ระหว่างที่หลิงหยุนกับโม่วู๋เตารีบร้อนมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงเพื่อมาคำนวนหาที่ซ่อนตัวของหลิงเสี่ยวอยู่นั้น ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งภายในปักกิ่ง ก็มีคนคู่หนึ่งกำลังสนทนากันอยู่เช่นกัน
บนถนนวงแหวนที่สาม..ภายในบ้านหรูหราใหญ่โตหลังหนึ่ง คนสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขก
ซึ่งก็คือหลิงเจิ้นผู้นำตระกูลหลิงคนปัจจุบันและลูกชายคนโตของเขา – หลิงห่าว..
บ้านที่หรูหราใหญ่โตนี้เป็นบ้านที่หลิงห่าวซื้อไว้อยู่เองและเพื่อใช้เป็นสถานที่หาความสุขให้กับตนเองได้อย่างตามใจชอบ..
หลิงเจิ้นเข้ามานั่งอยู่ในบ้านหลังนี้นานแล้วแต่ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ เขาเองก็ยังไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และเอาแต่นั่งนิ่งจ้องมองหลิงห่าวโดยไม่พูดไม่จา.. ส่วนหลิงห่าวเองก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบเช่นกัน..
แต่ในที่สุดหลิงห่าวก็อดรนทนไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นว่า“ท่านพ่อ.. ท่านมาหาข้ากลางดึกเช่นนี้มีอะไรงั้นรึ”
แต่หลิงเจิ้นกลับโบกมือห้ามไม่ให้หลิงห่าวถามอะไรต่อจากนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองว่า “ที่ข้ามาในวันนี้.. ก็เพราะมีเรื่องที่จะต้องคุยกับเจ้าสองสามเรื่อง!”
หลิงห่าวลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ลูกน้อมรับคำสั่งสอนของท่านพ่อ!”
หลิงเจิ้นถอนหายใจพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้หลิงห่าวนั่งลง“เจ้านั่งลงก่อน.. แล้วค่อยคุยกัน!”
หลิงห่าวนั่งลงตามคำสั่งของหลิงเจิ้นทันที..
“หลิงห่าว..เจ้าฟังข้าให้ดี! นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะถามเจ้า!”
“เจ้ามั่นใจว่าตนเองได้ทำลายหลักฐานทุกอย่างที่จะสาวมาถึงตัวเจ้าแล้วหรือยัง”
หลิงห่าวเองนั้นรู้อยู่แก่ใจดีว่าหลิงเจิ้นกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เขาได้แอบส่งคนไปลอบฆ่าหลิงหยุนนั่นเอง..
นับตั้งแต่ตัวเฉินเซินเองมือสังหารขององค์กรนักฆ่าที่ส่งไปลอบฆ่าหลิงหยุนนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลี่ยี่ เจียวเฟย ฉวนจี๋ ฉวนจิ่ว หรือแม้กระทั่งตี้ปาไปจนถึงนักฆ่าระดับสวรรค์อีกสามคน ทุกคนที่หลิงห่าวจ้างไปลอบฆ่าหลิงหยุนนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกหลิงหยุนจัดการไปหมดแล้วทั้งสิ้น..
แต่เวลานี้..หลิงหยุนไม่เพียงไม่ตาย ซ้ำยังผงาดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ และนับวันก็ยิ่งพุ่งทะยานขึ้น และสามารถเอาชีวิตรอดจากความเป็นความตายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า และตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างก็กำลังจะย้อนกลับมาที่ตัวของหลิงห่าวเอง..
เมื่อได้ยินว่าจู่ๆหลิงเจิ้นก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา เหงื่อเม็ดโตก็ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากของหลิงห่าว ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง..
หลิงเจิ้นจ้องตาหลิงห่าวนิ่งนานจากนั้นจึงยกฝ่ามือขึ้นตบโต๊ะดังปัง พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังราวกับฟ้าผ่า “ตอบข้ามา!”
หลิงห่าวถึงกับหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านและรีบระล่ำระลักตอบกลับเสียงสั่น “ขะ–ข้า.. ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วท่านพ่อ!”
แต่หลิงเจิ้นกลับสวนขึ้นทันที“หึ! เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้สาวมาถึงตัวเจ้าได้!”
หลิงห่าวครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดก็พยักหน้าพร้อมตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ “ท่านพ่อ.. ข้ามั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้อย่างแน่นอน!”
หลิงเจิ้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“หึ.. ข้าเกรงแต่ว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่เจ้าพูดน่ะสิ!”
หลิงห่าวถึงกับอึ้งไปทันที“อะไรนะ! มีอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ?”
หลิงเจิ้นส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง“ข้าให้เจ้าเข้าไปอยู่หน่วยเทพอินทรีย์มากว่าสองเดือน เจ้าไม่รู้เลยรึว่าเฉินเซินได้ถูกหลิงหยุนจับตัวไปแล้ว”
หลิงห่าวถึงกับเหงื่อไหลจนเปียกโชกลำคอของเขาแห้งผากจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ลง เขารีบตอบหลิงเจิ้นกลับไปทันที
“ลูก..ลูกทราบ!”
ทันทีที่หลิงเจิ้นได้ฟังคำตอบของหลิงห่าวน้ำเสียงของเขาก็ยิ่งเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม “เจ้ารู้! แต่เจ้ากลับตอบข้าว่าเจ้าได้จัดการทำลายหลักฐานทุกอย่าง จนไม่มีอะไรเหลือที่จะสาวมาถึงตัวเจ้าได้แล้วงั้นรึ?”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้..หลิงเจิ้นก็ถึงกับเอนกายพิงลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า “เจ้าก็เห็นแล้วว่าหลิงหยุนมันสามารถเอาชนะยอดฝีมือมากมายของตระกูลเฉิน และตระกูลซันได้ แล้วเจ้ายังกล้าปล่อยเฉินเซินไว้ได้อย่างไรกัน”
“เจ้าไม่รู้รึว่าคนอย่างหลิงหยุนสามารถจับตัวเฉินเซินได้ภายในไม่กี่นาทีและหากเขาถูกหลิงหยุนจับตัวได้ เจ้าคิดว่าคนอย่างเฉินเซินจะไม่บอกเรื่องของเจ้าให้หลิงหยุนรู้งั้นรึ” คำพูดของที่พร่างพรูออกมาจากปากของหลิงเจิ้นนั้นทำให้หลิงห่าวถึงกับหน้าซีดเผือดจนพูดอะไรไม่ออก และร่างทั้งร่างก็สั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว..
นั่นเพราะหลิงห่าวแทบไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิดเขารู้จักนิสัยใจคอของเฉินเซินดี คนอย่างเฉินเซินนั้นแทบไม่ต้องรอให้หลิงหยุนถามด้วยซ้ำไป เพียงแค่ถูกหลิงหยุนจับตัวได้ เขาก็พร้อมที่จะบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้หลิงหยุนฟังเพื่อเอาตัวรอด!
และหากหลิงหยุนไม่ต้องการที่จะสอบถามเฉินเซินเกี่ยวกับเรื่องนี้เหตุใดจึงต้องจับตัวเฉินเซินไปด้วย
เวลานี้..ใบหน้าของหลิงห่าวนั้นซีดยิ่งกว่าไก่ต้มเสียอีก!
หลิงห่าวนั้นไม่ใช่คนโง่..มีหรือที่เขาจะไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน! เขาครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้มานานมากแล้ว แต่เขาพร่ำบอกกับตัวเองว่าตนเองนั้นเป็นคนโชคดี! หลิงห่าวเฝ้าหลอกตัวเองอยู่เช่นนั้นมาตลอด การกระทำของหลิงห่าวนั้นไม่ต่างจากนกกระจอกเทศที่เมื่อมีภัยอันตรายมาถึงตัว มันมักจะเอาหัวฝังลงไปกับผืนทราย เพื่อไม่ให้ตนเองมองเห็นอันตรายนั้น และอันตรายนั้นก็ได้อันตรธานหายไป..
หลิงห่าวตกใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ฟังหลิงเจิ้นพูดต่อว่า“เหล่ากุ่ยกับหลิงซิ่วเองก็เพิ่งจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวของปู่เจ้ากลับมาจากจิงฉู ทั้งคู่ยังได้นำนักโทษกลับมาด้วยสี่คน..”
“ไม่เพียงเท่านั้น..หลิงหยุนยังได้รักษาคนตระกูลเกาจนหายจากการเป็นแวมไพร์ และกลับมาเป็นคนปกติ เวลานี้สมาชิกทั้งสิบสองคนก็ได้พากันกลับไปบ้านตระกูลเกากันหมดแล้ว..”
“หลิงห่าว..เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุการณ์เหล่านี้กำลังบ่งบอกอะไร”
ใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของหลิงเจิ้นนั้นกำลงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซีดเซียวของหลิงห่าว ที่กำลังตั้งคำถามโง่ๆกลับไป..
“กำลังบ่งบอกอะไรงั้นรึท่านพ่อ!” เพียะ!
ฝ่ามือของหลิงเจิ้นฟาดใส่ใบหน้าของหลิงห่าวอย่างรวดเร็วและรุนแรง! จนเกิดเป็นรอยฝ่ามือแดงอยู่ที่แก้มทันที
จากนั้นหลิงเจิ้นก็ร้องตะโกนออกไปด้วยความโมโหสุดขีด“จะบ่งบอกอะไรอีก เจ้าคิดว่าตอนนี้หลิงหยุนมันอยู่ปักกิ่งแล้ว มันต้องการจะทำอะไร?”
“ในบรรดานักโทษทั้งสี่ที่เหล่ากุ่ยนำกลับมาด้วยนั้นหนึ่งในนั้นก็คือเฉินเซิน!”
เมื่อถูกหลิงเจิ้นตบหน้าหลิงห่าวก็ถึงกับตื่น และได้สติทันที! เขาไม่สนใจความเจ็บปวดบนใบหน้าของตนเองด้วยซ้ำไป และรีบกระโจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วไปยืนอยู่หน้าหลิงเจิ้นก่อนจะคุกเข่าลงทันที!
หลิงห่าวคานเข่าเข้าไปกอดขาหลิงเจิ้นไว้พร้อมกับร้องออกมาอย่างเสียขวัญ“ท่านพ่อ.. ช่วยลูกด้วย!”
“หึ..ตอนนี้ข้าเองก็หมดหนทางช่วยเจ้าแล้ว!”
หลิงเจิ้นก้มหน้าลงมองลูกชายด้วยสายตาเย็นชาและทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้เจ้าอย่าได้นึกได้ฝันว่าจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลิงอีกเลย..”
“เจ้ามันไม่เอาใหน!แย่ยิ่งกว่าหลิวหย่งน้องชายของเจ้าเสียอีก !”
หลิงเจิ้นพูดจบก็ถอนหายใจออกมาแววตาของเขานั้นปรากฏร่องรอยของความผิดหวังอย่างชัดเจน เขาโบกมือไล่หลิงห่าวให้ไปกลับไปนั่งตามเดิม..
“เจ้าลุกขึ้น..แล้วกลับไปนั่งที่โซฟา อย่าทำตัวให้ข้าต้องรู้สึกผิดหวังอยู่เช่นนี้!”
ความจริงหลิงห่าวยังมีเรื่องที่ต้องการจะถามหลิงเจิ้นอีกแต่ดูจากท่าทางและอารมณ์ของหลิงเจิ้นแล้ว หลิงห่าวรู้ดีว่ายังไม่ใช่เวลาที่สมควรจะถามอะไร เขาจึงรีบลุกขึ้นยืน และเดินกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิม..
เวลานี้..หลิงห่าวหวาดกลัวหลิงเจิ้นจนแทบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมา!
หลังจากที่หลิงห่าวกลับไปนั่งลงตามเดิมหลิงเจิ้นเองก็ดูเหมือนจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง จากนั้นหลิงเจิ้นก็พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เจ้าห่าว..มีบางเรื่องที่ข้าต้องบอกกับเจ้าไว้ล่วงหน้า!”
“ตระกูลหลิงของเรากำลังจะผงาดขึ้นอีกครั้ง!” ไอลีนโนเวล
แม้น้ำเสียงของหลิงเจิ้นจะบางเบาแต่หลิงห่าวก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ..
“ช่วงนี้แม้ว่าเจ้าจะไม่กล้ากลับเข้าบ้านตระกูลหลิงแต่ข้าเชื่อว่าระหว่างที่เจ้าอยู่ในหน่วยเทพอินทรีย์นั้น คงต้องได้ยินเรื่องราวของหลิงหยุนมาบ้าง!”
“เจ้าคงจะรู้แล้วว่า..เวลานี้หลิงหยุนแข็งแกร่งมากเพียงใด ต่อให้ไม่มีตระกูลหลิงหนุนหลัง ด้วยความแข็งแกร่งกับอำนาจของหลิงหยุนเพียงลำพัง ก็ทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับตระกูลหลง และตระกูลเย่ได้แล้ว!” “เวลานี้ในสายตาของปู่เจ้า..ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงในอนาคต คงจะไม่พ้นมือของหลิงหยุนเป็นแน่!”
“อย่าว่าแต่เจ้าเลย!แม้แต่ตำแหน่งผู้นำตระกูลของข้าเวลานี้ก็ยังสั่นคลอน ซึ่งข้าเองก็รู้ดี! เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”
หลิงเจิ้นถามออกไปพร้อมกับจ้องหน้าหลิงห่าว..
หลิงห่าวตอบกลับไปทันที“ท่านพ่อ.. ข้าเข้าใจดี! และไม่กล้าคิดที่จะครอบครองตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงอีกแล้ว..”
“เมื่อคืนนี้..ระหว่างที่ท่านปู่ของเจ้าฝึกวิชาอยู่ ข้าได้เข้าไปที่คุกใต้ดินเพื่อจะดูว่านักโทษทั้งสี่คนเป็นใครกันแน่”
“แต่กลับคิดไม่ถึงว่า..แม้แต่ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงของข้า ยังไม่สามารถเข้าใกล้ประตูคุกใต้ดินได้เลย!”
หลิงห่าวถึงกับร้องถามออกมาอย่างตกใจ“อะไรนะท่านพ่อ! นี่แม้แต่ผู้นำตระกูลหลิงอย่างท่าน ยังมีคนกล้าขัดขวางอีกงั้นรึ?”
“ผู้นำตระกูลหลิงงั้นรึฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า..”
หลังจากที่ได้ยินคำถามของหลิงห่าวหลิงเจิ้นก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เจ้าลูกโง่..คิดไม่ถึงว่ามาจนถึงตอนนี้เจ้ากลับยังคงไม่เข้าใจ ความพยายามของข้าตลอดหลายปีมานี้คงต้องสูญเปล่า!”
“ที่ท่านปู่ของเจ้าให้ข้านั่งในตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงก็เพราะว่าข้าเป็นลูกชายคนโต อีกทั้งหลังจากที่เกิดโศกนาฏกรรมกับตระกูลหลิง ในเวลานั้นก็มีเพียงข้าคนเดียวที่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-2 และเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงสุดในตอนนั้น..”
“และนั่นคือเหตุผลที่ท่านปู่ของเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้จึงต้องมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงให้กับข้า!”
“แต่เวลานี้..แทบไม่ต้องพูดถึงหลิงหยุน! เพราะแม้แต่ตัวท่านปู่ของเจ้าเองก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน-8 แล้ว กระทั่งเหล่ากุ่ยเองยังอยู่ในขั้นเซียงเทียน-5!”
“ก่อนหน้านี้..เหล่ากุ่ยยังฟังคำพูดของข้าบ้าง แต่เวลานี้เขาฟังเพียงคำสั่งของท่านปู่เพียงคนเดียวเท่านั้น!”
“เวลานี้..ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในตระกูลหลิงมีเพียงสองคนเท่านั้นก็คือ.. ปู่ของเจ้ากับหลิงหยุน!”
“ไม่ว่าที่ใดในโลก..ความแข็งแกร่งก็เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คนเชื่อฟังได้ เจ้าเข้าใจหรือยัง”
“เมื่อคืนนี้..ข้าพยายามจะเข้าไปในคุกใต้ดิน หากเฉินเซินอยู่ในคุกจริง ข้าก็ตั้งใจว่าจะลงมือสังหารมันทันที ต่อให้ต้องทำให้ท่านพ่อกับหลิงหยุนไม่พอใจก็ตาม ข้าก็จะสังหารเฉินเซินเพื่อช่วยเจ้า!”
หลิงห่าวถึงกับนิ่งอึ้งไปดวงตาของเขาแดงก่ำ และกระซิบเสียงเบา “ลูกทำให้ท่านพ่อต้องลำบากแล้ว!”
หลิงเจิ้นส่ายหน้าไปมาพร้อมกับถอนหายใจ“ใครใช้ให้เจ้ามาเป็นลูกของข้าเล่า” “แต่โชคร้ายที่หลิงหยุนเตรียมการป้องกันมาอย่างดีข้าจึงไม่มีโอกาสเข้าใกล้นักโทษเหล่านั้นได้เลย..”
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดต่อไปของหลิงเจิ้นหลิงห่าวก็ถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรงในทันที และมีสภาพไม่ต่างจากลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออกจนแฟบ ใบหน้าของเขาซีดจนเป็นสีขาว..
หลิงเจิ้นพูดต่อว่า“คืนนี้.. จู่ๆท่านปู่ของเจ้าก็สั่งให้ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลหลิงออกไปให้หมด ข้ารู้เพียงว่าคงต้องมีเรื่องใหญ่ในตระกูลหลิงเกิดขึ้น หลังจากออกมา ข้าจึงได้มาหาเจ้าที่นี่..”
หลิงห่าวร้องตะโกนเสียงหลง“ห๊ะ.. มีเรื่องใหญ่อะไรงั้นรึท่านพ่อ!”
หลิงเจิ้นหัวเราะเสียงดัง“จะเป็นเรื่องอะไรไปได้เล่า นอกจากเรื่องตามหาตัวอาสามของเจ้า!”
หลิงห่าวรีบพูดขึ้นทันที“ตามหาท่านอาสามงั้นรึ เวลานี้ตระกูลใหญ่ต่างก็พากันออกตามหาตัวท่านอาสามกันให้ทั่วปักกิ่ง แม้แต่หน่วยเทพอินทรีย์ของเราก็ออกตามหาเช่นกัน แต่ไม่ว่าหายังไงก็ไม่พบ.. ต่อให้หลิงหยุนกลับมาก็ใช่ว่าจะหาพบ!”
หลิงเจิ้นมองหน้าลูกชายตนเองพร้อมกับตอบเสียงเบา“หาตัวอาสามของเจ้าพบหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ..”
“แต่หากหาตัวอาสามของเจ้าพบ..ตระกูลหลิงก็จะสามารถผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง! และต่อให้พบเพียงศพของอาสามเจ้า ตระกูลหลิงก็จะผงาดขึ้นมาเช่นกัน และจะผงาดได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย!”
“เจ้าเข้าใจความสำคัญในเรื่องนี้หรือไม่”
หลิงห่าวยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงงและได้แต่ถามออกไปว่า “ท่านพ่อ.. เช่นนี้แล้วลูกควรทำเช่นใด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร