หลิงหยุนยังคงเฝ้าสังเกตอาการของลู่เฉียวเฟิงอยู่อีกราวสองนาทีจนกระทั่งมั่นใจว่านางกลับเป็นคนปกติดังเดิมอย่างแน่นอนแล้ว เขาจึงร้องเรียกเกาเทียนหลงให้มานำตัวลู่เฉียวเฟิงออกไปจากห้องใต้ดินทันที..
มนุษย์ที่ถูกทำให้กลายเป็นแวมไพร์อยู่นานหลายเดือนนั้นแม้เวลานี้จะได้กลายร่างเป็นมนุษย์ และมีเลือดในกายมากพอแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันรวดเร็วเช่นนี้ ก็ส่งผลให้มนุษย์ผู้นั้นมีร่างกายไม่แตกต่างจากเด็กแรกเกิด และเพิ่งจะเติบโตได้เพียงปีเดียวเท่านั้น..
คนตระกูลเกาถูกเฉินเจี้ยนกุ่ยทำให้กลายเป็นแวมไพร์มานานกว่าสี่เดือนแล้วและตลอดเวลาที่ผ่านมาก็อาศัยอยู่แต่ในห้องใต้ดินมืดๆมาโดยตลอด สัญชาติญาณของแวมไพร์จึงค่อนข้างรุนแรง
อีกทั้งเวลานี้ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มตรงแล้วท้องฟ้าก็เริ่มมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ และในยามค่ำคืนเช่นนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหล่าแวมไพร์จะเกิดการกระหายเลือดอย่างรุนแรง หลิงหยุนจึงค่อนข้างเป็นห่วงกับสถานการณ์ภายในห้องใต้ดินเวลานี้มาก
และยิ่งหลิงหยุนรักษาคนตระกูลเกาให้กลับมาเป็นมนุษย์ได้มากเท่าไหร่ก็ย่อมหมายถึงค่ำคืนที่จะต้องดึกสงัดมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น หากแวมไพร์ที่ยังไม่ได้รับการรักษาเกิดกระหายเลือดขึ้นมา ก็คงจะจับคนตระกูลเกาด้วยกันดูดเลือดอย่างแน่นอน..
และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงที่หลิงหยุนพยายามมาทั้งหมดก็คงเปล่าประโยชน์!
แม้หลิงหยุนจะแข็งแกร่งมากแต่เขาก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการรักษา หากปล่อยให้แวมไพร์ตระกูลเกาสร้างความวุ่นวายจนเขาต้องหยุดรักษากลางคันแล้วล่ะก็ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะส่งผลเช่นใดต่อคนผู้นั้น
หากปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นจริงๆไม่เพียงหลิงหยุนจะไม่สามารถช่วยตระกูลเกาได้ แต่จะกลับกลายเป็นว่าเขาได้ทำร้ายตระกูลเกามากขึ้นไปอีก! หากเป็นเช่นนั้นจริงไม่เพียงตระกูลเกาจะต้องแตกสลาย แต่อาจกลายเป็นว่าพ่อลูกจะต้องมาสู้กันเองเพราะกลุ่มหนึ่งเป็นแวมไพร์ และกลุ่มหนึ่งเป็นคนอย่างนั้นหรือ
หลิงหยุนเองคาดเดาไม่ถูกว่าแวมไพร์นั้นจะมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ปกติหรือไม่
อีกทั้งเลือดของมนุษย์นั้นยังเปรียบเสมือนยาเสพติดสำหรับเหล่าแวมไพร์!หลิงหยุนจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงให้คนที่รักษาหายแล้วอยู่ในห้องใต้ดินนี้ต่อไป และรีบสั่งให้เกาเทียนหลงนำตัวออกไปด้านนอกทันที!
หลิงหยุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่และแล้วก็ลุกพรวดขึ้นยืนพร้อมกับฉุดมือเกาเฉินเฉินออกจากห้อง และร้องบอกทุกคนที่อยู่ในห้องใต้ดินว่า
“ทุกท่านได้โปรดสงบใจรอข้าอยู่ที่นี่ก่อนข้ากับเฉินเฉินจะออกไปด้านนอกประเดี๋ยว แล้วจะรีบกลับเข้ามาอีกครั้ง..”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็พาเกาเฉินเฉินกระโดดออกจากห้องใต้ดินทันที เมื่อออกมาจากค่ายกลแล้ว หลิงหยุนจึงร้องสั่งมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดผ่านกระแสจิต
-เอ็ดเวิร์ด..นำตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยมาให้ข้า! ส่วนเจ้ารีบลงไปเฝ้าห้องใต้ดินไว้ก่อน อย่าให้มีผู้ใดหนีออกมาได้แม้แต่คนเดียว– ไอลีนโนเวล
และที่หลิงหยุนต้องให้มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดไปเฝ้าห้องใต้ดินไว้นั้นเพราะเกรงว่าเกาจิ้นสงจะหลบหนีออกมานั่นอง..
“เฉินเฉิน..คืนนี้คุณไปดูแลท่านป้า และห้ามเข้าไปในห้องใต้ดินอีกโดยเด็ดขาด!”
แม้ว่าเกาเฉินเฉินจะไม่อยากออกมาจากห้องใต้ดินแต่ก็จำเป็นต้องดูแลแม่ที่เวลานี้กำลังอ่อนแออยู่มาก จึงได้แต่พยักหน้า..
“แต่..แล้วใครจะอยู่ช่วยนายล่ะ”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปทันที“ไม่ต้องห่วง ผมจะให้พี่ชายของคุณกับเอ็ดเวิร์ดคอยช่วย!”
เมื่อเกาเฉินเฉินเดินเข้าบ้านและขึ้นไปชั้นสองแล้ว หลิงหยุนก็พาตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยไปฝากไว้กับฉินตงเฉี่วย..
“น้าหญิง..ข้าขอมอบคนผู้นี้ให้ท่านดูแล!”
ฉินตงเฉี่วยยิ้มและตอบกลับไปทันที“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลให้อย่างดี!”
เมื่อจัดการสะสางสิ่งที่เป็นกังวลเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนจึงกระโดดกลับไปยังห้องใต้ดินพร้อมกับเกาเทียนหลง..
แน่นอนว่าเมื่อมีมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดอยู่ในห้องใต้ดินด้วยแล้วแวมไพร์ตระกูลเกาที่มีฐานะต่ำกว่านั้น ก็ได้แต่นิ่งเงียบด้วยความหวาดกลัว..
“เอ็ดเวิร์ด..ระหว่างที่ข้าทำการรักษา เจ้าคอยคุ้มครองให้ข้าด้วย และคอยดูว่าคนอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงเช่นใด ที่สำคัญอย่าปล่อยให้พวกเขาอาละวาดได้!”
“ขอรับเจ้านายที่เคารพ..ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน!”
เอ็ดเวิร์ดที่ได้อยู่ใกล้กับเจสเตอร์เพียงไม่กี่วันก็ติดนิสัยเรียกหลิงหยุนเช่นเดียวกับเจสเตอร์..
หลิงหยุนได้มอบยันต์บำบัดให้กับเกาเทียนหลงและบอกวิธีการใช้ให้กับเขา จากนั้นจึงย้ำกับเกาเทียนหลงว่า
“เทียนหลง..เจ้าตามเข้าไปช่วยข้าในห้อง! จำไว้ว่าผู้ใดที่ข้ารักษาเสร็จแล้ว เจ้าจะต้องรีบพาคนผู้นั้นออกไปจากห้องใต้ดินทันที!”
เกาเทียนหลงนั้นซาบซึ้งใจในความเป็นห่วงเป็นใยของหลิงหยุนที่มีต่อคนตระกูลเกายิ่งนักเขารู้ว่าเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องย้ำนักย้ำหนา..
จากนั้นหลิงหยุนกับเกาเทียนหลงก็เดินเข้าไปในห้องอีกครั้งหลิงหยุนนั่งลงขัดสามาธิ และเรียกลูกประคำโลหิตออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ท่านปู่เกา..เวลานี้ข้าได้รักษาท่านป้าลู่จนกลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง และใครจะเป็นรายต่อไป”
หลังจากรักษาลู่เฉียวเฟิงได้แล้วหลิงหยุนก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น และรู้ว่าทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี..
หลิงหยุนยังคงตั้งหน้าตั้งตารักษาสมาชิกตระกูลเกาคนแล้วคนเล่าส่วนเอ็ดเวิร์ดก็ทำหน้าที่คุ้มครองดูแลความปลอดภัยของหลิงหยุน ในขณะที่เกาเทียนหลงก็มีหน้าที่พาคนที่หายแล้วกลับออกไป..
หนึ่ง..สอง.. สาม..
ยิ่งทำการรักษามากเท่าไหร่หลิงหยุนก็ยิ่งคล่องแคล่วมากขึ้นเท่านั้น การรักษาจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว และในเวลาเที่ยงคืนหลิงหยุนก็สามารถรักษาสมาชิกตระกูลเกาไปได้แล้วถึงสี่คน เวลานี้ยังเหลืออีกหกรายที่อยู่ในห้องใต้ดิน..
และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน..ใบหน้าของเกาจิ้นสงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงมากขึ้นเรื่อยๆ อาการกระหายเลือดก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น แววตาของเขาบ่งบอกว่ากำลังกระหายเลือดอย่างรุนแรง!
แม้ว่าภายในห้องใต้ดินจะมีเลือดสัตว์อยู่ในถังอีกมากมายแต่เวลานี้มีมนุษย์อยู่ในห้องใต้ดินถึงสองคนซึ่งก็คือหลิงหยุนกับเกาเทียนหลง กลิ่นเลือดของมนุษย์จึงย่อมหอมหวลกว่าเลือดสัตว์หลายเท่านัก..
“หลิงหยุน..จะทำเช่นไรดี”
เมื่อเห็นอาการของเกาจิ้นสงและคนอื่นๆเกาเทียนหลงก็ถึงกับเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง และนี่คือเหตุผลที่เอ็ดเวิร์ดไม่ยอมให้เขาลงมาในห้องใต้ดินกลางค่ำกลางคืน.
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า“เจ้าจะให้ข้าทำเช่นใด ข้าคงไม่ให้พวกเขาดื่มเลือดข้าแน่ และไม่สามารถให้พวกเขาดื่มเลือดได้อีก!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องทันที จากนั้นเขาก็ร้องตะโกนเสียงดังใส่ ทำให้สมาชิกตระกูลเกาต่างพากันนิ่งไปทันที..
แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่ดุดันแต่ก็นับว่าได้ผลดียิ่งนัก..
“เอาล่ะ..เริ่มทำการรักษาต่อได้!”
หลังจากผ่านไปอีกเพียงแค่สี่ชั่วโมง..หลิงหยุนก็สามารถรักษาสมาชิกตระกูลเกาที่เหลืออีกหกคนได้สำเร็จ..
และคนสุดท้ายที่หลิงหยุนทำการรักษาให้ก็คือผู้นำตระกูลเกาคนก่อน– เกาจิ้นสง..
….
หลิงหยุนใช้เวลาทั้งคืนในการรักษาสมาชิกตระกูลเกาทั้งสิบคนและใช้ปราณเสวียนหวงไปถึงเก้าสิบส่วน..
แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่หลิงหยุนกลับความสุขอย่างมาก..
ครั้งนี้แตกต่างจากการรักษาผู้ป่วยที่ถูกส่งมากับรถพยาบาล..เพราะนี่คือการเปลี่ยนแวมไพร์ให้กลับกลายเป็นคนปกติ และหลังจากนี้คนตระกูลเกาจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตในเวลากลางวันเช่นเดิมได้
“เทียนหลง..นับจากวันนี้ไป คนตระกูลเกาก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตท่ามกลางแสงตะวันได้อีกครั้งแล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหันไปมองเกาเทียนหลงที่เอาแต่นั่งเงียบแต่ในที่สุดเขาก็พูดออกมา..
“หลิงหยุน..ข้าขอบคุณเจ้ามาก! หากวันหน้าเกิดเรื่องกับเจ้า ตระกูลเกายินดีที่จะบุกน้ำลุยไฟร่วมกับเจ้า!”
หลิงหยุนจ้องมองดวงตาแดงก่ำของเกาเทียนหลงที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ไม่เอาน่าท่านพี่เมีย..พวกเราล้วนแล้วแต่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน!”
เกาเทียนหลงได้แต่พยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก..
“เอาล่ะ..เจ้าพาท่านปู่เกาขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องชั้นสองก่อน ให้เขานอนพักผ่อนมากๆ แล้วพรุ่งนี้ก็จะดีขึ้นเอง!”
“ได้..”เกาเทียนหลงตอบรับ และรีบไปพยุงร่างของเกาจิ้นสงออกจากห้องใต้ดินไปทันที
หลิงหยุนยังคงไม่ลุกขึ้นเขานั่งเล่นประคำโลหิตในมือ และกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่..
“คิดไม่ถึงว่าประคำโลหิตจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้และดูเหมือนจะเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเฉินอีกด้วย!” หลังจากที่ใช้เวลาทั้งคืนอยู่กับประคำโลหิตหลิงหยุนก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน และรับรู้ถึงอานุภาพที่น่าอัศจรรย์ของมันด้วย..
ตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่งล้วนมีมรดกที่สืบทอดกันต่อๆมาตระกูลหลิงมีต้นหลิวเทวะสองต้น ตระกูลเฉินมีประคำโลหิต..
มรดกตระกูลหลงน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับมังกรแต่หลิงหยุนกลับคิดว่าน่าจะเป็นมังกรที่มีชีวิตจริงๆด้วยซ้ำไป!
แต่ตระกูลหลี่นั้นไม่น่าจะมี..ส่วนตระกูลเย่ ตระกูลเกา แล้วก็ตระกูลซันนั้น มีมรดกตกทอดเป็นสิ่งใดกัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้..ดวงตาของหลิงหยุนก็เป็นประกายขึ้นมาอย่างสนอกสนใจทันที จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกประคำโลหิตเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่ดังเดิม แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องสั่งมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ด
“เอ็ดเวิร์ด..ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างแล้ว เจ้าจัดการนำถังบรรจุเลือดเหล่านี้ไปทิ้งเสีย เพราะไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว..” “อ่อ..เก็บเลือดไว้หนึ่งถังให้เฉินเจี้ยนกุ่ยก็พอ!”
หลิงหยุนสั่งแล้วก็เดินออกจากห้องใต้ดินไปทันทีเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมีแสงอาทิตย์รำไรแล้ว ห้องใต้ดินเวลานี้สามารถเปิดให้แสงอาทิตย์เข้าได้ ไม่จำเป็นต้องปิดมืดเหมือนก่อนอีก
หลิงหยุนเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นเขาเห็นฉินตงเฉี่วยว เสี่ยวเม่ยเม่ย และโม่วู๋เตากำลังยืนรออยู่..
ฉินตงเฉี่วยยิ้มให้หลิงหยนพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้“เจ้าเด็กดื้อ.. เก่งมากทีเดียว! เจ้าเหนื่อยหรือไม่”
หลิงหยุนทิ้งตัวลงบนโซฟาพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าเหนื่อยล้ามาก..”
“ข้าจะนวดไหล่ให้กับเจ้า”
เสี่ยวเม่ยเม่ยรีบเดินไปยืนด้านหลังและเริ่มทำการนวดไหล่ให้กับหลิงหยุนทันที หลังจากมีเคลิบเคลิ้มผ่อนคลายกับการนวดของเสี่ยวเม่ยเม่ยแล้ว หลิงหยุนก็หยิบขวดที่บรรจุเลือดของเฉินเจี้ยนกุ่ยขึ้นมาวางที่โต๊ะ และเวลานี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาแล้ว
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปพูดกับเฉินเจี้ยนกุ่ยว่า“เจ้าคนแซ่เฉิน.. ข้าทำการรักษาคนตระกูลเกาที่เป็นบริวารของเจ้าจนหายเป็นปกติทั้งหมดแล้ว เจ้าคงจะรู้สึกเจ็บปวดมากสินะ!”
สีหน้าของเฉินเจี้ยนกุ่ยเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม..
“เอ็ดเวิร์ด..เจ้านำเฉินเจี้ยนกุ่ยไปขังไว้ที่ห้องใต้ดินก่อน เฝ้ามันไว้ อย่าให้มันตายได้!”
คนผู้นี้หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของระกูลเกาแล้วและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลิงหยุนอีก!
และในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถปฏิบัติภารกิจแรกในปักกิ่งได้สำเร็จ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร