หลิงหยุนถึงกับตกใจไม่น้อย!
“ฮ่า..ฮ่า.. ดูข้าสิ! ตื่นเต้นมากจนทำถ้วยชาแตกทีเดียว!”
หลิงเย่วหยิบผ้าขนหนูบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดพร้อมกับพูดออกมาด้วยท่าทางสบายๆไม่รีบร้อน..
“หลิงหยุน..เจ้าไม่ต้องกังวลใจเรื่องของหลิงเจิ้นอีกแล้ว!”
“เอาล่ะ..เรื่องที่ควรต้องพูดต้องบอกให้เจ้ารู้ ข้าเองก็บอกกับเจ้าไปจนหมดแล้ว จากนี้เจ้าจะตัดสินใจทำเช่นใด ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว!”
หลังจากที่เก็บเช็ดทำความสะอาดโต๊ะแล้วหลิงเย่วก็จัดการรินชาลงไปในแก้วใบใหม่ พร้อมกับยกขึ้นจิบ และพูดกับหลิงหยุนต่อ..
“ขอบคุณลุงสอง!หลายวันมานี้ข้าทำให้ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยนัก!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าตลอดสี่ห้าวันที่เขาไม่ได้กลับเข้าตระกูลหลิงนั้นหลิงเย่วไม่เพียงต้องยุ่งกับเรื่องของตระกูลซันและตระกูลเฉิน แต่ยังต้องคอยต้อนรับแขกคนสำคัญที่ทยอยเข้ามาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงอย่างต่อเนื่องด้วย อีกทั้งยังต้องคอยปลอบประโลมจิตใจหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และหลิงหย่ง หลายวันมานี้เขาจึงต้องมีภารกิจวุ่นวายอย่างมากทีเดียว.
“นี่เจ้าเด็กตัวแสบ..”
หลิงเย่วจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับแสร้งทำน้ำเสียงดุดัน“ต่อจากนี้ไป.. ห้ามเจ้าหายตัวไปเงียบๆเช่นนี้อีก อย่าลืมว่าเวลานี้เจ้าคือผู้นำตระกูลซึ่งเป็นเสาหลักของตระกูลหลิงเรา การที่เจ้าหายตัวไปเช่นนี้ ทำให้ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ในหลายๆเรื่องเลยทีเดียว!”
“ฮ่า..ฮ่า.. ลุงสอง! เรื่องในตระกูลหลิงทั้งหมดท่านตัดสินใจแทนข้าได้เลย เพราะทุกเรื่องที่ท่านตัดสินใจทำลงไป ล้วนแล้วแต่ต้องผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีเยี่ยมแล้ว ย่อมต้องเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่าข้าเป็นแน่..”
หลิงหยุนรีบพูดจาประจบเอาใจหลิงเย่วขึ้นมาทันที..
แต่หลิงเย่วก็เพียงแค่ยิ้มและคร้านที่จะต่อปากต่อคำกับหลิงหยุน จึงเป็นฝ่ายถามถึงแผนการที่หลิงหยุนคิดจะตระเตรียมให้กับตระกูลหลิงในวันข้างหน้าต่อไป..
“ช่างเถิด!ในเมื่อเจ้าเองก็กลับมาแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก ว่าแต่จากนี้ไปเจ้าคิดอ่านเช่นใดงั้นรึ!”
ในเมื่อเรื่องของหลิงเจิ้นก็มีทางออกแล้ว..ความกระอักกระอ่วนใจระหว่างหลิงหยุนกับสมาชิกตระกูลหลิงก็อันตธานหายไปด้วยเช่นกัน ที่เหลือก็แค่ลงมือทำเท่านั้น..
“เอ่อ..ข้าเองก็ไม่ได้วางแผนการอะไรไว้ และยังไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี” หลิงหยุนดูเหมือนจะมีท่าทีลังเลที่จะตอบ..
หลิงเย่วจึงยิ้มออกมาอย่างเข้าใจและพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เจ้าคือผู้นำตระกูล เจ้าจะตัดสินใจทำเช่นใดย่อมเป็นเรื่องที่สมควร อย่าได้คิดถึงจิตใจของข้าจนไม่กล้าพูดอะไรมากนัก จะให้เกิดความรู้สึกที่ตะขิดตะขวงใจเสียเปล่า..”
“ขอบคุณท่านลุงสอง..!”
หลิงหยุนต้องการฟังคำพูดประโยคนี้จากหลิงเย่ว..จากนั้นจึงตัดสินใจบอกเล่าเรื่องสำคัญที่ตนได้ลงมือจัดการไปแล้วให้หลิงเย่วฟัง
“เรื่องนี้ข้าเองก็เพิ่งจะสั่งเหล่ากุ่ยให้ไปจัดการแล้ว!
“ตระกูลหลิงจำเป็นต้องมีหน่วยข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพอย่างน้อยหน่วยข่าวกรองของตระกูลหลิงก็จะต้องไม่ด้อยไปกว่าหน่วยข่าวกรองของตระกูลหลงกับตระกูลเย่ ข่าวคราวใดที่ตระกูลหลงกับตระกูลเย่ล่วงรู้ ตระกูลหลิงจะต้องได้รู้ด้วยเช่นกัน และจะต้องล่วงรู้ก่อนหน้าทั้งสองตระกูลด้วย..”
หลิงเย่วได้ฟังจึงร้องถามขึ้นทันที“เจ้าคงจะให้องค์กรนักฆ่าช่วยฝึกฝนเรื่องนี้ให้กับนักรบตระกูลหลิงของเราให้สินะ”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปทันที“ถูกต้อง!”
หลิงเย่วได้ฟังก็ถึงกับยิ้มออกมา“เยี่ยมทีเดียว! เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ข้ากับเหล่ากุ่ยจะช่วยกันดูแลจัดการเรื่องนี้ให้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง!”
“เรื่องที่สอง..หลังจากที่เหล่าตระกูลเล็กทั้งสิบสองตระกูลยกเลิกสัญญาในธุรกิจต่างๆ กับตระกูลหลิง ธุรกิจมากมายจึงไร้คนบริหารจัดการ ตระกูลหลิงของเราจะทำเองทั้งหมดก็คงจะไม่สะดวกนัก ข้าจึงต้องการหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยบริหารจัดการแทน!”
“ไม่ทราบว่าท่านลุงพอจะมีคนที่ไว้ใจได้หรือไม่”
ระหว่างที่ไปพักอาศัยอยู่กับเย่ซิงเฉินหลายวันนั้นหลิงหยุนมักจะใช้เวลาว่างที่อยู่คนเดียวใคร่ครวญเรื่องต่างๆของตระกูลหลิง พร้อมกับคิดวางแผนไปด้วย ดวงตาของหลิงเย่วเป็นประกายขึ้นมาทันทีเขายิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดกระเซ้าเย้าแหย่ไปว่า
“หลิงหยุน..นักธุรกิจที่ข้ารู้จักก็ล้วนถูกเจ้าไล่กลับไปหมดแล้ว! ข้ายังจะเหลือใครที่เหมาะสมมาทำหน้าที่ได้อีกเล่า”
“ท่านลุงสอง..ฮ่า.. ฮ่า..”
“แต่ข้าก็พอมีอยู่หนึ่งคนในใจเจ้าลองเดาดูสิ!” หลิงเย่วร้องบอกหลิงหยุน
หลิงหยุนจึงพูดชื่อคนคนหนึ่งออกมาทันที“ตระกูลต่ง.. ต่งซานชวน!”
“ฮ่า..ฮ่า.. เจ้าเด็กคนนี้นี่!”
หลิงเย่วหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนแล้วตอบไปว่า.. “เจ้ากับข้าสมแล้วที่เป็นลุงเป็นหลานกัน! ดูเหมือนเจ้าจะล่วงรู้ความคิดของข้า ข้าเองก็นึกถึงต่งซานชวนเช่นกัน..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะด้วยความเก้อเขินแล้วจึงอธิบายให้กับหลิงเย่วฟังว่าเพราะเหตุใดตนถึงได้คิดว่าต่งซานชวนคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด!
“ลุงสอง..เท่าที่ข้ารู้มา ในวันที่เหล่านักธุรกิจมาขอยกเลิกสัญญานั้น ต่งซานชวนตั้งใจมาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิง และได้นำเงินจำนวนเจ็ดร้อยล้านหยวนมามอบให้กับตระกูลหลิงของเรา และเงินจำนวนนี้ต่งซานชวนก็ได้มาจากการขายทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลต่ง!”
หลิงหยุนอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านลุง.. การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการหยิบยื่นความอบอุ่นให้กับคนที่กำลังหนาวเหน็บ! มิตรภาพเช่นนี้ต่างหากเล่าที่ตระกูลหลิงของเราต้องการ..”
“กระทำการเช่นใด..ย่อมได้รับผลเช่นนั้น!”
หลิงเย่วพึมพำออกมาพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยกับหลิงหยุนแต่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูลังเลใจ “เพียงแต่.. ข้าเกรงว่าคนเช่นต่งซานชวนจะไม่ยอมรับน่ะสิ!” หลิงเย่วเงยหน้าขึ้นมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดต่อว่า“เรื่องนี้.. เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีเช่นกัน!”
หลิงหยุนเข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงเย่วดีแม้ว่าต่งยั่วหลานจะแต่งงานกับหลิงเสี่ยว แต่ตลอดหลายปีมานี้ ต่งซานชวนก็ไม่เคยอาศัยอำนาจบารมีของตระกูลหลิงหาผลประโยชน์เข้าตัวเลยแม้แต่น้อยนิด บุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่ง และไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดเช่นต่งซานชวนนั้น ใช่ว่าตระกูลหลิงจะสามารถพบพานได้ง่ายๆ ตระกูลหลิงจึงสมควรที่ต้องตอบแทนเขากลับไป..
“ฮ่า..ฮ่า.. เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับวาทศิลป์ของท่านลุงสองแล้วล่ะ!”
หลิงหยุนหยอกเย้าหลิงเย่วและทำเสียงกระซิบกระซาบ “ท่านลุงช่วยไปเจรจากับต่งซานชวนก่อน หากเขายังยืนกรานไม่ยอมรับข้อเสนอของเรา ข้าก็จะไปพบเขาด้วยตัวเองอีกครั้ง!”
“ได้สิ!ตกลงตามที่เจ้าบอก!” “เอ่อ..ยังมีอีกสองสามเรื่อง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญทั้งสิ้น!”
หลิงหยุนหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดต่อทันที “ลุงสอง.. ไม่ทราบว่าท่านพอจะมีผู้ใดที่เชี่ยวชาญเรื่องการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บ้างหรือไม่”
หลิงเย่วยิ้มพร้อมกับถามขึ้นอย่างรู้ใจ“อ่อ.. คงจะเกี่ยวกับเรื่องบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นของเจ้าสินะ”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับอธิบายให้หลิงเย่วฟัง“เวลานี้ผู้ที่ดูแลกิจการกลุ่มบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นของข้าทั้งหมดก็คือถังเมิ่ง เพียงแต่เขายังเด็กเกินไป ความรู้ ประสบการณ์ และมุมมองยังไม่กว้างไกลนัก หลังจากบริหารงานมาได้ร่วมเดือน เขาก็เริ่มบ่นกับข้าแล้วว่ามันเป็นงานที่ยากเกินไป เขาเองไม่สามารถที่จะรับมือได้ไหวอีกแล้ว..”
หลิงเย่วหัวเราะหึๆพร้อมตอบกลับยิ้มๆ “หลิงหยุน.. เวลานี้นักธุรกิจ และผู้คนในแวดวงสังคมชั้นสูงของประเทศนี้ ล้วนแล้วแต่รู้ว่าบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นนี้เป็นของเจ้า”
“เรื่องที่เจ้ากว้านซื้อธุรกิจมากมายในจิงฉูมาเป็นของตนเองนั้นตระกูลหลิงเองก็รับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเจ้า แม้ถังเมิ่งจะเป็นเด็กที่มีหัวทางด้านธุรกิจไม่ธรรมดา แต่ต่อให้เขาใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีช่วยเจ้าบริหารกิจการ แต่ก็คงเป็นเรื่องที่ยากเย็นเกินไปสำหรับเด็กอายุขนาดนี้..”
“หลิงหยุน..เจ้าคงจะรู้แล้วว่าหลังจากที่สิ้นชื่อตระกูลซันกับตระกูลเฉิน วันที่สองตระกูลหลี่ก็ได้ส่งคนสำคัญของตระกูลมาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงทันที และได้ปรึกษาหารือกับข้าถึงเรื่องสำคัญหลายเรื่องในปักกิ่ง แต่เจ้าคงจะยังไม่รู้ว่าตระกูลหลี่ได้แสดงเจตจำนงค์อย่างชัดเจนที่จะลงทุนในกลุ่มบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นของเจ้า..”
“…..”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบอะไร
หลิงเย่วจึงพูดต่อทันที“เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้.. เจ้าว่าเด็กอย่างถังเมิ่งจะรับมือไหวงั้นรึ”
“ไม่เพียงแค่ตระกูลหลี่เท่านั้น..ตระกูลเล็กอื่นๆ ล้วนแล้วแต่จมูกไวไม่ต่างจากจมูกมด เวลานี้ทุกคนต่างก็พากันเข้าหาตระกูลหลิงของเราเพื่อหวังพึ่งใบบุญ เวลานี้ตระกูลหลิงจึงไม่ต่างจากต้นไม้ใหญ่ที่เหล่านกาจะบินมาเกาะอาศัย..”
“ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงหยุนที่นั่งฟังอยู่ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างขบขันและร้องอุทานออกมา “มิน่า.. หลายวันนี้ถังเมิ่งถึงได้กระหน่ำส่งข้อความมาให้ข้ามากมายนับไม่ถ้วน ทุกข้อความล้วนคร่ำครวญว่าตนเองจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว! ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
หลิงเย่วได้ฟังก็ถึงกับหัวเราะออกมาเช่นกัน“ฮ่า.. ฮ่า.. นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ตระกูลหลิงของเราผงาดขึ้นมาเช่นนี้ คงจะมีเรื่องให้วุ่นวายปวดหัวตามมาอีกมากมายทีเดียว!” “ลุงสอง..ท่านหมายความเช่นใดงั้นรึ!”
“ข้าก็หมายความว่า..ไม่มีตระกูลซันกับตระกูลเฉินแล้ว อีกทั้งตระกูลหลงกับตระกูลเย่ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหวเช่นนี้ ปักกิ่งคงต้องวุ่นวายเป็นแน่!”
“และในช่วงเวลาที่ตระกูลหลิงได้ผงาดขึ้นมาเป็นเสาหลักทั้งสามพร้อมกับตระกูลหลงและตระกูลเย่เช่นนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าและสำคัญยิ่งสำหรับตระกูลหลิงของเราอีกด้วย!”
“เวลานี้..เรื่องในจิงฉูไม่สำคัญเท่ากับเรื่องในปักกิ่ง เจ้าเรียกถังเมิ่งมาปักกิ่ง และให้เขาติดตามเรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจจากข้า หรือไม่ก็ให้เขาโทรปรึกษาข้า ประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ก็ได้..”
“เจ้าคิดเห็นเช่นใด!”หลิงเย่วเสนอวิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้กับหลิงหยุนพร้อมกับสอบถามความเห็น..
หลิงหยุนตบต้นขาพร้อมกับร้องออกมาอย่างตื่นเต้น“เยี่ยมมาก! ลุงสองท่านช่วยให้ข้าหายปวดหัวได้มากทีเดียว!”
หลิงเย่วหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้ามีเรื่องอะไรก็บอกข้ามา.. ข้าพร้อมที่จะช่วยเจ้าแบ่งเบาอยู่แล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ข้ายังมีน้องชายอีกหนึ่งคนชื่อว่าตี้เสี่ยวอู๋..”
“เวลานี้เขาน่าจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว..เขามีหน้าที่ช่วยข้าฝึกลูกศิษย์อีก 72 คนซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของข้าในวันข้างหน้า ข้าอยากจะให้พวกเขาทั้งหมดมาปักกิ่ง เพื่อที่ข้าจะสามารถฝึกฝนวิชาให้กับพวกเขาด้วยตัวเองได้!”
หลิงเยว่ยิ้มพร้อมตอบกลับไปทันที“กองกำลังของเจ้าก็คือกองกำลังของตระกูลหลิงเช่นกัน เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้เอง..”
“หลิงหยุน..มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังหาโอกาสบอกกับเจ้าไม่ได้เสียที เพราะตั้งแต่เจ้ากลับมาปักกิ่งครั้งนี้ ก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับซันและตระกูลเฉินข้าจึงยังไม่ได้บอกกับเจ้าเสียทีว่า ข้าได้ถือวิสาสะซื้อสำนักฝึกวรยุทธแห่งหนึ่งไว้ให้กับเจ้า ศิษย์ของเจ้าก็จะได้สามารถไปฝึกฝนวิชาที่นี่ได้!”
“……”
หลิงหยุนถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง..ดูเหมือนว่าหลิงหยุนเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงว่าหลิงเย่วจะได้คิด และตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้กับตนเรียบร้อยแล้ว..
สมกับที่ได้รับฉายามันสมองตระกูลหลิงจริงๆ!
“ลุงสอง..ท่านช่างรอบคอบนัก!”
หลิงหยุนร้องบอกหลิงเย่วด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและได้แต่คิดว่าทำงานกับคนเฉลียวฉลาดเช่นหลิงเย่ว ทำให้เขาลดความกังวลไปได้มากเลยทีเดียว!
“ลุงสอง..อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หลิงยูน้องสาวของข้า และเพื่อนๆที่เมืองจิงฉูคงจะต้องเดินทางมาปักกิ่ง ข้า…”
หนิงหลิงยู่เองได้แจ้งหลิงหยุนมาล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันที่ 10 กันยายนนั้นจะเป็นวันมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิง และหลิงหยุนเองก็จำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ!
แทบไม่ต้องรอให้หลิงหยุนพูดจบหลิงเย่วชิงตอบกลับไปทันที “หลิงหยุน.. เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ข้าจะให้คนจัดการจองโรงแรมไว้ให้ แต่หากไม่ต้องการให้อยู่โรงแรม จะให้เพื่อนๆ ของเจ้าไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กแทนก็ได้ ที่นั่นค่อนข้างกว้างขวางใหญ่โต เพื่อนๆของเจ้าอยากจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ตามสบาย..”
“เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร