ในเดือนกันยายนจะเป็นฤดูการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามจึงค่อนข้างหนาแน่นมาก เรียกได้ว่าต้องเดินเบียดไหล่กันเลยทีเดียว..
หลิงหยุนเดินตามเหล่านักท่องเที่ยวเข้าไปยังพระราชวังหลังใหญ่ซึ่งด้านหน้าเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ และผู้ที่จะเข้าชมพระราชวังแห่งนี้ก็ต้องเข้าทางประตูหวู่เหมิน และออกทางประตูเสินหวู่เหมินเท่านั้น เพราะนี่คือเส้นทางในการเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้าม..
และทันทีที่เข้าไปในบริเวณพระราชวังต้องห้ามจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ถูกจำกัด และเหลือรัศมีในการรับรู้ไม่ถึงสามเมตร..
“ทุกคนดูสิ..มีใครรู้สึกว่าประตูหวู่เหมินนี้คล้ายกับเขาเหมิงซานที่พวกเราไปดูกันมาเมื่อวานนี้บ้าง!”
หลิงหยุนจ้องมองประตูหวู่เหมินซึ่งเป็นทางเข้าของพระราชวังต้องห้ามพร้อมกับยิ้มออกมาและอดที่จะร้องบอกให้ทุกคนรู้ไม่ได้..
ประตูหวู่เหมินนี้เป็นประตูทางใต้ของพระราชวังต้องห้ามทั้งสองข้างของประตูนั้นได้ก่อเป็นกำแพงสูงกว่าสิบสองเมตร ยื่นออกมาดูราวกับแขนทั้งสองข้างที่กำลังโอบพื้นที่จัตุรัสด้านหน้าไว้..
หลิงเฟิงจ้องมองด้วยความตกตะลึง“จริงด้วย..!”
“คล้ายกับหงส์ที่กำลังสยายปีก..”โม่วู๋เตาเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน
หลิงซิ่วเห็นเช่นนั้นจึงรีบกดโทรศัพท์หาหลิงลี่ทันที“ท่านปู่.. ท่านต้องจัดการซื้อที่ดินที่หลิงหยุนไปดูเมื่อวานให้ได้โดยเร็วที่สุด!”
หลังจากที่หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยซื้อตั๋วผ่านเข้าพระราชวังต้องห้ามเรียบร้อยแล้วจากนั้นทั้งหมดก็มุ่งหน้าเข้าสู่ด้านในของพระราชวังทันที
และมัคคุเทศน์ที่จะพาทุกคนเยี่ยมชมพระราชวังแห่งนี้ก็คือมัคคุเทศน์สาวที่มีชื่อว่าหลี่เฟย แต่เมื่อเธอได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของหลิงหยุน ก็ถึงกับมีอาการตกตะลึงไปครู่ใหญ่..
“ฮ่า..ฮ่า.. พวกเราขอเข้าฟรีได้มั๊ยครับ”
หลิงหยุนเห็นอาการตกตะลึงของหลี่เฟยจึงได้พูดจาหยอกเย้าออกไป พร้อมกับรอยยิ้มที่เผยให้เห็นลักยิ้มมหาเสน่ห์ของหลิงหยุน..
“เอ่อ..ได้..ได้ค่ะ!”
หลี่เฟยตอบหลิงหยุนกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ..
“ฮ่า..ฮ่า.. ผมล้อเล่นครับ พวกเรามีตั๋วกันทุกคน!”
แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากสายตาของหญิงสาวหลายๆคนรอบตัวหลิงหยุนจึงรีบหยุดพูดจาหยอกเย้ามัคคุเทศน์สาวทันที และรีบเดินนำหน้าทุกคนไป
หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยส่งตั๋วในมือให้กับมัคคุเทศน์สาวจากนั้นทั้งสิบสามคนก็เดินผ่านประตูหวู่เหมินเข้าไปด้านในของพระราชวังต้องห้าม..
“พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้อยู่ในสมัยราชวงศ์หมิงกับราชวงศ์ชิงและมีอายุเก่าแก่กว่าห้าร้อยปีเลยทีเดียว..”
หลี่เฟยทำหน้าที่สาธยายประวัติของพระราชวังต้องห้ามให้กับคณะของหลิงหยุนฟังอย่างคล่องแคล่ว
“พระราชวังแห่งนี้เป็นที่อยู่ขององค์จักรพรรดิมากว่ายี่สิบสี่พระองค์เป็นจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงสิบสี่พระองค์ และจักรพรรดิในราชวงศ์ชิงอีกสิบพระองค์ และพระราชวังแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก..”
“ประตูทางเข้าที่เราผ่านมานี้ชื่อว่าประตูหวู่เหมินซึ่งเป็นประตูทางด้านทิศใต้ของพระราชวังแห่งนี้..”
หลิงหยุนเดินฟังหลี่เฟยบรรยายถึงภายในพระราชวังแห่งนี้อย่างเพลิดเพลินพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ไปด้วย แม้พระราชวังที่ใหญ่โตเช่นนี้จะไม่ค่อยมีให้เห็นในประเทศจีนแต่สำหรับโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ซึ่งหลิงหยุนจากมานั้น พระราชวังเช่นนี้มีอยู่ดาษดื่น..
‘ราวกับได้กลับไปในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..’
หลิงหยุนได้แต่นึกสงสัยว่า..เหตุใดโลกที่อยู่กันคนละจักรวาล หรือคนคละห้วงเวลา จึงได้มีภาษาโบราณ และมีสถาปัตยกรรมโบราณที่คล้ายคลึงกับโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นัก..
สองโลกนี้เกี่ยวข้องกันเช่นใดอย่างนั้นรึ!
แต่ถึงกระนั้น..ความคิดสงสัยนี้ก็ไม่ได้อยู่ในใจหลิงหยุนนานนัก และจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว!
นั่นเพราะเวลานี้หลิงหยุนมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นตกใจกว่า..
ทันทีที่เท้าของหลิงหยุนก้าวเดินผ่านข้ามประตูหวู่เหมินเข้าไปภายในเขตพระราชวังต้องห้ามจิตหยั่งรู้ของเขาก็ถูกสะกัดไว้ทันที และเวลานี้หลิงหยุนก็ไม่สามารถเปิดจิตหยั่งรู้ออกได้อีกเลย และนี่คืออานุภาพของค่ายกลที่ล้ำเลิศภายในพระราชวังแห่งนี้!
ไม่เพียงจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเท่านั้นที่ถูกสะกัดไว้แม้แต่พลังปราณในจุดตันเถียน และเส้นลมปราณก็ถูกสะกัดไว้เช่นกัน..
ผ่านไปครู่หนึ่ง..หลิงหยุนจึงได้สอบถามหนิงหลิงยู่ เกาเฉินเฉิน โม่วู๋เตา หลิงซิ่ว และคนอื่นๆ แล้วคำตอบที่ได้ก็เหมือนกันหมด คือทุกคนไม่สามารถใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองได้ อีกทั้งพลังปราณภายในร่างกายยังถูกสะกัดไว้ให้หมุนเวียนได้ช้าลง ทำให้เวลานี้ทุกคนต่างก็ถูกกดให้อยู่ในขั้นที่ต่ำกว่าขั้นเซียงเทียนทั้งหมด..
แทบไม่ต้องสงสัย..นี่คือผลจากอานุภาพของค่ายกลภายในพระราชวังแห่งนี้!
แต่หลิงหยุนเองก็พอจะคาดเดาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้ามาได้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ฉะนั้น.. สิ่งที่ทำให้หลิงหยุนตื่นเต้นตกใจจึงไม่ใช่เรื่องนอกกาย แต่เป็นเรื่องภายในกายของตนเอง!
แม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะถูกสะกัดไว้ไม่ให้ปลดปล่อยออกไปภายนอกได้แต่ยังสามารถสำรวจดูภายในร่างกายของตนเองได้เป็นปกติ ทำให้หลิงหยุนพบว่าเวลานี้จุดตันเถียนที่เคยหมุนอย่างรวดเร็วของตนนั้น หมุนช้าลงไปมาก พลังหยินและหยางก็ไหลเวียนได้อย่างเชื่องช้าเช่นกัน และเส้นเส้นลมปราณก็เริ่มติดขัด
แต่ภายในร่างกายของหลิงหยุนนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่พลังหยินและหยางซึ่งเกิดจากการฝึกวิชาพลังลับหยิน–หยางเท่านั้น
ภายในร่างกายของเขายังมีกระแสพลังอมตะสีทองจากพู่กันจักรพรรดิกระแสพลังสีเหลืองดำจากสมุดจักรพรรดิ และกระแสพลังสีทองจางจากปราณมังกรอีกด้วย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราณมังกรภายในจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของเขานั้น ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าผ่านประตูหวู่เหมินมา เขาก็สังเกตเห็นเส้นโค้งรูปมังกรภายในจุดตันเถียนเปล่งประกายสีทองระยิบระยับไปทั่วทั้งจุดตันเถียน..
ที่นี่คือสถานที่ซึ่งเหล่าจักรพรรดิอาศัยอยู่..ย่อมต้องมีปราณราชามังกร!
และสาเหตุที่หลิงหยุนมายังพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ก็ไม่ใช่มาเพื่อความสนุกสนาน แต่เป้าหมายของเขาคือปราณราชามังกรนั่นเอง!
พระราชวังต้องห้ามไม่ทำให้หลิงหยุนผิดหวังจริงๆเพราะเป็นพระราชวังที่มีจักรพรรดิครอบครองถึงยี่สิบสี่พระองค์เลยทีเดียว..
พระราชวังที่มีอายุยาวนานกว่าห้าร้อยปีอีกทั้งค่ายกลก็ยังไม่เคยถูกทำลายให้เสียหาย ปราณราชามังกรที่ถูกกักเก็บไว้ในสถานที่แห่งนี้ จึงไม่เพียงไม่สูญสลายหายไป แต่ยังหนาแน่นอย่างที่สุดด้วย!
ปราณราชามังกรนั้น..เกิดจากการรวมตัวของพลังชี่จากมังกร และพลังชี่จากองค์จักรพรรดิ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบุตรแห่งสวรรค์! หลังจากที่ก้าวเท้าผ่านประตูหวู่เหมินเข้าไปหลิงหยุนก็เริ่มสัมผัสได้ว่าปราณราชามังกรที่หนาแน่นภายในพระราชวังต้องห้าม ได้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว..
แน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมยินดีรับไว้อย่างไม่ต้องสงสัย..
หลิงหยุนปลดปล่อยร่างกายและเปิดให้จุดฝังเข็มทั่วร่าง ดูดซับเอาปราณราชามังกรนี้เข้าไปอย่างเต็มที่..
เวลานี้กระแสลมปราณทั้งสามสายภายในร่างกายของหลิงหยุนซึ่งมีกระแสพลังอมตะสีทองจากพู่กันจักรพรรดิ กระแสพลังสีเหลืองดำจากสมุดจักรพรรดิ และกระแสสีทองจางจากปราณมังกร ก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งเส้นโค้งรูปมังกรทองของหลิงหยุนนั้นก็เริ่มเปล่งประกายราวกับมีชีวิต!
…..
ด้านหลังของประตูไท่เหอเหมินจะเป็นลานจัตุรัสที่ขนาดใหญ่โตมโหฬาร และทันทีที่เท้าของหลิงหยุนสัมผัสกับพื้นของลานจัตุรัสเข้า ก็เกิดลมกรรโชกขึ้นทันที!
“โอ้ว..นี่มันลมอะไรกัน! ทำไมจู่ๆ ลมถึงพัดขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุได้?!”
นักท่องเที่ยวบางส่วนที่เดินอยู่ในบริเวณใกล้กับหลิงหยุนเมื่อสัมผัสได้ถึงลมที่พัดวูบมานั้น จึงอดที่จะร้องอุทานออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้!
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินหนีออกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวไปทันที..
เมื่อปราณราชามังกรถูกร่างกายของหลิงหยุนดูดซับเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆจิตใต้สำนึกของหลิงหยุนจึงเกิดความรู้สึกว่า.. กำลังมีบางสิ่งบางอย่างรอเขาอยู่ข้าหน้า..
พระตำหนักไท่เหอเตี้ยน!
“พระตำหนักไท่เหอเตี้ยนหรือที่ชาวบ้านจะเรียกกันว่าพระตำหนักทองคำนั้น มีความสูง 35.05 เมตร ความยาวจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก 63 เมตร ความกว้างจากทิศเหนือไปทิศใต้ 35 เมตร มีพื้นที่ประมาณ 2,380 ตารางเมตร..”
“พระตำหนักไท่เหอเตี้ยนเป็นพระตำหนักที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ทั้งมีขนาดสูงสุดและหรูหราที่สุด ภายในพระตำหนักไท่เหอเตี้ยน มีเสาไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตรอยู่ถึง 72 ต้น..”
แม้หลิงหยุนจะเดินนำหน้าทุกคนเข้าไปภายในพระตำหนักไท่เหอเตี้ยนแต่เขาก็ตั้งใจฟังคำบรรยายของมัคคุเทศน์สาวหลี่เฟยที่บรรยายอย่างละเอียด..
“ตรงกลางคือพระราชบัลลังก์ลายมังกรทองคำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งจักรพรรดิตั้งไว้อยู่บนฐานที่มีความสูง 2 เมตร หน้าพระราชบัลลังก์มีนกกระสา กระถางเผากำยาน กระถางสัมฤทธิ์ หลังพระราชบัลลังก์มีฉากกั้นลายมังกร พระที่นั่งไท่เหอเตี้ยนเป็นสิ่งก่อสร้างที่ประกอบขึ้นด้วยไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม หรือแม้กระทั่งในประเทศจีน ตกแต่งด้วยสีเหลืองอร่ามงามตา สง่างามอลังการ..”
“พระตำหนักไท่เหอเตี้ยนเป็นสิ่งก่อสร้างที่ประกอบขึ้นด้วยไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้ามหรือแม้กระทั่งในประเทศจีน ตกแต่งด้วยสีเหลืองอร่ามงามตา สง่างามอลังการ พระตำหนักไท่เหอเตี้ยน ยังเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีของจักรพรรดิ เช่นพิธีขึ้นครองราชย์ พิธีฉลองวันพระราชสมภพ พิธีอภิเษกสมรส พิธีฉลองวันตรุษจีน”
ทันทีที่หลิงหยุนเข้าไปในพระตำหนักแห่งนี้ได้เพียงแค่สองสามก้าวเขาก็เงยหน้าขึ้นมองพระราชบัลลังก์ที่อยู่ตรงหน้าทันที!
และครั้งหนึ่ง..บนพระราชบัลลังก์แห่งนี้ก็เคยมีองค์จักรพรรดินั่งว่าราชการอยู่จริง!
“เจ้าอยากจะขึ้นไปนั่งบนพระราชบัลลังก์งั้นรึ”
โม่วู๋เตาที่เดินตามมายืนข้างๆหลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นมาทันที.. หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“ไม่.. ข้าไม่สนใจ!”
‘จักรพรรดิงั้นรึ!สุดท้ายก็เหลือเพียงแค่เถ้ากระดูก!’
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็สามารถสัมผัสได้ว่าที่พระราชบัลลังก์มังกรทองนี้ มีปราณราชามังกรอยู่แน่นหนามากบริเวณอื่น เขาจึงได้ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
ระหว่างที่หลิงหยุนยืนดูดซับปราณราชามังกรเข้าไปนั้นเขาก็เห็นคล้ายมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว จากนั้นเงาที่มีรูปร่างคล้ายมังกรก็พุ่งออกมาจากเสามังกรทอง และพุ่งเข้าไปรวมกันอยู่กับเส้นโค้งรูปมังกรทองภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนทันที!
‘ตัวที่สอง..ตัวที่สาม.. ตัวที่สี่.. ทั้งหมดหกตัว!’
“นี่มัน..”
หลิงหยุนพึมพำออกมาเบาๆ..เพราะเขาใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูภายในร่างกายของตนเองอยู่ตลอดเวลา และพบว่ายิ่งเขาดูดซับปราณมังกรกับปราณจักรพรรดิเข้าไปมากเท่าใด กระดูกสันหลังส่วนคอทั้งเจ็ดข้อที่เคยเป็นสีทองจางๆนั้น ได้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทองที่สุกสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนกระดูกสันหลังช่วงทรวงอกทั้งแปดข้อนั้นได้กลายเป็นทองคำบริสุทธิ์แล้ว ส่วนไขกระดูนั้นก็เริ่มกลายเป็นสีทองแล้วเช่นกัน
เวลานี้..ไม่เพียงร่างกายของหลิงหยุนที่ดูดเอาปราณราชามังกรเข้าไป แม้แต่เส้นโค้งรูปมังกรในจุดตันเถียนของเขา ก็กำลังดูดเอาปราณมังกรเข้าไปอย่างตะกละตะกลามด้วย..
ส่วนปราณจักรพรรดิที่หลิงหยุนดูดซับเข้าไปนั้นก็ได้ไปรวมตัวกับกระแสพลังอมตะสีทองจากพู่กันจักรพรรดิ และกระแสพลังอมตะสีดำเหลืองจากสมุดจักรพรรดิ จากนั้นพลังปราณทั้งสองก็ได้พุ่งเข้าสู่จุดซือไห่ซึ่งอยู่กึ่งกลางหว่าวคิ้ว และจุดตันเถียนของหลิงหยุน..
พลังปราณทั้งสองถูกพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิดูดซับเข้าไป หลิงหยุนจึงไม่ได้เกรงว่าร่างกายของตนจะเกิดการระเบิด..
หลังจากนั้น..มัคคุเทศน์สาวหลี่เฟยก็ได้เดินนำทุกคนไปยังพระตำหนักจงเหอเตี้ยน และพระตำหนักเป่าเหอเตี้ยนต่อไป
หลังจากที่เดินเยี่ยมชมไปถึงสามพระตำหนักแล้วเวลานี้ปราณราชามังกรภายในร่างกายของหลิงหยุนก็เข้าสู่ระดับสูงสุด..
‘เวลานี้กระดูกสันหลังของข้าทั้งยี่สิบหกข้อรวมไปถึงไขกระดูกล้วนแล้วแต่กลายเป็นทองสุกปลั่งราวกับถูกย้อมด้วยทองคำบริสุทธิ์แล้ว..’
ผ่านไปเพียงแค่สองชั่วโมง..ไม่เพียงกระดูกสันหลังของหลิงหยุนจะมีสภาพราวกับทองคำบริสุทธิ์ แม้แต่เส้นโค้งรูปมังกรภายในจุดตันเถียนเวลานี้ ก็ดูราวกับมังกรทองตัวใหญ่!
‘เป็นสีทองดูงดงามไม่น้อยทีเดียวแต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันใช้การอะไรได้บ้าง! หรือจะทำให้กระดูกสันหลังของข้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างนั้นรึ?!’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดสงสัยอยู่คนเดียวเงียบๆ
“เอาล่ะ..นี่ก็เดินเยี่ยมชมมาได้ถึงสามพระตำหนักแล้ว พักดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อนนะคะทุกคน!”
มัคคุเทศน์สาวหลี่เฟยร้องบอกลูกทัวร์ของตนที่เดินเยี่ยมชมมานานกว่าสองชั่วโมงได้หยุดพักเหนื่อย..
แม้หลิงหยุนกับคนอื่นๆจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และไม่ได้ต้องการพัก แต่อีกสามคนซึ่งก็คือถังเมิ่ง ฉางหลิง และฉีเสี่ยวชิงนั้นเดินไม่ไหวแล้ว..
“ใครไม่ไหวนั่งพักก่อนได้แต่ถ้าใครยังไหวก็ตามฉันมา ฉันจะไปเดินดูรอบๆนี้หน่อย!”
หนิงหลิงยู่เกาเฉินเฉิน โม่วู๋เตา และตี้เสี่ยวอู๋ สมัครใจไปเดินดูรอบๆกับหลิงหยุน ส่วนอีกเจ็ดคนนั่งพักผ่อนเอาแรง เพราะทั้งหลิงซิ่ว หลิงซวี่ หลิงเฟิง และหลิงเลี่วยนั้น ล้วนเติบโตในปักกิ่ง พวกเขามาที่พระราชวังต้องห้ามนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว จึงไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับพวกเขาอีก..
ระหว่างนั้นหลี่เฟยก็ได้ร้องเตือนหลิงหยุนไม่ให้เดินเข้าไปในบริเวณที่ติดป้ายห้ามเข้า และหลิงหยุนก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ..
เกาเฉินเฉินเคยมาเที่ยวพระราชวังต้องห้ามนี้หลายครั้งหลายคราจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ทุกคนอยากจะไปดูอะไรก่อน..”
หลิงหยุนกับโม่วู๋เตาร้องตะโกนออกมาพร้อมกันทันที“กำแพงเก้ามังกร!”
“งั้นก็ไปกันเลย!”
…..
กำแพงเก้ามังกรนี้ตั้งอยู่ในเขตพระตำหนักหนิงโซ่วกงของพระราชวังต้องห้ามเป็นกำแพงที่ใช้กระเบื้องเคลือบตกแต่งเป็นลายมังกรเก้าตัวได้อย่างงดงาม และตามความเชื่อของชาวจีนนั้น เลข 9 กับเลข 5 นั้นเป็นตัวเลขที่แสดงความเป็นจักรพรรดิ เลข 9 หมายถึงสิ่งสูงสุดซึ่งก็คือจักรพรรดิ เลข 5 นั้นเป็นตัวเลขที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง 1-9 จึงหมายถึงจักพรรรดิที่นั่งอยู่กลางใจชาวประชา..
“งดงามมากทีเดียว!”
โม่วู๋เตากับหลิงหยุนร้องอุทานออกมาพร้อมกันหลังจากสำรวจกำแพงเก้ามังกรอย่างละเอียดแล้ว หลิงหยุนจึงบอกกับโม่วู๋เตาผ่านทางกระแสจิต
–หากข้าเดาไม่ผิด..กำแพงเก้ามังกรนี้น่าจะเป็นกลไกสำหรับเปิดเข้าไปสุสานใต้ดินแน่!-
ตูม!
ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะบอกกับโม่วู๋เตาจบดีห่างจากกำแพงเก้ามังกรไปราวสิบเมตร ก็มีเสียงตูมดังขึ้น และมังกรทั้งเก้าตัวบนกำแพงก็ดูคล้ายกับมีชีวิตขึ้นมาทันที!
จากนั้น..เงาที่มีรูปร่างคล้ายมังกร ก็กระโจนออกจากมังกรทั้งเก้าตัวบนกำแพงเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนในทันที!
หลังจากที่มังกรขนาดใหญ่ทั้งเก้าพุ่งเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนแล้วกลับไม่ตรงเข้าสู่จุดตันเถียนของเขา แต่วิ่งไปตามเส้นลมปราณทั่วร่างอย่างรวดเร็วแทน..
และในเวลานี้..ปราณราชามังกรในร่างของหลิงหยุนก็พุ่งขึ้นอย่างรวดร็ว!
“ไม่ดีแน่!”
หลิงหยุนตกใจอย่างมากเมื่อสัมผัสได้ว่าปราณราชามังกรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น กำลังจะทำให้ร่างของตนระเบิดออก แต่ในระหว่างที่หลิงหยุนเกือบจะทนไม่ได้นั้น พลังอมตะของพู่กันจักรพรรดิ พลังอมตะของสมุดจักรพรรดิ และปราณมังกรที่อยู่ในร่างกายของเขานั้น ก็ได้หลอมรวมกับปราณราชามังกร
จากนั้นปราณราชามังกรที่แข็งแกร่งก็ได้โคจรทั่วร่างหลิงหยุนหนึ่งรอบใหญ่ก่อนที่ส่วนหนึ่งจะไหลเข้าสู่เส้นโค้งรูปมังกรที่จุดตันเถียนของหลิงหยุน แล้วที่เหลือทั้งหมดก็พุ่งเข้าสู่จุดซือไห่กึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุนทันที!
พลังปราณทั้งหมดที่พุ่งเข้าสู่จุดซือไห่นั้นอัดแน่นรวมกันจนเปลี่ยนเป็นกระบี่สีทอง! และนี่คือกระบี่จักรพรรดิมังกร!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร