หลังจากพูดคุยกับเฉินไห่เผิงไปพักใหญ่แล้วเฉินจิ้งเทียนจึงย้ำกับเฉินไห่เผิงว่า “ไห่เผิง.. ที่ข้ามาพบเจ้าวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกกับเจ้าว่า อย่าได้ท้อแท้ หรือรู้สึกพ่ายแพ้ไป แม้ตระกูลเฉินของเราจะสูญเสียไปมาก แต่อำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเฉินนั้น แข็งแกร่งเกินกว่าที่เจ้าคาดคิดมากนัก..”
“และต่อให้ตระกูลเฉินต้องเข้าสู่ห้วงวิกฤติจริงๆถึงเวลานั้นพ่อก็จะพูดความลับบางอย่างออกมา และถึงตอนนั้นตระกูลหลงกับตระกูลเย่ก็จะถูกดึงให้มาร่วมด้วย พวกเราก็แค่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์.. ฮ่า.. ฮ่า..”
เวลานี้ศัตรูของหลิงหยุนมีทั้งตระกูลเฉินชาวญี่ปุ่น แล้วก็ตระกูลซัน อีกทั้งหลิงหยุนยังรู้สึกได้ว่าตระกูลหลงกับตระกูลเย่นั้น ก็จะต้องกลายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมากของตนเองเช่นกัน
ในเมื่อปัญหาใหญ่โตมากขึ้นแผนการจึงต้องเปลี่ยนไป.. การตามหาตัวหลิงเสี่ยวจึงก็กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนและใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งหลิงหยุนยังต้องเร่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้!
“ท่านพ่อ..ข้ายังมีเรื่องจะรายงาน วันนี้ช่วงเย็นคนตระกูลเกาต่างก็พากันกลับเข้าบ้านกันหมดแล้ว! เกาจิ้นสงจงใจนำเกาซิงฉาง และเกาเทียนหลงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูก่อนเข้าบ้านด้วย ดูเหมือนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง..”
เฉินจิ้งเทียนนิ่งฟังคำบอกเล่าของเฉินไห่เผิงด้วยท่าทีสงบนิ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “นั่นเป็นการแสดงออกอย่างจงใจของเกาจิ้นสง แต่ต่อให้ตระกูลเกากับตระกูลหลิงร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเฉิน!”
“ดูเหมือนว่าเวลานี้แปดตระกูลใหญ่ต่างก็จับจ้องอยู่ที่หลิงหยุนไม่ว่าเด็กนั่นจะเป็นใครก็ตาม มันก็กำลังฉายแววเจิดจรัสอย่างมากในประเทศนี้..”
“และประเด็นสำคัญก็คือ..แม้แต่ตระกูลหลง และตระกูลเย่ ก็ยังไม่กล้านิ่งดูดายในเรื่องนี้..”
เฉินจิ้งเทียนเหลือบมองเฉินไห่เผิงพร้อมกับย้ำเตือนเสียงเบา“ไห่เผิง.. คำเล่าขานที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์ และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดขึ้นในจิงฉู เมื่อนั้นใต้หล้าจะมีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครอง..”
“เจ้าอย่าลืมว่าหลิงหยุนนั้นมาจากที่ใด”
“หลิงหยุนเป็นเพียงเด็กที่ฉินจิวยื่อเก็บมาเลี้ยงเป็นลูก..แต่กลับกล้าต่อกรกับตระกูลซัน และยังทำให้ตระกูลเฉินสูญเสียอย่างมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น.. มันยังสามารถช่วยตระกูลเกาได้ มันอาจเป็นทายาทตระกูลหลิง อีกทั้งยังมีกระบี่โลหิตแดนใต้ และไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับพรรคมาร อีกทั้งยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ลึกล้ำ..”
“คนผู้นี้ความสามารถรอบด้านแม้แต่บุคคลอันดับหนึ่งในประเทศยังให้ความสนใจ..”
“แต่ไม่รู้ว่าเป็นความโชคร้ายอะไรคนเช่นนี้ถึงได้ต้องมาเป็นศัตรูกับตระกูลเฉินของเรา..” “หรือนี่จะเป็นบัญชาสวรรค์..”
“ครั้งนี้หากเด็กนั่นไม่ตายตระกูลเฉินของเราก็ต้องล่มสลาย เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เฉินไห่เผิงตอบกลับด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม“ลูกจะทำตามคำชี้แนะของท่านพ่อ เชื่อมั่นในพลังอำนาจของตระกูลเฉิน และจัดการสังหารหลิงหยุนให้จงได้!”
เฉินจิ้งเทียนพยักหน้า“เยี่ยมมาก.. หากเราสังหารหลิงหยุนได้ ตระกูลเกากับตระกูลหลิงก็ไร้ความหมาย!”
“ลุงของเจ้ากับสหายของเขาในหน่วยนภาอีกสองสามคนกำลังรอข้าอยู่ข้าต้องไปก่อนแล้ว!”
“ข้าจะเดินไปส่งท่านพ่อเอง..”
ระหว่างที่เฉินจิ้งเทียนกำลังก้าวเท้าออกจากประตูบ้านนั้นจู่ๆ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน และมองไปยังตำแหน่งที่หลิงหยุนหลบอยู่
“ท่านพ่อ..มีอะไรรึ”เฉินไห่เผิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลิงหยุนรีบกลั้นหายใจและถอนจิตหยั่งรู้กลับทันที เวลานี้ร่างของเขานิ่งราวกับก้อนหิน..
“ไม่มีอะไรจู่ๆข้าก็รู้สึกคล้ายมีคนกำลังแอบมอง..”
เฉินไห่เผิงนิ่งอึ้งไปและรีบพูดผ่านกระแสจิต –ท่านพ่อ.. ให้คนของเราออกค้นดีหรือไม่-
เฉินจิ้งเทียนส่ายหน้า“ไม่ต้อง! อาจเป็นเพราะข้าไม่ค่อยได้มาที่นี่ คงจะไม่มีอะไร.. ข้าน่าจะระแวงมากจนเกินไป!”
เฉินไห่เผิงพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด“ลูกอกตัญญู.. ทำให้ท่านพ่อต้องทำงานหนักเช่นนี้!”
เฉินจิ้งเทียนส่ายหน้ายิ้มๆ“นี่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับความอยู่รอดของตระกูลเฉิน อย่างไรข้าก็ต้องลงมาจัดการ!”
พูดจบเฉินจิ้งเทียนก็เดินออกไปทันที..
……
เมื่อพ่อลูกตระกูลเฉินเดินออกไปไกลแล้ว..หลิงหยุนก็รีบกระโดดออกทางหน้าต่าง และใช้วิชาตัวเบาวิ่งกลับไปในป่าที่มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดซ่อนตัวอยู่ทันที “เจ้านายที่เคารพ..”
มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดเห็นหลิงหยุนมาก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีและกลายร่างจากค้างคาวตัวเล็กไปเป็นนกยักษ์ทำความเคารพหลิงหยุน
“รีบไปกันได้แล้ว!”
มาร์ควิสเอ็ดเวริ์ดบินฝ่าความมืดไปทางทิศเหนือ..ระหว่างทางหลิงหยุนก็ได้โทรสั่งโม่วู๋เตาให้ไปพบเขาที่บ้านตระกูลหลิงบนถนนวงแหวนที่ห้า..
เพราะหลังจากที่ได้แอบฟังบทสนทนาของพ่อลูกตระกูลเฉินหลิงหยุนก็รู้สึกหนักใจกับแผนการของสองพ่อลูกขึ้นมาทันที..
เวลานี้เรื่องอื่นใดก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ต้องตามหาตัวหลิงเสี่ยวให้พบก่อนคนอื่นๆ!
เพียงแค่สิบนาที..หลิงหยุนกับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดก็มาถึงบ้านที่นัดหมาย..
“โม่วู๋เตา..เจ้ามั่นใจว่าจะหาพ่อของข้าพบหรือไม่” ทันทีที่เข้าบ้านไปหลิงหยุนก็ร้องตะโกนถามทันที และเมื่อหลิงหยุนเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกโม่วู๋เตาที่นั่งรออย่างสงบนั้นจึงถามขึ้นว่า..
“บอกวันเดือนปีเกิดของท่านลุงมาข้าจะเริ่มทำนายให้..”
หลิงหยุนได้ถามวันเดือนปีเกิดของหลิงเสี่ยวจากหลิงลี่มาแล้วและจดจำได้อย่างแม่นยำ จึงรีบร้องบอกโม่วู่เตาไปทันที
แต่เมื่อโม่วู๋เตาได้ยินวันเดือนปีเกิดของหลิงเสี่ยวก็ถึงกับร้องอุทานออกมาทันที“ห๊ะ คิดไม่ถึงว่าลุงหลิงจะเกิดวันที่เก้าเดือนเก้าปีฉงหยาง!”
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มมุมปากพร้อมกับพยักหน้า..
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการทำนายดวงชะตาแต่เขาก็รู้ว่าผู้ที่เกิดในวันเดือนปีที่มีลักษณะพิเศษเช่นนี้ จะเป็นผู้ที่มีชะตากรรมลุ่มๆดอนๆ ขึ้นๆลงๆพลิกผันอย่างน่าประหลาด และชะตากรรมของผู้ที่เกิดในวันพิเศษเช่นนี้ ก็ใช่ว่าจะสามารถคำนวนออกมาได้ง่ายๆ โม่วู๋เตาไม่สามารถรักษาท่าทีให้สงบนิ่งได้อีกต่อไปเขาขมวดคิ้วพร้อมกับหมุนเหรียญในมือไปมานิ่งนาน
หลิงหยุนอดรนทนไม่ได้จึงรีบถามขึ้นทันที“มีอะไรผิดปกติงั้นรึ”
โม่วู๋เตายังคงครุ่นคิดไปอีกครู่ใหญ่และในที่สุดก็พูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เจ้าควรรู้ไว้ก่อนว่าการกระทำของเจ้านั้นส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มาก ด้วยเหตุนี้ผู้คนรอบตัวเจ้า ก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ชะตากรรมของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลง และพลิกผันไปมา..” Aileen-novel
เรื่องนี้หลิงหยุนเข้าใจได้ดีเขาจึงเพียงแค่พยักหน้านิ่งเงียบ..
“และยิ่งคนผู้นั้นเป็นคนใกล้ชิดกับเจ้าก็จะยิ่งได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่าคนอื่นๆ ชะตากรรมของพวกเขาจึงพลิกผันไปมาอย่างมาก จนไม่อาจที่จะทำนายได้..”
“ชะตาชีวิตของเจ้าข้องเกี่ยวกับเบื้องบนและยากที่จะทำนายได้ ส่วนพ่อของเจ้านั้นก็เป็นผู้ทำให้เจ้าเกิดมา จึงมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเจ้าอย่างมาก มีผลให้ชะตาของเขาพลิกผันเกินกว่าที่จะทำนายได้ อีกทั้งวันเดือนปีเกิดของพ่อเจ้านั้น ก็ยังเป็นวันที่เก้าเดือนเก้าปีฉงหยาง จึงคำนวณยากยิ่งขึ้นไปอีกมากมาย..”
คิ้วของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันแน่นพร้อมกับถามขึ้นว่า“เจ้าหมายความเช่นใด เจ้าไม่สามารถทำนายได้งั้นรึ?”
โม่วู๋เตาตอบกลับไปทันที“หากจะใครข้าคำนวนจากเพียงแค่วันเดือนปีเกิดที่เจ้าให้ ข้าเกรงว่าจะไม่แม่นยำ และไม่ต้องการที่จะทำนายซ้ำ!”
สำหรับหมอดูนั้น..การทำนายที่ได้ผลแม่นยำที่สุดก็คือการทำนายครั้งแรก ด้วยเหตุผลข้อนี้โม่วู๋เตาจึงยังไม่ต้องการคำนวนดวงชะตาออกมา
หลิงหยุนตะโกนถามออกไปทันที“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องการอะไรกันแน่ รีบๆพูดออกมา อมพะนำอยู่ได้!”
โม่วู๋เตาตอบกลับทันที“ตอนนี้เพียงแค่วันเดือนปีเกิดของท่านลุงหลิงนั้นไม่เพียงพอ! เจ้าสามารถพาข้าไปยังสถานที่ที่ลุงหลิงเคยอาศัยอยู่ทุกวันได้หรือไม่ อ่อ.. แล้วก็รูปถ่ายของเขาด้วย!”
หลิงหยุนพยักหน้าทันทีพร้อมกับหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาติดต่อเหล่ากุ่ย และอธิบายให้เขาฟังเพียงแค่สั้นๆ
หลังจากที่เหล่ากุ่ยได้ฟังก็ตอบกลับทันที“ได้.. ข้าจะไปรับนายน้อยเดี๋ยวนี้!”
ยีสิบนาทีต่อมาเหล่ากุ่ยก็ขับรถมาถึงหน้าบ้าน เหลิงหยุน โม่วู๋เตา และมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดจึงรีบกระโดดขึ้นรถไปทันที
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิงนั้นหลิงหยุนก็ถามเหล่ากุ่ยไปว่า “เหล่ากุ่ย.. ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ท่านปู่ฟังหรือยัง”
เหล่ากุ่ยที่กำลังขับรถตอบกลับไปทันที“ข้าบอกนายผู้เฒ่าหมดแล้ว! นายน้อยท่านสบายใจ ทุกอย่างที่ต้องการได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว..”
จากนั้นสีหน้าของเหล่ากุ่ยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดและหันไปถามหลิงหยุนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
“นายน้อยสี่..ครั้งนี้ท่านอาจต้องพบเจอคนผู้หนึ่ง!”
เหล่ากุ่ยกำลังหมายถึงภรรยาของหลิงเสี่ยวและเป็นแม่ของหลิงซวี่..
หลิงหยุนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ระหว่างนั้นเหล่ากุ่ยจึงพูดต่อว่า..
“นายน้อยสี่..ต่งยั่วหลานแม่ของหลิงซวี่นั้น เป็นผู้หญิงที่มีชะตากรรมน่าเศร้านัก..”
เหล่ากุ่ยเห็นหลิงหยุนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาจึงรีบอธิบายต่อแต่หลิงหยุนกลับตอบไปว่า
“เหล่ากุ่ย..ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร ข้าเข้าใจดี!”
นี่เป็นเรื่องของพ่อแม่เมื่อสิบแปดปีก่อนเขาจะพูดอะไรได้
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นไฟแห่งความเคียดแค้นในใจของหลิงหยุนก็ปะทุขึ้นมา และเริ่มเผาลนจิตใจของเขาอีกครั้ง
หลิงหยุนนึกถึงคำบอกเล่าที่พ่อของเขาต้องประกาศตัดขาดกับหยิงชิงเฉวียนและต้องแต่งงานกับหญิงอื่นจนมีลูกด้วยกัน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าอดสูสำหรับหยิงชิงเฉวียนยิ่งนัก..
แต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนเกิดจากการบีบบังคับของผู้อื่นทั้งสิ้น!
ดังคำกล่าวว่า..นักรบฆ่าได้หยามไม่ได้ นั่นเป็นการสร้างความอัปยศอดสูให้กับหลิงเสี่ยวเช่นนั้น และเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าการสังหารหลิงเสี่ยวเสียอีก..
แต่ผู้หญิงที่ชื่อตงยั่วหลานนั้นก็ไร้ซึ่งความผิดและหลิงหยุนเองก็รู้มาว่าหลิงเสี่ยวไม่เคยรักนางเลยแม้แต่น้อย ต่งยั่วหลานจึงเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร และน่าเห็นใจยิ่งนัก!
หลิงหยุนคิดเรื่องนี้แล้วก็ถึงกับกำหมัดแน่นและเลือดในกายก็กำลังเดือดพล่าน..
ยี่สิบนาทีต่อมา..ทั้งสี่คนได้มาถึงหน้าคฤหาสน์ตระกูลหลิง เหล่ากุ่ยขับรถเข้าไปจอดภายในสวนชั้นที่สาม หลิงลี่เองก็กำลังยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว และข้างๆเขานั้นก็มีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย..
หลิงหยุนเดินลงจากรถไปหาหลิงลี่พร้อมกับคุกเข่าคาราวะ “คาราวะท่านปู่..”
หลิงลี่เห็นหลานชายสุดที่รักของตนเองกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัยในใจก็มีความสุขอย่างมาก เขารีบเอื้อมมือไปพยุงหลิงหยุนให้ลุกขึ้นจากพื้นทันที
“เอาล่ะ..ในที่สุดเจ้าก็ได้กลับบ้านเราเสียที!”
หลิงลี่เอื้อมมือไปตบบ่าหลิงหยุนและจับมือพาเขาเดินไปหาหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ และผู้หญิงคนนั้นก็คือต่งยั่วหลาน นางแต่งตัวภูมิฐาน รูปร่างผอมบางแบบผู้หญิง แต่ในวัยเพียงแค่สี่สิบปี กลับมีผมสีขาวขึ้นแซมอย่างเห็นได้ชัด และนั่นเป็นการบ่งบอกว่าชีวิตที่ผ่านมาของนางนั้นไม่ได้ง่ายดายเลย..
เมื่อเห็นหลิงหยุนคุกเข่าลงต่อหน้าหลิงลี่ต่งยั่วหลานก็กถึงกับร่างกายสั่นเทิ้ม เพราะสามารถคาดเดาได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือใคร
“ยั่วหลาน..นี่หลานชายของข้า – หลิงหยุน!”
“หลิงหยุน..นี่คือ..”
แต่เมื่อชายชราจะหันไปแนะนำต่งยั่วหลานกับหลิงหยุนเขาก็นึกไม่ออกว่าควรจะแนะนำเช่นไร ควรจะแนะนำว่านางคือภรรยาของหลิงเสี่ยวอย่างนั้นหรือ? และควรจะให้หลิงหยุนเรียกนางว่าอะไร?
ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจยิ่งนัก!
หลิงลี่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะและมือที่จับแขนของหลิงหยุนอยู่นั้นก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ..
“ท่านป้าต่ง..ท่านพ่อหายตัวไปนาน ข้าเป็นกังวลใจจึงต้องเดินทางมาที่นี่ เพื่อตามหาท่านพ่อให้พบจงได้!”
หลิงหยุนไม่มีปัญหากับหญิงผู้น่าสงสารคนนี้เลยแม้แต่น้อย..
ต่งยั่วหลานถึงกับสั่นสะท้านนางต้องการจะพูดอะไรออกมา แต่ปากก็สั่น และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้นอกจากเพียงแค่พยักหน้า..
“เอาล่ะ..เข้าไปในบ้านกันก่อน จะได้รีบทำธุระให้เสร็จ!”
หลิงลี่เห็นท่าทีที่หลิงหยุนมีต่อต่งยั่วหลานก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก และรีบเอ่ยชักชวนให้เข้าไปในทันที..
ต่งยั่วหลานจ้องมองหลิงหยุนอยู่นานในที่สุดก็พูดออกมาว่า“เข้าไปในบ้านก่อนสิ!”
หลิงลี่หลิงหยุน โม่วู๋เตา และต่งยั่วหลาน ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในบ้าน ในขณะที่เหล่ากุ่ยกับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดนั้นรออยู่ที่สวนด้านนอก
“ท่านพ่อคะ..ท่านนั่งพักผ่อนก่อน ข้าจะไปชงชามาให้!” ทันทีที่เข้าไปในบ้านต่งยั่วหลานก็ขอตัวไปเตรียมชาทันที..
“อย่าลำบากเลย..รีบๆทำธุระให้เสร็จจะดีกว่า!”
ที่นี่เป็นบ้านของหลิงเสี่ยวหลิงลี่แวะมาปีหนึ่งไม่กี่ครั้ง อีกทั้งนี่ก็ดึกมากเกินกว่าจะมาบ้านลูกสะใภ้เช่นนี้..
ต่งยั่วหลานจึงรีบขอตัวไปนำบางสิ่งบางอย่างมาให้..
ไม่นาน..รูปภาพของหลิงเสี่ยว เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของเขาก็ถูกนำออกมาด้วย
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าไม่มีเพียงรูปของหลิงเสี่ยวแต่ยังมีรูปของสาวน้อยหน้าตางดงามที่ชื่อหลิงซวี่ซึ่งเขาเคยพบกลางทะเลอีกด้วย
“นี่เป็นเสื้อผ้าของหลิงเสี่ยวรูปพวกนี้ลูกซวี่ถ่ายเมื่อครั้งที่เข้าร่วมกับหน่วยเทพอินทรีย์..”
ต่งยั่วหลานอธิบายด้วยดวงตาที่แดงก่ำและน้ำตาที่ไหลพราก..
หลิงหยุนไม่พูดอะไรเขาหันไปมองโม่วู๋เตา โม่วู๋เตาพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงเดินสำรวจภายในบ้านทีละห้อง และเมื่อเดินกลับมาเขาก็บอกกับทุกคนว่า
“เอาล่ะ..ข้าจะเริ่มทำการคำนวนดวงชะตาแล้ว! ขอเชิญท่านปู่หลิง และทุกคนออกไปให้ห่างจากบริเวณนี้อย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตร”
คนทั้งสามที่อยู่ในห้องนั้น..คนหนึ่งเป็นพ่อของหลิงเสี่ยว คนหนึ่งเป็นลูก ส่วนอีกคนเป็นภรรยา ทั้งสามคนจึงนับเป็นญาติสนิทของหลิงเสี่ยว หากให้พวกเขาอยู่ใกล้ๆ อาจทำให้การคำนวนของโม่วู่เตาคลาดเคลื่อนได้ เขาจึงต้องขอให้ทุกคนออกไป..
“ได้..”
หลิงหยุนนั้นเข้าใจโม่วู๋เตาดีเขาและหลิงลี่มองหน้ากัน และทั้งหมดก็เดินออกจากห้องไป..
“ไปที่สวนบ้านข้าจะดีกว่า..”
ทันทีที่ออกมานอกบ้านแล้วหลิงลี่ก็บอกให้ทุกคนไปที่สวนชั้นเก้าซึ่งเป็นบ้านของเขา เพราะที่นั่นค่อนข้างห่างไกลจากที่นี่มาก..
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับโบกมือเรียกเหล่ากุ่ยกับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดให้ไปที่สวนของหลิงลี่..
เมื่อมั่นใจว่าทุกคนเดินออกไปห่างมากพอแล้วสีหน้าของโม่วู๋เตาก็เปลี่นเป็นเคร่งเครียดข้นมาทันที เขามองรูปถ่ายของหลิงเสี่ยวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหยิบเหรียญทองแดงสามเหรียญออกมาพร้อมกับทำปากขมุบขมิบ..
หลังจากนั้นโม่วู๋เตาก็วางเหรียญทั้งสามไว้บนฝ่ามือก่อนจะโยนขึ้นไปกลางอากาศ และไม่รู้ว่าโม่วู๋เตาใช้วิธีการใด เหรียญทองแดงทั้งสามจึงได้หมุนเคว้งอยู่กลางอากาศนานนับสิบวินาที ก่อนจะร่วงลงบนโต๊ะตรงหน้า..
เมื่อเหรียญทั้งสามร่วงหล่นลงไปร่างของโม่วู๋เตาก็ถึงกับสั่นอย่างรุนแรง และจู่ๆเลือดสีแดงก็พุ่งออกจากปากของเขา!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร