–ไห่เผิง..แต่เจ้ามั่นใจได้ว่าตระกูลเย่จะไม่ทำอะไรตระกูลเฉินแน่!-
–คืนนี้ข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ..หากในวันประลองตระกูลเฉินดูเหมือนจะเสียท่าพ่ายแพ้ให้กับตระกูลหลิง เจ้าก็รีบให้คนส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้กับตระกูลเย่ทันที!-
–ที่ข้าเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นก็ด้วยวัตถุประสงค์สองเรื่องเท่านั้น..-
–เรื่องแรก..หลังจากนี้ไปสามวันหากตระกูลเฉินเป็นฝ่ายชนะการประลอง ขอให้ตระกูลเย่ช่วยเจรจากับตระกูลหลง ไม่ให้พวกเขาเล่นงานตระกูลเฉินของเรา!-
–ส่วนเรื่องที่สอง..หากตระกูลเฉินของเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ขอให้ตระกูลเย่ช่วยปกป้องทายาทตระกูลเฉินที่ไม่ได้เข้าร่วมประลองในครั้งนี้ด้วย อย่าให้หลิงหยุนสังหารคนตระกูลเฉินตายจนหมด เพื่อตระกูลเฉินจะได้ไม่สูญสิ้น และอย่างน้อยก็ยังมีทายาทเหลืออยู่!-
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้..เฉินจิ้งเฉวียนก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า –แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังมีวิธีที่จะทำให้ตระกูลหลงอยู่ในกำมือข้าได้เช่นกัน!-
–ไห่เผิง..ที่ตระกูลเฉินจำเป็นต้องจัดการกับตระกูลหลงให้ได้นั้น เพราะตระกูลหลงมีโลหิตมังกร ส่วนตระกูลเฉินของเราก็มีประคำโลหิต หากใช้ของวิเศษสองสิ่งนี้ร่วมกัน จะทำให้ตระกูลเฉินของเราเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันตาเห็น และจะสามารถขึ้นมาผงาดเคียงคู่กับตระกูลหลงได้ไม่ยาก..-
–แต่ตอนนี้ประคำโลหิตของตระกูลเฉินได้ถูกหลิงหยุนแย่งชิงไปแล้วตระกูลหลงเองก็คงระแคะระคายเรื่องนี้ และต้องการที่จะได้ประคำโลหิตมาครองครองเช่นกัน!-
–แต่ด้วยอุปนิสัยของหลิงหยุนข้าเชื่อว่ามันเองก็คงจะไม่ยอมมอบประคำโลหิตให้กับตระกูลหลงเช่นกัน! เพราะหลังจากที่รู้ว่าหลิงหยุนครอบครองน้ำลายมังกรอยู่ ตระกูลหลงก็ได้ส่งคนไปขอน้ำลายมังกรจากหลิงหยุนหลายครั้งหลายครา แต่จนถึงบัดนี้หลิงหยุนก็ยังไม่ยอมมอบให้แม้แต่หยดเดียว..-
–ด้วยเหตุนี้..หลังจากที่มีการท้าประลองในครั้งนี้เกิดขึ้น ข้าจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตระกูลหลงจะต้องเตรียมการอะไรบางอย่าง ที่แม้แต่ข้าเองก็ยากจะคาดเดาได้!-
–และหากข้าเดาไม่ผิด..ครั้งนี้ตระกูลหลงคงต้องรอจนกระทั่งสองฝ่ายต่อสู้เสร็จสิ้นจนรู้ผลแพ้ชนะ และต่างฝ่ายต่างสูญเสียไปมากแล้ว ตระกูลหลงจึงค่อยปรากฏตัวออกมาเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์!-
เฉินไห่เผิงนั่งฟังเฉินจิ้งเฉวียนวิเคราะห์ท่าทีของตระกูลหลงนิ่งเงียบแต่ถึงกระนั้นก็อดที่จะถามออกมาด้วยความตกใจไม่ได้
“ลุงใหญ่..ท่านเชิญยอดฝีมือมามากมายถึงเพียงนี้ ยังเกรงว่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกงั้นรึ!”
เฉินจิ้งเฉวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด–เจ้าอย่าลืมว่าหลิงหยุนเป็นผู้บ่มเพาะตน แม้แต่ซันเจิ้นหวู่ยังกังวลว่าหลิงหยุนจะมีลูกเล่นใดเก็บซ่อนไว้อีกบ้าง-
จากนั้นจึงจ้องหน้าเฉินไห่เผิงพร้อมกับพูดต่อว่า–ผู้ที่สามารถรวมเอาพุทธ เต๋า และมารไว้ในตัวคนเดียวได้เช่นนั้น จะต้องไม่ใช่คนธรรมดา และคนเช่นนี้ยากนักที่จะพบเจอ หลิงหยุนจึงนับว่าเป็นยอดฝีมือที่ล้ำเลิศ และหาได้ยากยิ่งนัก!-
–อีกอย่าง..เจ้าลืมแล้วรึว่าหลิงหยุนมาจากที่ใด เขามาจากเมืองจิงฉู..-
–และคำโบราณที่เล่าขานกันต่อๆมาว่า‘เมื่อใดก็ตามที่จักรพรรดิแห่งมนุษย์ และจักรพรรดิแห่งพิภพถือกำเนิดขึ้นที่จิงฉู เมื่อนั้นใต้หล้าจะมีเพียงผู้เดียวที่ได้ครอบครอง’ คำเล่าขานนี้เจ้าลืมแล้วงั้นรึ-
เฉินไห่เผิงถึงกับตกใจจนอ้าปากค้างเขาคิดไม่ถึงว่าในความคิดของเฉินจิ้งเฉวียนนั้น หลิงหยุนจะเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ จึงได้แต่ร้องถามออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
“ลุงใหญ่..หลิงหยุนคือคนผู้นั้นจริงๆงั้นรึ” เฉินจิ้งเฉวียนได้แต่ถอนหายใจและตอบไปว่า –เจ้าก็รู้ว่าตระกูลเฉินของเรานั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด! หากไม่ใช่.. เหตุใดข้ายังต้องลงทุนลงแรงไปเชิญเหล่ายอดฝีมือมากมายให้มาช่วยด้วยเล่า-
เฉินไห่เผิงพยักหน้าด้วยความรู้สึกอึดอัดเมื่อรับรู้ได้ถึงความหนักใจของเฉินจิ้งเฉวียนและตัวเขาเองก็ถึงกับผิดหวังจนพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน..
–แต่พวกเราต้องรอคอยความช่วยเหลือจากตระกูลเย่และต้องสืบให้ได้ว่าหลิงเจิ้นพัวพันกับเรื่องนี้อย่างไร-
เฉินไห่เผิงเองก็รู้สึกสงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน..
เฉินจิ้งเฉวียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า–ไห่เผิง.. ข้าว่าเรื่องราวในวันนี้น่าจะเกี่ยวพันถึงเหตุการณ์ใหญ่สองครั้งในอดีต!-
–เรื่องแรกเกิดขึ้นเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน..และครั้งนั้นทำให้สมาชิกตระกูลหลิงเกือบถูกเหล่าชาวยุทธสังหารตายทั้งหมด!”
–ข้าไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าได้เล่าให้เจ้าฟังหรือไม่ว่า..ผู้ที่จุดชนวนการต่อสู้อย่างดุเดือดในครั้งนั้นก็คือหลิงเจิ้น ตระกูลเย่ และตระกูลหลง!-
–ส่วนอีกเรื่องก็คือเหตุการณ์เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน..ครั้งนั้นข้ายังเป็นหนุ่ม และนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาเป็นเลิศคนหนึ่ง แม้กระทั่งตระกูลหลง ตระกูลหลิง และตระกูลฉินยังไม่สามารถหายอดฝีมือที่เป็นเลิศเช่นข้าได้!-
–และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนั้นก็คือ..ยอดฝีมือล้ำเลิศจากตระกูลหลง ตระกูลหลิง และตระกูลฉิน ล้วนต้องออกจากตระกูลไป และไม่เคยได้กลับเข้ามาอีกเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นตายร้ายดีเช่นใด-
–และผู้ที่จุดชนวนให้เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็คือตระกูลเย่!-
เรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น..เฉินไห่เผิงฟังแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เรื่องเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนั้น เขาฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้างตาโตด้วยความตกใจ!
–เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนั้น..เรื่องที่เกี่ยวกับประเทศชาติล้วนเป็นความลับสุดยอด แต่ครั้งนั้นข้าเองก็ยังไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มนภา แต่เมื่อสามารถพัฒนาขั้นกำลังภายในของตนเองจนสามารถเข้าร่วมกับกลุ่มนภาได้ ข้าจึงค่อยๆสอบถามจากหลายๆฝ่าย และค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องเอา ทำให้ได้รู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติที่น่าตกใจ..-
–ไห่เผิง..มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ แท้จริงแล้วตระกูลเย่ก็คือตัวแทนจากเขาฉู่ซาน!-
แม้ว่าเฉินจิ้งเฉวียนจะยังคงพูดคุยกับเฉินไห่เผิงผ่านกระแสจิตแต่เขาก็ยังคงระมัดระวังอย่างที่สุด และคอยระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าจะมีผู้ใดมาแอบฟังสิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน..
เรื่องราวเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนั้นได้สร้างความตกอกตกใจให้กับเฉินไห่เผิงมากแล้วแต่เมื่อเทียบกับความลับที่น่าตกใจของตระกูลเย่นั้น เรื่องเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนั้นกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยทีเดียว..
เวลานี้เฉินไห่เผิงถึงกับนั่งอ้าปากค้างและดวงตาเบิกโพลงจนลูกตาแทบถลนออกมาจากเบ้า..
……
–เรื่องเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนนั้นช่างเถิด!แต่เรื่องของตระกูลหลิงเมื่อยี่สิบปีนั้น หลังจากที่ข้าได้ใคร่ครวญเป็นอย่างดีแล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์เมื่อสี่สิบปีก่อนอย่างแน่นอน..-
–เพราะในครั้งนั้น..ธิดาพรรคมารหยิงชิงเฉวียนได้เข้าไปตีสนิทกับหลิงเสี่ยว เพื่อหลอกสืบข่าวคราวเรื่องราวเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนจากเขา แต่กลับกลายเป็นว่านางได้หลงรักหลิงเสี่ยวเข้าจริงๆ จนในที่สุดก็ตั้งท้องและให้กำเนิดลูกชายขึ้นมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่า..-
–วันนี้หลิงหยุนลูกชายของนางกลับต้องกลายมาเป็นศัตรูกับตระกูลเฉินเช่นนี้!-
ในที่สุด..เฉินจิ้งเฉวียนก็แสดงความเสียใจออกมา เขาขบฟันแน่น และหากเป็นไปได้เขาก็แทบอยากจะตีอกชกหัวตัวเองด้วยความเคียดแค้นเช่นกัน!
เฉินไห่เผิงได้แต่นั่งมองหน้าของเฉินจิ้งเฉวียนเวลานี้ซึ่งเป็นสีหน้าที่เขาไม่เคยได้เห็นจากเฉินจิ้งเฉวียนมาก่อนเลย..
เฉินไห่เผิงนั่งมองหน้าเฉินจิ้งเฉวียนที่พร่างพรูคำพูดออกมามากมายราวกับว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ลุงกับหลานจะได้พูดคุยกันอีก..
จากนั้นเฉินจิ้งเฉวียนก็ร้องตะโกนออกมาอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ไว้ได้อีกแล้ว..
“หลิงหยุน!เจ้าสามารถรวมเอาพุทธ เต๋า และมารเข้าด้วยกันได้แล้วยังไง เจ้าเก่งกาจเหนือฟ้าแล้วยังไง? ต่อให้ตระกูลเฉินของข้าต้องล้มลุกคลุกคลาน ตระกูลเฉินของข้าก็จะเป็นผู้ตัดสินชะตาวชีวิตของเจ้าเอง!” “อีกสามวันข้างหน้า..ข้าจะเด็ดศรีษะของเจ้า และโลกทั้งโลกก็จะตกอยู่ในมือของตระกูลเฉิน!”
จู่ๆเฉินจิ้งเฉวียนก็ร้องตะโกนออกมาราวกับอสูรที่กำลังคลุ้มคลั่ง!
……
ในเขตพื้นที่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของปักกิ่ง..ภายในบ้านเดี่ยวหรูหราหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวงแหวนที่สี่.. ไอลีนโนเวล
ฉินตงเฉี่วยอยู่ในชุดนอนสีขาวสะอาดสะอ้านขับกับผิวพรรณนวลละออของนาง ดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก และเวลานี้ฉินตงเฉี่วยก็กำลังนั่งเอนกายอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ พร้อมกับจ้องมองกระบี่มังกรขาวที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหน้า
แต่แล้วจู่ๆก็ร้องตะโกนออกมา..
“ฉินฉางชิง..ท่านต้องใช้เวลาตัดสินใจนานเท่าไหร่กัน!”
“ไม่..ข้าจะไม่ให้เวลาเขาได้ใคร่ครวญนานกว่านี้แล้ว ขืนข้าให้เวลาต่อไปเรื่อยๆ ทั้งสองฝ่ายคงต้องประลองกันแล้วแน่ๆ!
“ฉินฉางชิง..ท่านจะต้องให้คำตอบกับข้าภายในคืนนี้!”
หลังจากบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วฉินตงเฉี่วยก็รีบหยิบเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาโทรหาใครบางคนทันที..
“นี่..ฉินฉางชิง! ท่านจะต้องใคร่ครวญไปถึงเมื่อไหร่กัน อีกเพียงแค่สามวันก็จะถึงวันประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินและตระกูลซันแล้ว..”
ฉินฉางชิงนั้นคุ้นเคยกับการที่ฉินตงเฉี่วยจะเรียกชื่อของตนแทนคำว่าพ่อเช่นนี้อยู่แล้วเขาจึงไม่ใส่ใจนัก และเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า
“ตงเฉี่วย..เรื่องนี้พ่อได้ใคร่ครวญ และพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ตระกูลฉินกับตระกูลหลิงไม่ได้ประกาศเป็นพันธมิตรกัน ตระกูลฉินของเราจึงไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประลองในครั้งนี้ดวย! “อะไรนะ!”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังคำตอบของฉินฉางชิงก็ถึงกับกระโจนลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความโมโห และร้องตะโกนถามฉินฉางชิงด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว..
“นี่ท่านจะไม่ช่วยตระกูลหลิงประลองเพียงเพราะไม่ได้ประกาศเป็นพันธมิตรกันงั้นรึฉินฉางชิง.. คิดไม่ถึงว่าท่านจะหัวโบราณ และมีความคิดคร่ำครึเช่นนี้! นี่ท่านบ้าไปแล้วงั้นรึถึงได้คิดเช่นนี้?!”
“หากท่านไม่อธิบายเหตุผลที่ข้าฟังแล้วพอใจพรุ่งนี้ข้าจะเป็นผู้ป่าวประกาศออกไปเองว่า ตระกูลฉินของเราจะประลองร่วมกับตระกูลหลิง แล้วข้าก็จะเป็นตัวแทนของตระกูลฉินเอง!”
ฉินฉางชิงถึงกับพูดอะไรไม่ออกและได้แต่ยิ้มอย่างอดทน และค่อยๆอธิบายเหตุผลให้กับฉินตงเฉี่วยฟังเป็นข้อๆ
“ตงเฉี่วย..ข้าเลือกที่จะไม่ประลองร่วมกับตระกูลหลิงก็ด้วยเหตุผลสามข้อ..” “ข้อแรก..ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ การประลองระหว่างเขา ตระกูลซัน และตระกูลเฉินนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องมีแต่ยอดฝีมือในขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้วทั้งสิ้น และตระกูลฉินของเรานั้น.. นอกจากหนิงหลิงยู่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมประลองในครั้งนี้ได้เลย..”
“เหตุผลข้อที่สอง..ข้าเข้าใจความต้องการของเจ้าดี เจ้าต้องการประกาศออกไปว่าตระกูลฉินเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิง ก็เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับตระกูลซัน และตระกูลเฉิน..
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า..แม้การประกาศเป็นพันธมิตรระหว่างตระกูลฉินกับตระกูลหลิง จะสามารถสร้างแรงกดดันให้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้จริง แต่ก็จะเป็นการกระตุ้นให้ตระกูลหลงกับตระกูลเย่ตื่นตัว และระมัดระวังตัวมากขึ้น และนั่นจะยิ่งเป็นผลร้ายกับหลิงหยุนมากกว่าผลดี!”
“เหตุผลข้อที่สาม..เรื่องของตระกูลฉินเดินหน้ามาถึงจุดสำคัญที่สุดแล้ว และอีกไม่เกินครึ่งปีทุกอย่างก็จะสำเร็จลุล่วง..”
“เจ้าลองใคร่ครวญดูสิ..ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของตระกูลฉินนี้ เจ้าจะให้ข้าไปประกาศเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิงได้อย่าางไรกัน”
หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลทั้งสามข้อของฉินฉางชิงฉินตงเฉี่วยก็เริ่มคล้อยตาม และอารมณ์ฉุนเฉียวก็เริ่มเบาบางลง..
แต่ถึงกระนั้น..ฉินตงเฉี่วยก็พูดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ “ฉินฉางชิง.. ท่านก็มีเหตุผลที่น่าฟังอีกตามเคย! ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องทำตามที่ท่านบอก แต่ส่วนตัวข้าจะไปช่วยหลิงหยุนประลองในครั้งนี้..”
ฉินฉางชิงเห็นว่าฉินตงเฉี่วยยอมฟังเหตุผลเช่นนี้จึงได้แต่หัวเราะออกมา และตอบกลับไปว่า “เจ้าจะไปร่วมประลองส่วนตัวไม่เกี่ยวกับตระกูลฉิน ก็เป็นเรื่องของเจ้า! แต่ข้าหลิงหยุนไม่มีทางให้เจ้าเข้าร่วมประลองในครั้งนี้ด้วยแน่!” ฉินตงเฉี่วยได้ฟังคำพูดของฉินฉางชิงก็ถึงกับโมโหและบอกกับเขาเสียงห้วนว่า “ท่านจะทำอะไรก็ไปทำเถิด เรียกหลิงยู่ให้ข้า.. ข้าต้องการคุยกับนาง!”
……….
ทางด้านตะวันตกของปักกิ่ง..บนถนนวงแหวนที่ห้าซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลเกา
หลังจากที่หลิงหยุนรักษาสมาชิกตระกูลเกาทั้งหมดให้หายจากการเป็นแวมไพร์แล้วทุกคนต่างก็เริ่มปรับตัว และสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว แต่ความเจ็บปวด ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และความอัปยศอดสูที่เคยได้รับนั้น ยังคงติดแน่นอยู่ในใจของพวกเขาทุกคน และยากที่จะลบเลือนได้..
ในวันเคารพหลุมศพบรรพชนนั้นตระกูลเกาเองก็ไปเคารพหลุมศพบรรพชนเช่นกัน แต่สุสานตระกูลเกานั้นอยู่คนละที่กับสุสานของตระกูลหลิง ตระกูลซัน และตระกูลเฉิน
ตระกูลเกานั้นทำธุรกิจมานานหลายปีอำนาจอิทธิพลจึงแผ่กระจายอยู่ในปักกิ่งไม่น้อย และเมื่อกลับเข้าสู่แวดวงธุรกิจอีกครั้ง จึงสามารถทำให้วงการธุรกิจในปักกิ่งนั้นสั่นสะเทือนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แม้แต่สื่อต่างๆ ก็ยังนำเสนอข่าวของตระกูลเกาไม่เว้นแต่ละวัน..
หลังจากที่กลับเข้าบ้านตระกูลเกาแล้ว..เกาจิ้นสง และสมาชิกตระกูลเกาก็เริ่มทรมานเฉินเจี้ยนกุ่ย และบีบให้มันตอบคำถามต่างๆในเรื่องที่พวกเขาต้องการรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เฉินเจี้ยนกุ่ยเอาความลับตระกูลเกาไปทำอะไรบ้าง จากนั้นจึงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว..
และการทรมานที่เฉินเจี้ยนกุ่ยได้รับภายในบ้านตระกูลเกานั้นก็หนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่อยู่ในคุกตระกูลหลิงอย่างมากมาย เพราะมันคือการระบายความแค้นของคนตระกูลเกา ด้วยเหตุนี้.. จึงแทบไม่ต้องพูดถึงว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยต้องทรมานเจ็บปวดมากมายเพียงใด ……
ในโลกของนักธุรกิจนั้น..แข่งขันกันด้วยอำนาจ และเงินตราเท่านั้น!
ในเมื่อเกาจิ้นสงยังมีชีวิตอยู่และได้กลับเข้าสู่วงการธุรกิจอีกครั้ง เขาจึงสามารถพลิกฟื้นตระกูลเกาให้กลับมามีอำนาจเช่นเดิมได้!
ในช่วงเวลานี้..ตระกูลเฉินกับตระกูลซันก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องการเตรียมตัวสำหรับการประลองที่กำลังจะมาถึง จึงไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวของตระกูลเกานัก อีกทั้งในสายตาของตระกูลเฉินนั้น ตระกูลเกาไม่มียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่เลย จะมีอำนาจอิทธิพลก็เพียงเฉพาะกับโลกของนักธุรกิจในปัจจุบันเท่านั้น!
เวลานี้..ในหัวของคนตระกูลเฉินมีเพียงแค่เรื่องตระกูลหลิงเท่านั้น และตราบใดที่พวกเขาสามารถกำจัดตระกูลหลิงได้ การจะกำจัดตระกูลเกาก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป..
แต่เป็นเพราะความหายนะในครั้งนั้นได้สอนให้ตระกูลเกาได้รู้ว่าที่ตระกูลเกาต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ ก็เพราะไม่มียอดฝีมือที่เก่งกาจจริงอยู่ในตระกูลเลยแม้แต่คนเดียว!
และด้วยเหตุนี้..เกาเทียนหลงจึงมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย!
ส่วนเกาเฉินเฉินนั้นหลังจากแยกย้ายกับหลิงหยุนนางก็คิดถึงหลิงหยุนอย่างมาก และพยายามโทรหาแต่ก็โทรไม่ติด! และไม่กล้าที่จะไปพบหลิงหยุนที่บ้านตระกูลหลิง เพราะเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย อีกทั้งเกาจิ้นสงก็ได้สั่งห้ามไม่ให้เกาเฉินเฉินไปบ้านตระกูลหลิงหากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาด้วย..
……….
เกาเฉินเฉินถูกเรียกให้ไปพบและเกาจิ้นสงก็พูดขึ้นว่า “เฉินเฉิน.. ใช่ว่าปู่จะไม่อยากให้เจ้าไปพบหลิงหยุน แต่ต่อให้เจ้าไปพบเขาตอนนี้ เขาก็คงไม่มีเวลาพบเจ้าอยู่ดี!”
“เจ้าเองก็รู้ว่าเวลานี้หลิงหยุนต้องเตรียมตัวประลองกับตระกูลซันและตระกูลเฉินเจ้าไปก็รังแต่จะสร้างความวุ่นวายให้กับเขาเสียมากกว่า..” จากนั้นเกาจิ้นสงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย“หลิงหยุนคงจะรู้ดีว่าในการต่อสู้กับตระกูลเฉินและตระกูลซันครั้งนี้ ตระกูลเกาของเราไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ เขาจึงได้นิ่งเงียบไปไม่ติดต่อมาเช่นนี้!”
แต่แล้วเกาจิ้นสงก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แต่ถึงแม้เด็กนั่นจะไม่ต้องการให้ตระกูลเกาเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตระกูลเกาของเราก็จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้ได้!”
เกาเฉินเฉินยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจที่เกาจิ้นสงตัดสินใจเช่นนี้..
“ตามกฏการประลองแล้ว..พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ตระกูลหลิงต้องประกาศสถานที่ประลองให้ตระกูลซันกับตระกูลเฉินรู้แล้ว ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราตระกูลเกาจะไปแสดงตัว และประกาศสนับสนุนตระกูลหลิงอย่างเต็มตัว!”
เกาเฉินเฉินถึงกับร้องถามออกมาอย่างตกใจ“ท่านปู่.. ท่านปู่หมายความอย่างไร”
เกาจิ้นสงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้เป็นวันที่ 28 เดือน 8นับว่าป็นวันดี ข้าก็จะไปตระกูลหลิงประกาศความสัมพันธ์ของเจ้าสองคนที่บ้านตระกูลหลิงน่ะสิ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร