“อะไรนะ!เด็กนี่นะเหรอ.. ผู้นำตระกูลหลิง?!”
“นี่..จะเป็นไปได้ยังไงกัน ผู้นำตระกูลหลิงไม่ใช่หลิงเจิ้นหรอกเหรอ?”
“เขายังเด็กเกินไป!ดูเหมือนจะอายุไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ จะไปรู้เรื่องธุรกิจได้ยังไง!”
“หลิงหยุนเหรอทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูนักนะ?! ว่าแต่ฉันเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ใหนกันนะ?!”
……
หลังจากที่หลิงเย่วได้ประกาศฐานะของหลิงหยุนต่อหน้านักธุรกิจทุกคนในห้องรับแขกแล้วเวลานี้ทุกคนต่างก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปตามๆกัน
หลิงเย่วยกมือขึ้นห้ามเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกคนในห้องอยู่ในความสงบพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ..ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบก่อน!”
และเมื่อทุกคนต่างก็นิ่งเงียบกันแล้วหลิงเย่วจึงยิ้มออกมา และย้ำกับทุกคนในห้องว่า “ทุกท่านไม่จำเป็นต้องสงสัยเรื่องผู้นำตระกูลหลิง.. ตามกฏของตระกูล.. ทายาทที่มีอายุสิบแปดปีขึ้นไปจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตระกูลได้!”
คำอธิบายของหลิงเย่วนั้นเท่ากับเป็นการประกาศย้ำฐานะผู้นำตระกูลหลิงของหลิงหยุนให้คนนอกได้รับรู้อย่างเป็นทางการ และเป็นการผลักดันหลิงหยุนให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงอย่างจริงจังเสียที!
และเมื่อใดที่หลิงหยุนได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการและคนนอกต่างก็รับรู้กันถ้วนหน้า หลิงหยุนจะได้สามารถจัดการเรื่องต่างๆด้วยตัวเองเสียที ไม่ต้องอยู่เฉพาะเบื้องหลังเหมือนที่ผ่านมา..
ท่ามกลางความสงสัยคลางแคลงใจของเหล่านักธุรกิจจากตระกูลระดับกลางจนถึงระดับเล็กที่อยู่ภายในห้องแต่หลิงหยุนกลับนั่งไขว่ห้างเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย อีกทั้งสีหน้าที่สงบนิ่งนั้นก็ยังปรากฏรอยยิ้มหยันขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะกระจกใสอย่างเป็นจังหวะไปด้วย..
แม้สายตาของหลิงหยุนไม่คมกริบและดุดันดังเช่นก่อนหน้า แต่ก็ดูมีอำนาจจนสามารถสะกดคนธรรมดาสามัญที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย หลิงหยุนจ้องมองคนเหล่านั้นพร้อมกับนึกขบขันอยู่ในใจ..
จากนั้นหลิงเย่วก็พูดขึ้นว่า“ขอทุกท่านได้โปรดมั่นใจ.. เวลานี้ผู้นำตระกูลหลิงอยู่ตรงหน้าทุกท่านแล้ว ผู้นำตระกูลจะต้องให้คำตอบที่ทุกท่านพอใจอย่างแน่นอน!”
หลิงเย่วไม่จำเป็นต้องอธิบายความเป็นมาของหลิงหยุนให้ผู้คนที่อยู่ในห้องนี้ฟังอย่างละเอียดเพราะพวกเขาเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับรู้ว่าหลิงหยุนเป็นใคร และมาจากใหน? หลิงเย่วจึงแค่ทำหน้าที่ผลักดันหลิงหยุนขึ้นสู่ฐานะที่สูงส่งนี้เท่านั้น.. “นี่มันอะไรกันตระกูลหลิงคิดจะเล่นตลกอะไร ถึงได้ให้เด็กเมื่อวานซืนมาเจรจาธุรกิจใหญ่โตเช่นนี้? คุณหลิง.. นี่คุณไม่ได้ล้อพวกเราเล่นใช่มั๊ย?”
หลังจากที่หายจากอาการตกใจหานเถี่ยซินก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดจาเย้ยหยันหลิงหยุนทันที และแทบไม่เห็นหลิงหยุนอยู่ในสายตา..
“นั่นสิ!ตลกสิ้นดี.. หลิงหยุนนี่นะเป็นผู้นำตระกูลหลิง ผมไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ นี่ตระกูลหลิงไม่เหลือใครแล้วจริงๆหรือยังไง? ถึงได้เอาเด็กขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแบบนี้?”
จ้าวจิ่งหมิงรีบร้องตะโกนสนับสนุนทันทีเสียงตะโกนของเขานั้นดังราวกับเกรงว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องจะยังวุ่นวายไม่พอ..
…..
หลังจากที่ตระกูลซันกับตระกูลเฉินประกาศเป็นพันธมิตรกันแล้วนั้นก็ได้วางแผนให้ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลหานและตระกูลจ้าว ให้ไปทำการป่วนตระกูลหลิงให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายอีกทางหนึ่ง โดยรับปากจะให้ผลประโยชน์มากมายกับสองตระกูลนี้!
แต่เพราะตระกูลซันกับตระกูลเฉินต่างก็เพียงแค่ต้องการหลอกใช้ตระกูลหานกับตระกูลจ้าวไปเป็นหนังหน้าไฟแทนพวกตนเท่านั้นจึงไม่บอกแม้กระทั่งว่าเวลานี้ผู้นำตระกูลหลิงก็คือหลิงหยุน และไม่ได้บอกเล่าถึงความแข็งแกร่งของตระกูลหลิงที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย..
เรื่องที่หลิงหยุนไปช่วยหลิงเสี่ยวออกมาได้สำเร็จและเหตุการณ์ที่หลิงหยุนกำราบตระกูลเฉินกับตระกูลซันที่สุสานนั้น เรื่องต่างๆเหล่านี้มีหรือที่จะเล็ดลอดออกไปถึงหูตระกูลระดับกลางและระดับเล็กเหล่านี้ได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้จะมีโอกาสรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หานเถียนซินกับจ้าวจิ่งหมิงเองก็เช่นกัน!
ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถอนหุ้นในธุรกิจต่างๆหรือแม้แต่การยุติโครงการที่ทำร่วมกันกับตระกูลหลิง ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่สามารถนั่งเจรจาพูดคุย และปรึกษาหารือกัน เพื่อหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจได้ แต่หากมีใครสักคนพยายามที่จะเป่าหู และปลุกระดมคนอื่นๆให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย จากเรื่องที่ง่ายก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น และกลายเป็นปัญหาใหญ่ในที่สุด!
เวลานี้หลายคนต่างก็เริ่มกระวนกระวายใจและแสดงออกว่าเห็นด้วยกับหานเถี่ยซิน และจ้าวเจี่ยหมิง..
“นั่นสิ!เวลานี้ตระกูลหลิงของพวกท่านถึงกับกล้าเป็นศัตรูกับตระกูลเฉิน และตระกูลซันจนถึงขั้นจะประลองกันแบบนี้ แต่พวกเรากลับต้องมาเสี่ยงกับตระกูลหลิงเช่นนี้ พวกเราก็ยากที่จะรับไหวนะ..”
บางคนถึงกับพุ่งเข้าไปเกาะแขนหลิงเย่วไว้พร้อมกับอ้อนวอนว่า..
“คุณหลิง..ได้โปรดให้พวกเราถอนหุ้น และคืนเงินลงทุนให้กับพวกเราเถิด รอให้ตระกูลหลิงเสร็จสิ้นการประลองกับตระกูลเฉินและตระกูลซันก่อน แล้วพวกเราค่อยมาลงทุนร่วมกันใหม่อีกครั้ง!”
………. ไอลีนโนเวล
หลังจากถูกหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงปั่นหัว นักธุรกิจคนอื่นๆอีกราวสิบกว่าคนก็เริ่มตื่นตระหนก และกระวนกระวายใจอย่างมากเช่นกัน พวกเขาเกรงว่าตระกูลหลิงจะไม่ยอมคืนเงินลงทุนให้..
และในเวลานี้..ภายในห้องรับแขกก็เริ่มโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างก็พากันร้องตะโกนโวยวายออกมา และหันไปทางหลิงเย่ว ไม่มีสักคนที่สนใจหลิงหยุนซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า
“พวกเจ้าสองคนหุบปากได้แล้ว!”
จู่ๆสายตาของหลิงหยุนก็พุ่งเป้าไปที่หานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิง พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ดุดัน
“พวกเจ้าสองคนไม่คิดว่าตนเองทำเกินไปหน่อยรึ”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางเหล่ากุ่ยพร้อมกับสั่งว่า“เหล่ากุ่ย.. จัดการสั่งสอนพวกมันแทนข้า!”
“ขอรับ..ผู้นำตระกูล!”
เหล่ากุ่ยเองก็เริ่มหมดความอดทนเช่นกันหลังจากที่ได้รับคำสั่งจากหลิงหยุน เขาก็ตรงเข้าไปยืนตรงหน้าหานเถี่ยซิน และเงื้อมือขึ้นตบเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างแรง..
เพียะ..เพียะ.. เพียะ..
เสียงฝ่ามือกระทบกับใบหน้ารวเจ็ดแปดครั้งดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องรับแขก..
หลังจากตบหน้าหานเถี่ยซินเสร็จแล้วเหล่ากุ่ยก็เดินตรงเข้าไปหาจ้าวจิ่งหมิง และจัดการตบหน้าเขาไปมาราวเจ็ดแปดครั้งเช่นกัน!
หลังจากตบหน้าทั้งสองคนที่คอยสร้างความปั่นป่วนขึ้นภายในห้องแล้วทุกคนต่างก็พากันเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจดังขึ้นให้ได้ยินด้วยซ้ำไป!
และเวลานี้..คนอื่นๆที่อยู่ภายในห้องก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป และต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ!
นั่นเพราะภาพที่ทุกคนในห้องเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือ..ทั้งหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงต่างก็มีเลือดไหลกลบปาก ใบหน้าทั้งสองข้างมีรอยนิ้วมือสีแดงประทับอยู่ และเวลานี้ใบหน้าของทั้งคู่ก็เริ่มบวมเปล่งราวกับซาลาเปาลูกใหญ่!
“โอ๊ย..”
“โอ๊ย..”
หลังจากเหล่ากุ่ยตบหน้าไปราวสิบวินาทีเสียงกรีดร้องเจ็บปวดก็ดังตามขึ้นมา ดูเหมือนว่าทั้งคู่เพิ่งจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังจากที่หายตกใจ..
หลิงหยุนยังคงนั่งยิ้มดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่หานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงในขณะที่พูดออกไปว่า
“พวกเจ้าพูดอีกสิ!หรือยังอยากจะขึ้นให้ได้ยินด้วยซ้ำไป!
และเวลานี้..คนอื่นๆที่อยู่ภายในห้องก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป และต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ!
นั่นเพราะภาพที่ทุกคนในห้องเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือ..ทั้งหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงต่างก็มีเลือดไหลกลบปาก ใบหน้าทั้งสองข้างมีรอยนิ้วมือสีแดงประทับอยู่ และเวลานี้ใบหน้าของทั้งคู่ก็เริ่มบวมเปล่งราวกับซาลาเปาลูกใหญ่!
“โอ๊ย..”
“โอ๊ย..”
หลังจากเหล่ากุ่ยตบหน้าไปราวสิบวินาทีเสียงกรีดร้องเจ็บปวดก็ดังตามขึ้นมา ดูเหมือนว่าทั้งคู่เพิ่งจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังจากที่หายตกใจ..
หลิงหยุนยังคงนั่งยิ้มดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่หานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงในขณะที่พูดออกไปว่า
“พวกเจ้าพูดอีกสิ!หรือยังอยากจะโวยวายอะไรอีกหรือไม่”
เวลานี้ทั้งหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมากทั้งคู่ยังคงอยู่ในอาการตกใจ และหวาดกลัวจนพูดไม่ออก พร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่าเหตุใดหลิงหยุนจึงกล้าใช้กำลัง และไม่สนใจกฏเกณฑ์กติการเช่นนี้!
ทั้งคู่กำลังสองจิตสองใจว่าจะพูดอะไรออกไปดีหรือไม่แต่แล้วก็เลือกที่จะกล้ำกลืนคำพูดต่างๆกลับเข้าไป นั่นเพราะทั้งคู่ต่างก็ตระหนักแล้วว่า.. หากพวกเขายังคงโวยวายสร้างความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง คงต้องถูกตบหน้าอีกเป็นแน่ หรือไม่ก็อาจถูกซ้อมจนปางตายก็เป็นได้!
และวิธีแก้ปัญหาของหลิงหยุนก็ง่ายๆไม่มีอะไรมาก!
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงพร้อมกับกำชับด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน..
“ข้าขอเตือนพวกเจ้าสองคน..หากยังพยายามจะก่อกวน และสร้างความวุ่นวายขึ้นอีกครั้งก่อนที่ข้าจะจัดการแก้ปัญหาต่างๆเสร็จสิ้น ข้าจะฉีกปากพวกเจ้าทั้งคู่ และถอดกรามของพวกเจ้าทิ้งซะ!”
เวลานี้ภายในห้องรับแขกกลับเงียบสนิทยิ่งกว่าเดิมไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดออกมาแม้แต่คำเดียว และเวลานี้ทุกคนในห้องต่างก็พร้อมใจกันหันหน้าไปทางเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว..
และเวลานี้..ก็ไม่มีใครกล้าที่จะไม่เห็นหลิงหยุนอยู่ในสายตาอีก!
หลิงเย่วที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับยิ้มออกมา
ระหว่างนั้นหลิงเย่วที่ยืนดูอยู่เงียบๆก็ถึงกับยิ้มออกมากับวิธีการแก้ปัญหาของหลิงหยุน เพราะเวลานี้ทุกคนในห้องก็หน้าเหลือเพียงแค่สองนิ้ว!
หลังจากที่จัดการกับหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิงแล้วหลิงหยุนก็กวาดสายตามองไปยังคนอื่นๆ ที่พากันลุกขึ้นโวยวายตาม แต่ทั้งหมดก็รีบก้มหน้าลง และไม่มีใครกล้ามองหน้าหลิงหยุนเลยแม้แต่คนเดียว!
และจู่ๆหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นตบลงบนโต๊ะเสียงดังปัง!
คนที่ยืนก้มหน้านิ่งด้วยความหวาดกลัวอยู่แล้วนั้นถึงกับตกใจ และแทบจะกระโจนออกจากตรงนั้น และวิ่งหนีออกไปทันที!
จากนั้น..ในมือของหลิงหยุนก็ปรากฏสมุดเช็คเล่มหนึ่ง เขายกสมุดเช็คในมือขึ้นโบกไปมา พร้อมกับฉีกยิ้มและประกาศเสียงดังว่า
“เอาล่ะ..ข้าไม่อยากพูดมากให้เสียเวลา มาเริ่มแก้ปัญหากันเลยดีกว่า!”
หลิงหยุนจ้องมองไปทางเหล่านักธุรกิจที่อยู่ในห้องรับแขกพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ..
“ที่พวกเจ้ารีบร้อนมาตระกูลหลิงก็เพราะต้องการมาถอนหุ้น และยกเลิกโครงการต่างๆที่เคยร่วมทำกับตระกูลหลิงใช่หรือไม่”
แต่ทุกคนในห้องต่างก็เอาแต่นิ่งเงียบ..ทุกคนต่างก็หวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา และไม่กล้าแม้แต่จะตอบคำถามของหลิงหยุน เพราะเกรงว่าหากพูดอะไรผิดไป ก็จะมีสภาพไม่ต่างจากหานเถี่ยซินและจ้าวจิ่งหมิง
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ตอนนี้ข้าต้องการจะแก้ปัญหาให้กับพวกเจ้าแล้ว เหตุใดยังนิ่งเงียบกันอยู่ได้ จะพูดหรือไม่พูด?”
“ตอบมา..ใช่หรือไม่ใช่”
เสียงของหลิงหยุนดังกระหึ่มราวกับมังกรคำรามและแทงทะลุเข้าไปในแก้วหูของทุกคนภายในห้อง!
นักธุรกิจนับสิบๆคนในห้องต่างก็พากันพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าวเปลือกอยู่เช่นนั้นแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร และเวลานี้ทุกคนต่างก็มีเหงื่อไหลท่วมตัวเต็มไปหมด.. “ดีมาก..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าในที่นี้คงจะรู้หมดแล้วสินะว่า อีกสามวันข้างหน้าจะเป็นวันประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเฉิน และตระกูลซัน”
ทุกคนในห้องต่างก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง..
“พวกเจ้าคงมั่นใจว่าตระกูลหลิงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กันประลองสินะ”
“แต่ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ล่วงหน้าว่าครั้งนี้หากพวกเจ้าตัดสินใจผิด และตระกูลหลิงเกิดเป็นฝ่ายชนะขึ้นมา ถึงตอนนั้นพวกเจ้าอยากจะกลับมาร่วมลงทุนกับตระกูลหลิงอีก ตระกูลหลิงของเราจะไม่ให้โอกาสพวกเจ้าเช่นกัน!”
หลังจากหลิงหยุนพูดจบทุกคนในห้องก็เอาแต่นิ่งเงียบ แต่ไม่พยักหน้าดังเช่นก่อนหน้าอีกเลยแม้แต่คนเดียว!
แต่ถึงแม้พวกเขาจะไม่พยักหน้าและไม่พูดอะไรออกมา แต่ในแววตาของพวกเขาทุกคนก็แฝงไว้ด้วยความดูถูกเหยียดหยัน เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต่างก็ไม่เชื่อว่าตระกูลหลิงจะเป็นฝ่ายชนะ!
ในสายตาของพวกเขา..ตระกูลหลิงจัดอยู่ในอันดับสุดท้ายของตระกูลใหญ่ และห่างไกลจากตระกูลเฉินกับตระกูลซันมาก หนำซ้ำตอนนี้ตระกูลเฉินกับตระกูลซันยังประกาศร่วมมือกันที่จะจัดการกับตระกูลหลิงเช่นนี้ ตระกูลหลิงยังคิดว่าจะมีโอกาสชนะได้อีกอย่างนั้นหรือ
เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็คงต้องรอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกเสียก่อนกระมัง!
และหากพวกเขายังเชื่อว่าตระกูลหลิงจะเป็นฝ่ายชนะการประลองในครั้งนี้พวกเขาก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก!
หลิงหยุนเห็นสีหน้าและแววตาของเหล่านักธุรกิจตรงหน้าแล้วแต่ก็ไม่ใส่ใจนัก เพราะต่อให้เขาประกาศว่าตระกูลหลิงจะกลับขึ้นมาผงาดในปักกิ่งอีกครั้ง คนเหล่านี้ก็ไม่เชื่อ และต้องการที่จะถอนหุ้นออกจากธุรกิจของตระกูลหลิงอยู่ดี!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ข้ายังมีคำพูดประโยคหนึ่งจะพูดกับทุกคน..”
“ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นพวกเจ้าทุกคนควรต้องคิดใคร่ครวญ และไตร่ตรองให้มาก อย่าปล่อยให้ผู้ใดปั่นหัว หรือว่าชักจูงได้ง่ายๆ จนท้ายที่สุดพวกเจ้ากลับต้องเป็นฝ่ายสูญเสียประโยชน์ที่ควรจะได้ไป..”
ระหว่างที่เหล่านักธุรกิจนิ่งเงียบอยู่นั้นหลิงหยุนก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไรมากนัก เพียงแค่ตักเตือนสั้นๆ แล้วหันไปทางหลิงเย่วพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“ท่านลุงสอง..ข้าขอรบกวนให้ท่านช่วยไปนำสมุดบัญชีมาที จะได้จัดการคืนเงินให้กับพวกเขาตามที่ต้องการ!”
แต่หลิงเย่วกลับยิ้มและตอบไปว่า“ไม่จำเป็น.. ทุกอย่างอยู่ในหัวของข้าหมดแล้ว!” หลิงหยุนพยักหน้าและจัดการเปิดสมุดเช็คบนโต๊ะออก..
……
“จริงเหรอ!”
“นี่จะคืนเงินให้กับพวกเราจริงๆหรือนี่!”
ตัวแทนจากตระกูลเล็กๆสิบกว่าตระกูลที่มานั่งรวมกันอยู่ในห้องหลังจากที่เห็นหลิงหยุนสั่งคนตบหน้าหานเถี่ยนซินและจ้าวจิ่งหมิงจนบวมเป็นซาลาเปาแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกตกใจ และหมดหวัง ทุกคนในห้องต่างก็คิดว่าเงินทองที่นำมาลงทุนกับตระกูลหลิงนั้น คงต้องสูญเปล่าไม่มีทางได้กลับคืนแน่แล้ว..
เพราะดูจากวิธีการแก้ปัญหาของหลิงหยุนแล้วทุกคนต่างก็คิดว่าหลิงหยุนจะต้องเป็นพวกไร้เหตุผล และชอบใช้กำลัง พวกเขาแอบคิดอยู่ในใจแล้วว่า ขอเพียงแค่กลับออกไปจากตระกูลหลิงได้อย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า.. หลิงหยุนจะทำการคืนเงินให้กับพวกเขาจริงๆ! ทุกคนในห้องต่างก็พากันประหลาดใจแต่ก็ยังลังเล และไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งเห็นหลิงหยุนเปิดสมุดเช็คตรงหน้าออก ทุกคนจึงได้แต่แอบดีใจอยู่เงียบๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร