ทุกคนต่างก็เดินออกไปที่สวนหน้าบ้านตี้เสี่ยวอู๋ เกาเฉินเฉิน และเสี่ยวเม่ยหนิง ทั้งสามเดินตรงไปที่ลานจอดรถ ส่วนถังเมิ่งก็วุ่นวายอยู่กับการคุยโทรศัพท์
หลิงหยุนเดินเข้าไปหาหวังเฟยฮู๋พร้อมกับถามยิ้มๆ“ท่านหวัง.. จะไปใหน ไม่ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันรึ?”
หวังเฟยฮู๋ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับรีบปฏิเสธทันที“ไม่ดีกว่า.. ข้าขออยู่กินข้าวที่บ้านจะดีกว่า”
หวังเฟยฮู๋นั้นตระหนักถึงฐานะของตนเองดีหากเทียบกับถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งเปรียบเสมือนน้องชายของหลิงหยุนแล้ว มีหรือที่เขาจะกล้าตีเสมอ และออกไปกินข้าวกับหลิงหยุนเสมือนหนึ่งคนในครอบครัว..
ยิ่งไปกว่านั้นหวังเฟยฮู๋เคยถูกหลิงหยุนจัดการจนหมดท่าที่โรงแรมไคเฉวียนมาก่อน เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมาก และได้สาบานว่าจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีก..
หวังเฟยฮู๋ไม่อยากไปหลิงหยุนจึงไม่คะยั้นคะยอ..
ถังเมิ่งวางสายและร้องบอกหลิงหยุนทันที “พี่หยุน.. ฉันจัดการโทรไปบอกทางโรงแรมแล้ว ส่วนเรื่องถอนกำลังตำรวจออกจากบ้านนั้น เดี๋ยวพ่อจะจัดการให้..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาเดินขึ้นไปนั่งบนรถที่ตี้เสี่ยวอู๋ขับพร้อมกับโบกมือเรียกหนิงหลิงยู่ให้เข้าไปนั่งด้วยกัน หนิงหลิงยู่วิ่งตามไปด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข..
ฉินตงเฉี่วยมองตามหลังหนิงหลิงยู่ไปพร้อมกับแอบถอนหายใจนางยิ้มออกมาได้เพียงแค่ครู่เดียว ใบหน้างดงามนั้นก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยขึ้นมาแทน เมื่อคิดว่าสัญญาระหว่างตระกูลหนิงกับตระกูลฉินใกล้จะมาถึงแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้น..
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฉินตงเฉี่วยก็ได้แต่กัดริมฝีปากนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างเกาเฉินเฉิน..
“ขอบคุณทุกคนมาก..หลายวันมานี้คงจะเหนื่อยกันมากสินะ!”
หลิงหยุนสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ขับช้าๆและเปิดกระจกลงพร้อมกับเอ่ยขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาทำหน้าที่เฝ้าบ้านเลขที่-1 อยู่นานนับสิบวัน..
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าบ้านเลขที่-1นั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่เคยบุกไปที่คฤหาสน์ของเฉิงเทียนในคืนวันเทศกาลเชงเม้ง แม้ความทรงจำบางส่วนของพวกเขาจะถูกหลิงหยุนลบไปแล้ว แต่ทุกคนต่างก็จำได้ดีว่าหลิงหยุนเป็นใคร…
และตำรวจชุดนี้ก็เป็นชุดที่จัดการกับศพนับร้อยภายในบ้านหลังจากเกิดเหตุเมื่อเห็นว่าหลิงหยุนเอ่ยปากขอบคุณด้วยตนเองเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายอาชญากรรมสองสามคนจึงเป็นฝ่ายพูดจากระเซ้าเย้าแหย่หลิงหยุน..
ถังเมิ่งซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนี้จึงโผล่หัวออกมานอกรถพร้อมกับร้องตะโกนขึ้นว่า
“ลุงหลี่..ลุงหลิว.. กล้าพูดเล่นระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ระวังจะถูกพ่อสั่งให้เขียนรายงานล่ะ!”
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะออกมาและรถทั้งสามคันก็ค่อยๆ เคลื่อนออกไป..
“หลิงยู่..คงเหนื่อยมากสินะ เธอกลัวมากมั๊ย”
หลิงหยุนรู้ว่าเมื่อคืนก่อนนี้หนิงหลิงยู่เป็นผู้ถือโคมไฟเดินฝ่าความมืดเป็นระยะทางกว่าสิบกิโลเมตรมาเพียงลำพังเขารู้ดีว่าในใจของหนิงหลิงยู่คงจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก แต่นางก็สามารถยืนหยัดทำจนสำเร็จ ทำให้หลิงหยุนรู้สึกซาบซึ้งใจมาก..
“พี่ใหญ่..ขอเพียงแค่ให้พี่ฟื้นขึ้นมา อะไรฉันก็ทำได้ทั้งนั้น!”
ใบหน้างดงามของหนิงหลิงยู่ยังคงซีดเซียวอยู่เล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าด้ายแดงสกัดกั้นหยางในตัวนั้น ได้ทำให้ร่างกายของหนิงหลิงยู่อ่อนแอลงไม่น้อย และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นคืนสู่สภาพปกติดีนัก
หนิงหลิงยู่เลือกที่จะไม่เล่าถึงสิ่งที่เธอพบเห็นและได้ยินในคืนนั้นให้หลิงหยุนฟัง แต่ความน่าสะพรึงกลัวในครั้งนั้น ก็ทำให้เธอถึงกับสาบานไว้ว่าจะไม่ขอพบเจออีกเป็นครั้งที่สองในชีวิต.. แต่ในเมื่อมันทำให้หลิงหยุนฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ก็นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก!
หลิงหยุนยกมือขึ้นโอบไหล่หนิงหลิงยู่ไว้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพึมพำออกมา
“ตั้งแต่เช้ามายังไม่เห็นหน้าโม่วู๋เตาเลยดูท่าเมื่อคืนคงจะหนักพอควร..”
หนิงหลิงยู่ซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นเช่นกัน “เมื่อคืนก่อนโม่วู๋เตาสวดมนต์ แล้วก็พูดคุยกับภูติผีมาตลอดทาง และเมื่อมาถึงบ้านเขาก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่ด้วย..”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่าความจริงแล้วหนิงหลิงยู่ใช้คำพูดให้ดูดี ต้องพูดว่าโม่วู๋เตาขับไล่ภูติผีมาตลอดทางจึงจะถูก!
ถังเมิ่งเองก็พูดขึ้นมาว่า“พี่หยุน.. ตอนที่พี่นอนหลับใหลไม่รู้ตัว โม่วู๋เตายังทำนายดวงชะตาให้ฉันด้วย เขาบอกว่าต่อไปฉันจะเป็นคนร่ำรวยและมีอำนาจ..”
“หึ..ไม่ใช่นายให้เงินโม่วู๋เตา จ้างให้เขาพูดแบบนั้นหรอกเหรอ”
ทุกคนในรถฟังแล้วต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดังบรรยากาศจึงภายในรถเปี่ยมไปด้วยความสุข และสนุกสนาน
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปถามหนิงหลิงยู่“หลิงยู่.. ตอนนี้เธออยู่ขั้นใหนแล้ว”
หนิงหลิงยู่ร้องตอบด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข“พี่ใหญ่.. เมื่อคืนฉันเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้แล้ว และดูเหมือนจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ตลอดเวลา..”
“โอ้โห!น้องสาวของพี่เก่งมากจริงๆ” หลิงหยุนเอ่ยชม และพูดต่อว่า
“แต่การจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนนั้นต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง ไว้ถึงตอนนั้นพี่จะคอยคุ้มครองให้เธอเอง..”
หนิงหลิงยู่ยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า“พี่ใหญ่คะ.. พี่คงยังไม่รู้อะไร พี่เหยาลู่ยิ่งน่าอัศจรรย์กว่ามาก ตอนนี้เธอสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 ได้แล้ว! น่าอิจฉามากเลย!”
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปและได้แต่คิดว่า‘คิดไม่ถึงว่าปราณอมตะ-เสวียนหวงจะมีผลกับผู้ฝึกวิชาใต้พิภพถึงเพียงนี้’
ความจริงแล้ว..เมื่อเช้าที่หลิงหยุนได้พับกับเหยาลู่ในห้องครัวนั้น เขาก็พอจะสัมผัสได้ว่าเหยาลู่นั้นมีภาพการหลอมรวมระหว่างสวรรค์กับมนุษย์บ้างแล้ว จึงรู้ว่าเหยาลู่น่าจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้เแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ในขั้นใดเท่านั้น เพราะจิตหยั่งรู้ของเขาก็ยังใช้การไม่ได้ เมื่อได้ฟังจากปากของหนิงหลิงยู่เช่นนี้ จึงค่อนข้างตกใจอย่างมาก..
แต่เมื่อนึกถึงว่าร่างกายของเหยาลู่นั้นมีคุณสมบัติของผืนดินที่บริสุทธิ์อีกทั้งยังเป็นคนวิริยะอุตสาหะ การที่ได้รับพลังอมตะ-เสวียนเข้าไปจนสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-3 ได้เช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก..
“เป็นข่าวดีมากจริงๆ..”
หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างมีความสุขและได้แต่คิดว่าการปล่อยปราณอมตะ-เสวียนหวงออกจากกล่องหยกในครั้งนี้ นับว่าไม่เสียเปล่าจริงๆ!
ในช่วงเวลาที่หลิงหยุนยังไม่สามารถฝึกฝนได้เขาก็จะใช้ช่วงเวลานี้ชี้แนะทุกคนให้สามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งเวลานี้ก็มีโอสถมากมายที่รวบรวมมาได้จากศัตรู สิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์กับฉินตงเฉี่วย หนิงหลิงยู่ และตี้เสี่ยวอู๋เป็นอย่างมาก..
และในที่สุดรถทั้งสี่คันก็มาจอดอยู่หน้าโรงแรมไคเฉวียน..
หลิงหยุนสำรวจไปรอบๆที่จอดรถและพบว่ามีรถหรูจอดอยู่ภายในโรงแรมเนืองแน่น และมีแขกเหรื่อออกันอยู่เต็มหน้าประตูโรงแรมไปหมด..
ถังเมิ่งได้แต่ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหูพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พี่หยุน.. ตั้งแต่เราซื้อโรงแรมไคเฉวียนมา แขกก็เต็มแบบนี้ทุกวันเลย!”
แขกกว่าสามร้อยคนที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองในคืนวันที่หลิงหยุนจัดการกับหลี่จิ่วเจียงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีหน้ามีตาในจิงฉูทั้งสิ้น ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็มักจะมาใช้บริการที่โรงแรมไคเฉวียนแห่งนี้อยู่เสมอๆ
“พี่หยุน..ตั้งคืนวันที่พี่จัดการกับหลี่จิ่วเจียง และหลังจากคลิปมายากลของพี่เผยแพร่ออกไป ครึ่งเดือนมานี้โรงแรมไคเฉวียนก็ทำรายได้ไปเกือบจะยี่สิบล้านแล้ว..”
ถังเมิ่งรีบโอ้อวดผลงานทันทีและหลิงหยุนเองก็ถึงกับตกใจกับตัวเลขที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว! หากเป็นเช่นนี้.. ภายในปีนี้เขาคงได้เงินที่ซื้อโรงแรมนี้กลับคืนเป็นแน่..
จากนั้นถังเมิ่งก็หยิบกล่องแว่นกันแดดออกมาส่งให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่หยุน..ถ้าไม่อยากถูกคนรุมล้อมก็ใส่แว่นกันแดดนี่ซะ!”.ไอลีนโนเวล.
หลิงหยุนรับมาสวมทันทีและเดินลงจากรถไปพร้อมกับหนิงหลิงยู่ ระหว่างที่ลงจากรถนั้น หลิงหยุนก็สังเกตเห็นชายหัวล้านลงพุง อายุราวห้าสิบปี กำลังเดินนำกลุ่มคนจำนวนมากเข้าไปในโรงแรมพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หัวหน้าหวัง..ตอนนี้โรงแรมไคเฉวียนเป็นโรงแรมที่มีชื่อที่สุดในจิงฉู! เป็นโรงแรมหรูหราระดับห้าดาว ผมกับทุกคนในทีมต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์เชียวนะกว่าจะจองได้! ไม่ใช่ง่ายๆเลย..”
“พวกคุณรู้มั๊ยว่าใครเป็นเจ้าของโรงแรมไคเฉวียน”
จากนั้นชายหัวล้านลงพุงก็พูดต่อว่า“เจ้าของโรงแรมนี้ก็คือหลิงหยุนไง! มีใครบ้างไม่รู้จักหลิงหยุน.. เขามีฉายาว่าหมออมตะ ทักษะทางการแพทย์นี่แทบไม่ต้องพูดถึง..”
จากนั้นชายหัวล้านลงพุงก็เปลี่ยนมาพูดด้วยเสียงเบาราวกับกระซิบ“ผมจะบอกอะไรให้.. ต่อให้ป่วยใกล้ตายแค่ใหน ขอให้ยังมีชีพจรเต้นอยู่ หลิงหยุนก็สามารถรักษาให้หายได้ทุกราย!”
ทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงและแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน..
หลิงหยุนสวมแว่นกันแดดมือซ้ายกำศิลากลั่นวิญญาณ ส่วนมือขวาโอบเอวหนิงหลิงยู่พาเดินตรงเข้าไปในล็อบบี้โรงแรม พนักงานในโรงแรมต่างก็จดจำหลิงหยุนได้ และรีบเดินนำเข้าไปในห้องส่วนตัวทันที..
ภายในห้องส่วนตัว..พนักงานเสริฟสาวทั้งแปดล้วนอยู่ในชุดกี่เพ้าผ่าขึ้นมาจนถึงต้นขา ระหว่างที่เดินไปมาจึงเผยให้เห็นต้นขาขาวนวลเรียวงาม จนหลิงหยุนถึงกับตาโต และรีบถอดแว่นกันแดดออกทันที..
เสียงกระแอมของเกาเฉินเฉินดังขึ้นสองสามครั้งในขณะที่เสี่ยวเม่ยหนิงจ้องหลิงหยุนตาเขม็งพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่หลิงหยุน..ดูพอหรือยัง”
หลิงหยุนรีบเงยหน้าขึ้นมองเพดานทันทีพร้อมกับพึมพำออกมาว่า “ห้องนี้ตกแต่งสวยงามทีเดียว! เพดานทั้งขาว แล้วก็สวยมาก..”
หลิงหยุนได้แต่แอบเจ็บใจและคิดว่าเมื่อไหร่จิตหยั่งรู้ และเนตรหยิน-หยางของตนจะใช้การได้เสียที!
หลังจากที่ฝึกวิชาดาราคุ้มกายไปเมื่อเช้าและได้กลืนโอสถหยางของเขาหลงหู่เข้าไปสองเม็ด เวลานี้ร่างกายของหลิงหยุนก็แค่ไม่ต่างจากคนปกติที่มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถฝึกฝนวิชาพลังลับหยิน-หยางได้..
ระหว่างที่รับประทานอาหารนั้นทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และมีความสุข ไม่มีใครพูดเรื่องที่ฟังแล้วระคายหูเลยแม้แต่น้อย
หลังจากสองชั่วโมงผ่านไปทุกคนต่างก็อิ่มหนำสำราญ หลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“บ่ายนี้ขอให้ทุกคนเตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของย้ายไปอยู่ที่บ้านเลขที่-9เพราะบ้านเลขที่-1 มีคนตายมากมาย กลิ่นเลือดยังคละคลุ้งรุนแรง แล้วยังเสียหายไปมาก จำเป็นต้องซ่อมแซมเสียก่อน..”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยและฉินตงเฉี่วยก็พูดขึ้นว่า “ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องนำอะไรไปเลย ที่บ้านเลขที่-9 มีทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว!”
“หลิงยู่..บ่ายนี้เธอไปเดินเล่นกับพี่!”
หญิงสาวคนอื่นๆต่างก็นึกอิจฉาอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร มีเพียงฉินตงเฉี่วยที่ร้องห้ามออกมาทันที
“ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”
แน่นอนว่าฉินตงเฉี่วยย่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของคนทั้งคู่..
หลิงหยุนหันไปมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า“น้าหญิง.. ขนาดสายฟ้าเทวะยังคร่าชีวิตข้าไม่ได้ แล้วใครที่สามารถเอาชีวิตข้าได้อีก ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย จิงฉูกลับสู่ความสงบปลอดภัยดังเดิมแล้ว!”
ฉินตงเฉี่วยถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้นว่า“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องให้เซียนเอ๋อไปด้วย.. ข้าจึงจะมั่นใจ!”
ไป๋เซียนเอ๋อหันไปยิ้มอย่างน่ารักให้กับฉินตงเฉี่วยราวกับจะบอกว่า‘น้าหญิง.. ท่านช่างรู้ใจข้านัก!’
หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับจำใจรับปาก“ก็ได้..”
หลังจากที่แยกย้ายกันแล้วหลิงหยุน หนิงหลิงยู่ กับไป๋เซียนเอ๋อ ก็เดินไปขึ้นรถที่ตี้เสี่ยวอู๋ขับ
“เสี่ยวอู๋..ไปถนนหลินเจียง!”
“พี่ใหญ่คะ..ทำไมจู่ๆถึงอยากไปที่นั่น”
ดวงตาชวนฝันของหนิงหลิงยู่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน..
แต่หลิงหยุนกลับไม่ตอบอะไรหลังจากครุ่นคิดอะไรไปครู่ใหญ่ เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมกับโอบร่างบอบบางของหนิงหลิงยู่แน่นขึ้น และกระซิบเสียงเบา
“จู่ๆพี่ก็รู้สึกคิดถึงที่นั่น!”
หนิงหลิงยู่สัมผัสได้ถึงอ้อมกอดที่แน่นและกระชับขึ้นแต่ทันทีที่ได้ฟังคำตอบของหลิงหยุน ใบหน้าที่แดงก่ำนั้นก็กลับซีดเซียวอีกครั้ง
“พี่ใหญ่..ฉันเองก็คิดถึงแม่มากเหมือนกัน!”
หนิงหลิงยู่ซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของหลิงหยุนและตอบไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจากการร้องไห้..
“รอให้พี่จัดการธุระที่ปักกิ่งให้เรียบร้อยก่อนพี่จะพาเธอไปรับท่านแม่กลับบ้าน!”
น้ำเสียงของหลิงหยุนสงบเยือกเย็นดวงตาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นในขณะที่กระซิบบอกหนิงหลิงยู่
“หลิงยู่..นอนพักผ่อนเอาแรงเถอะนะ! ไว้ถึงที่นั่นแล้วพี่จะปลุกเธอเอง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร