียงแค่คืนเดียว เขากลับสามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้แล้ว..
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า “เร็วอะไรกัน.. ข้าเพิ่งจะลุกขึ้นมาเดินได้เท่านั้น!”
หวังเฟยฮู๋รีบเดินเข้าไปประคองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง“คุณชายหลิง.. ท่านค่อยๆเดิน..”
หวังเฟยฮู๋ประคองหลิงหยุนไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ไผ่ข้างสระว่ายน้ำแต่หลิงหยุนกลับปฏิเสธ “ไม่.. ข้ายืนดีกว่า!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเท้าเอวพร้อมกับบิดร่างกายไปมาก่อนจะหันไปพูดกับหวังเฟยฮู๋ “หวังเฟยฮู๋.. ตั้งแต่คืนนั้นมา ข้ายังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าเลย..”
หวังเฟยฮู๋ได้ยินเช่นนั้นจึงชิงพูดขึ้นว่า“คุณชายหลิง.. คืนนั้นหากไม่ได้ท่านกลับมาช่วย ข้าเองก็คง..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูดต่อและพูดขึ้นว่า “ข้าขอแสดงความเสียใจกับเจ้าด้วย.. เพื่อปกป้องบ้านหลังนี้ พี่น้องของเจ้าสองคนถึงกับต้องเสียสละชีวิตตนเอง ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากเจ้าต้องการสิ่งใด ได้โปรดบอกข้ามา!”
หลิงหยุนรู้สึกเสียใจอย่างมากที่กลับมาช่วยชีวิตของทั้งสองคนไว้ไม่ทัน จนกระทั่งถึงตอนนี้หลิงหยุนยังไม่รู้ชื่อของพวกเขาทั้งสองคนเลยด้วยซ้ำไป..
ดวงตาของหวังเฟยฮู๋แดงก่ำพร้อมกับพูดขึ้นว่า“คุณชายหลิง.. ท่านไม่ต้องกังวลใจไป ในเมื่อพวกข้าตัดสินใจติดตามท่านแล้ว ก็ไม่ห่วงชีวิตของตนเองอีก..”
หลิงหยุนนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการทำศพพี่น้องของเจ้าทั้งสองคน และมอบเงินให้ครอบครัวพวกเขาคนละห้าสิบล้าน ส่วนเจ้า.. ข้าจะมอบให้หนึ่งร้อยล้านเพื่อตอบแทนน้ำใจ!”
พิธีศพของพวกเขาเจ้าจัดการได้เลยหลังจากนั้นข้าจะให้ถังเมิ่งโอนเงินเข้าบัญชีของเจ้า..
หวังเฟยฮู๋ถึงกับตกใจและพูดขึ้นว่า “คุณชายหลิง.. คือข้า.. ข้า..”
หลิงหยุนโบกมือห้ามพร้อมกับพูดต่อว่า“เอาล่ะ.. ข้าจะให้คนมาคลายจุดที่เหลือให้กับเจ้าโดยเร็วที่สุด!”
“ส่วนอาการบาดเจ็บภายในของเจ้าข้าจะเป็นผู้รักษาให้เอง หลังจากนั้น.. เจ้าก็ไปจากที่นี่ได้!”
หวังเฟยฮู๋ได้ฟังถึงกับทรุดลงกับพื้นเขาคุกเข่าต่อหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามออกไปว่า
“คุณชายหลิง..ข้า – หวังเฟยฮู๋ทำอะไรผิดต่อท่านงั้นรึ เหตุใดท่านจึง..”
หลิงหยุนโน้มตัวลงและประคองร่างของหวังเฟยฮู๋ให้ลุกขึ้นพร้อมกับอธิบายว่า “ไม่เลย.. เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดต่อข้าแม้แต่น้อย! หนำซ้ำเจ้ายังทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดมากด้วย!”
หวังเฟยฮู๋ยังไม่ยอมลุกขึ้น“แล้วเหตุใดคุณชายหลิงต้องขับไล่ข้าเช่นนี้ด้วยเล่า”
หลิงหยุนถอนหายใจก่อนจะอธิบายว่า “ข้าไม่ได้ขับไล่ไสส่งเจ้า แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเอาชีวิตมาเสี่ยงกับข้า!”
“คืนนั้นเจ้าก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว..ทั้งยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 พรรคมาร แวมไพร์ แม้แต่ปีศาจภัยแล้ง.. ศัตรูของข้าล้วนแข็งแกร่งยิ่งนัก หากเจ้ายังติดตามข้าเช่นนี้ อันตรายย่อมจะเกิดขึ้นกับเจ้าได้ตลอดเวลา!”
หวังเฟยฮู๋ยังคงอ้อนวอน..“คุณชายหลิง.. หากท่านต้องการที่จะขับไล่ข้าไปจริง ข้าจะยอมสละชีวิตตัวเองต่อหน้าท่าน..”
หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับถามขึ้นว่า“เจ้าไม่นึกเสียใจทีหลังแน่รึ”
หวังเฟยฮู๋รีบตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ“ข้า – หวังเฟยฮู๋ต้องการติดตามคุณชายหลิง และไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ไม่นึกเสียใจ!”
หลิงหยุนยิ้ม“ถ้าเช่นนั้น.. ท่านหวัง.. ท่านตามข้ามา!”
หลิงหยุนเปลี่ยนมาเรียกหวังเฟยฮู๋ว่า‘ท่านหวัง’ ทันที..
หวังเฟยฮู๋ยิ้มอย่างมีความสุขและลุกขึ้นยืนทันที “ไปใหนงั้นรึ”
“ไปเดินเล่นกับข้า..”หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างพอใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร