กลางดึกภายในพระราชวังต้องห้าม..
เวลาห้าโมงเย็น..เป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่ได้ต้อนนักท่องเที่ยวที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในพระราชวังต้องห้ามออกไปจนหมดแล้ว หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็จะกลับออกไปเช่นกัน
ในยามค่ำคืนเช่นนี้..พระราชวังต้องห้ามที่ไม่มีแม้แต่คนคอยเฝ้า จะเงียบสงัดเช่นใดนั้นจึงยากที่จะพรรณนาออกมาได้
ในทุกๆคืน..ถึงแม้ที่หน้าประตูทางเข้าทั้งสี่จุดจะเปิดไฟสว่างไสวงดงาม แต่เนื่องจากพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก แสงไฟเหล่านี้จึงไม่สามารถส่องไปถึงด้านในของพระราชวังได้ พื้นที่ภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้จึงยังคงมืดสนิท และยังเงียบสงัดมากเป็นปกติ..
เพียงแต่ค่ำคืนนี้ไม่ใช่ค่ำคืนปกติเหมือนเช่นทุกคืน.. เพราะเวลานี้..ทางฝั่งประตหวงจี๋เหมินซึ่งใกล้กับกำแพงเก้ามังกรนั้น ได้มีแสงไฟสีขาวส่องสว่างอยู่ และมีคนสามคนกำลังยืนสงบนิ่งราวกับรูปปั้น
ชายทั้งสามที่ยืนอยู่นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหลงฮ่าวหลาน.. หลงเทียนซิง.. และหลงเทียนฟางแห่งตระกูลหลงนั่นเอง!
เวลานี้..ไม่มีพลังปราณสีเขียวคอยปกคลุมร่างของหลงฮ่าวหลานเหมือนเช่นเคย คืนนี้จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเขา
คืนนี้หลงฮ่าวหลานอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวเข้มในแบบชาวจีนโบราณผมถูกปล่อยยาวผ่านใบหน้าเหลี่ยมลงมาจนถึงหน้าอก
หลงฮ่าวหลานในวัยห้าสิบปีแต่กลับมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับชายหนุ่มที่มีอายุไม่ถึงสี่สิบ ผิวพรรณของเขาละเอียดลออ และขาวผ่องนวลเนียนราวกับหยก แต่ดวงตาทั้งคู่นั้นกลับบ่งบอกถึงความโกรธแค้นในใจที่ยากจะปกปิดไว้ได้
ด้านหลังของหลงฮ่าวหลานนั้นมีชายหนุ่มสองคนยืนและทั้งคู่ก็คือหลงเทียนซิงกับหลงเทียนฟาง..
หลงเทียนซิงอยู่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวเช่นกันในปีนี้หลงเทียนมีอายุครบยี่สิบปีพอดี เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างผอมเพรียว คิ้วตรงเฉียงขึ้น หน้าตาหล่อเหลา ในมือถือพัดที่คลี่ออกดูราวกับเหล่าบัณฑิตในสมัยโบราณ
ส่วนหลงเทียนฟางนั้นอยู่ในชุดเสื้อผ้ารัดรูปสีดำแม้ว่าอายุของเขาจะยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่กลับมีรูปร่างสูงใหญ่ และไหล่ที่กว้างนั้นก็ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก แววตาดุดันเป็นประกาย..
หากหลิงหยุนมาเห็นในเวลานี้ก็จะพบว่าตำแหน่งที่หลงฮ่าวหลานยืนอยู่หน้ากำแพงเก้ามังกรนั้น เป็นตำแหน่งเดียวกับที่หลิงหยุนยืนอยู่ในตอนกลางวัน และมีมังกรทั้งเก้าพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาอย่างไม่ตั้งใจนั่นเอง..
และไม่รู้ว่าสามพ่อลูกตระกูลหลงได้ยืนอยู่ตรงนี้มานานเพียงใดแล้ว
“หึ..คิดไม่ถึงว่าตระกูลหลงเฝ้าถนอมรักษาปราณมังกรมานานกว่าหกร้อยปี แต่กลับถูกหลิงหยุนดูดซับไปเพียงในเวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเช่นนี้!”
หลงฮ่าวหลานยืนนิ่งจ้องมองกำแพงเก้ามังกรอยู่นานในที่สุดก็เอ่ยออกมา น้ำเสียงที่ทรงอำนาจนั้นเวลานี้กลับกลายเป็นแหบแห้ง ใบหน้าบ่งบอกถึงความโกรธแค้นอย่างยากที่จะปิดบังได้ และไฟโทสะก็กำลังลุกโชนเผาไหม้จิตใจ
หลังจากที่กลับจากการเฝ้าดูการประลองระหว่างหลิงหยุนกับตระกูลซันและตระกูลเฉินแล้ว หลงฮ่าวหลานในฐานะผู้นำตระกูลหลง ก็ได้ออกคำสั่งห้ามทุกคนในตระกูลหลงไม่ให้ไปมีเรื่องกับหลิงหยุนโดยเด็ดขาด!
หลังจากการประลองสิ้นสุดลงหลิงหยุนก็ได้หายตัวไปนานหลายวัน ส่วนตระกูลหลิงก็ต้องวุ่นวาย และยุ่งอยู่กับการจัดการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งตระกูลหลิงและตระกูลหลงต่างก็อยู่ด้วยความสงบสันติ.. แต่หลงฮ่าวหลานคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับพระราชวังต้องห้ามที่ตระกูลหลงเป็นผู้ดูแลอยู่นั่นเพราะจู่ๆ ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นเมื่อตอนกลางวันโดยหาสาเหตุไม่ได้ และทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนได้รับบาดเจ็บ
แต่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวนั้นทั้งหลงฮ่าวหลาน หลงเทียนซิง และหลงเทียนฟางสามพ่อลูกตระกูลหลงต่างก็ไม่ได้อยู่ในปักกิ่ง อีกทั้งผู้ที่ทำหน้าที่เฝ้าดูพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้มานานหลายปี ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นด้วย
จนกระทั่งช่วงเย็น..ผู้ที่ตระกูลหลงส่งมาคอยดูแลพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ก็ได้รายงานความผิดปกติที่เกิดขึ้นให้กับหลงฮ่าวหลานรู้ และนั่นทำให้ทุกคนในตระกูลหลงต่างก็ตกใจอย่างมาก
แม้การเกิดแผ่นดินไหวภายในพระราชวังต้องห้ามครั้งนี้จะไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับผู้คนในปักกิ่งมากนักนอกจากเหล่านักท่องเที่ยว แต่กลับสร้างความตระหนกตกใจให้กับตระกูลหลงอย่างมาก
นั่นเพราะพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้มีความหมายและมีความสำคัญต่อตระกูลหลงยิ่งนัก!
ทุกคนในตระกูลหลงต่างก็รู้ว่าภายในพระราชวังแห่งนี้ได้มีการวางค่ายกลไว้ถึงสองค่ายกลคือค่ายกลกักมังกร และค่ายกลสยบปีศาจ!
และเพราะมีค่ายกลทั้งสองคอยปกป้องพระราชวังแห่งนี้ไว้นั่นเองในวันที่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ตัวพระตำหนักต่างๆ ภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้จึงไม่สั่นสะเทือนเสียหายไปด้วย
และทันทีที่ตระกูลหลงได้รับรายงานในเรื่องนี้ก็ได้ส่งคนเข้ามาสำรวจ และสืบหาสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวทันที จากนั้นจึงได้รายงานผลการสำรวจนี้ให้กับหลงฮ่าวหลานผู้นำตระกูลรู้
และหลังจากที่ได้รับรายงาน..หลงฮ่าวหลานที่เคยสงบนิ่ง และมั่นใจในตัวเองอย่างมาก ก็ถึงกับต้องรีบเดินทางมาที่พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ด้วยตัวเองในทันที ระหว่างนั้นก็ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการสำรวจนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมภายในพระราชวังแห่งนี้อย่างละเอียด
ระหว่างนั้นหลงฮ่าวหลานก็ได้สั่งลูกชายของเขาทั้งสองคนให้หยุดภารกิจที่กำลังทำไว้ก่อนและตามเขากลับไปปักกิ่งอย่างเร่งด่วน..
และทันทีที่หลงฮ่าวหลานกลับถึงบ้านในปักกิ่งเขาก็ได้รับรายงานทันทีว่า เวลานี้ปราณมังกรภายในพระราชวังต้องห้ามนั้นแทบไม่เหลือแล้ว..
ส่วนเรื่องที่สองนั้นก็คือ..หลังการตรวจสอบอย่างละเอียดจึงได้รู้ว่าหลิงหยุนกับเพื่อนๆรวมทั้งหมดสิบสองคน ได้เดินทางมาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามในช่วงเวลากลางวัน และได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น
หลงฮ่าวคุนได้รับคำสั่งจากหลงฮ่าวหลานให้มาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองและทันทีที่พบว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็รีบรายงานเรื่องทั้งหมดให้หลงฮ่าวหลานฟังด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย หลงฮ่าวหลานได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ถึงกับโกรธจนตัวสั่น!
จากนั้นจึงรีบมุ่งหน้ามาที่พระราชวังต้องห้ามทันทีและเริ่มเดินสำรวจตั้งแต่หน้าประตูไปจนทั่วทุกซอกทุกมุมของพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้
แล้วหลงฮ่าวหลานก็ต้องพบว่า..ภายในพระราชวังต้องห้ามไม่มีปราณมังกรหลงเหลืออยู่เลย!
หลังจากที่ได้สำรวจด้วยตัวเองอีกครั้งเช่นนี้หลงฮ่าวหลานก็แทบจะทนยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ และได้มายืนสงบจิตใจอยู่ที่หน้ากำแพงเก้ามังกรแห่งนี้ อีกทั้งยังยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับที่หลิงหยุนยืนอยู่เมื่อตอนกลางวันด้วย โดยมีหลงเทียนซิง และหลงเทียนฟางยืนอยู่ข้างหลังเงียบๆ
“ท่านพ่อ..ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดก็เกิดขึ้นไปแล้ว ท่านพ่อโมโหไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด!” หลงเทียนซิงที่สามารถสงบจิตสงบใจได้อย่างรวดเร็วก่อนใครเป็นฝ่ายร้องเตือนหลงฮ่าวหลานออกมา
แต่หลงฮ่าวหลานยังคงยืนมองกำแพงเก้ามังกรนิ่งไม่พูดไม่จาจนกระทั่งหลงเทียนซินถามขึ้นมาว่า
“ท่านพ่อ..ลูกมีเรื่องสงสัย ไม่ทราบว่าควรจะถามท่านพ่อดีหรือไม่”
“เจ้าถามมา!”ในที่สุดหลงฮ่าวหลานก็พูดออกมาเป็นครั้งแรก แต่น้ำเสียงที่ห้วนก็ยังบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก..
“เรื่องที่กำแพงเก้ามังกรแห่งนี้เป็นดวงตาของค่ายกลกักมังกรมีเพียงตระกูลหลงของเราที่รู้ไม่ใช่รึ แต่เหตุใดหลิงหยุนจึงได้ล่วงรู้เรื่องนี้ด้วยเล่า?”
จากข้อมูลที่หลงเทียนซินได้มานั้นเขารู้ว่าหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาได้มาเยี่ยมชมกำแพงเก้ามังกรแห่งนี้อยู่นาน จึงได้ถามขึ้นด้วยความสงสัย “หลิงหยุนมีความรู้เรื่องค่ายกลล้ำลึกยิ่งนัก!”
“เขาสามารถสร้างค่ายกลได้ภายในชั่วพริบตาข้าเห็นกับตาว่าเขาสร้างค่ายกลขึ้นเพื่อใช้สังหารยอดฝีมือจากหน่วยนภาทั้งห้าคน!”
แม้การวิเคราะห์ของหลงฮ่าวหลานจะฟังดูมีเหตุผลแต่ครั้งนี้นับว่าเขาเข้าใจผิดไปอย่างมาก เพราะความจริงแล้วหลิงหยุนเพียงแค่ต้องการค้นหาทางเข้าสุสานใต้ดินเท่านั้น จึงได้เดินมาที่กำแพงเก้ามังกรแห่งนี้
หลงเทียนซิงถามต่อด้วยความคลางแคลงใจ“ท่านพ่อ.. มีเพียงตระกูลหลงของเราเท่านั้นไม่ใช่รึที่สามารถดูดซับปราณมังกรได้ แล้วเหตุใดหลิงหยุนจึงสามารถดูดซับปราณมังกรได้ด้วยเล่า?”
หลงฮ่าวหลานถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบไปว่า“หลิงหยุนมีน้ำลายมังกร การที่เขาดื่มน้ำลายมังกรเข้าไป ปราณมังกรที่ได้จากน้ำลายมังกรคงจะทำให้ร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง..”
“แต่ที่น่าแปลกคือ..เหตุใดน้ำลายมังกรจึงส่งผลกับร่างกายของเขาอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้”
หลงฮ่าวหลานหันหลังกลับไปมองลูกชายทั้งสองคนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แต่น้ำลายมังกรอาจเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หรือไม่แน่ว่าแทบจะไม่มีนัยยะสำคัญอะไรกับหลิงหยุนเลยด้วยซ้ำ..”
“เรื่องที่หลิงหยุนมีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในการครอบครองนั้นพวกเจ้าสองคนก็คงจะรู้ใช่หรือไม่”
“ที่กระบี่เล่มนั้นทรงอานุภาพและแข็งแกร่งยิ่งนัก ก็เพราะมีดวงจิตของมังกรแดนใต้สถิตอยู่ ในคืนวันประลองยุทธ.. ข้าเองได้เห็นมังกรแดนใต้ปรากฏขึ้นด้วยตาตัวเอง และดูเหมือนมังกรแดนใต้ก็จะยอมรับหลิงหยุนเป็นเจ้านายของมันแล้วเช่นกัน!”
“ห๊ะ!” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลงฮ่าวหลานหลงเทียนซิงก็ถึงกับเย็นยะเยือก คิ้วของเขาขมวดแน่นพร้อมกับพึมพำออกมา
“นี่มังกรแดนใต้คำนับหลิงหยุนเป็นนายแล้วงั้นรึ!”
หลงฮ่าวหลานเพียงแค่พยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร..
หลงเทียนซิงยังคงถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ“ข้ายังคงไม่เข้าใจอยู่ดี!”
“ท่านพ่อ..ลำพังพวกเราสามคนยังไม่สามารถดูดซับปราณมังกรภายในพระราชวังต้องห้ามเข้าไปได้หมด! แล้วหลิงหยุนเพียงผู้เดียวจะสามารถดูดซับปราณมังกรเข้าไปทั้งหมดได้อย่างไรกัน มันเป็นเรื่องที่ฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี!”
“ข้าเองก็กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน!”
หลงฮ่าวหลานพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ“ปราณมังกรทั้งหมดที่อยู่ในพระราชวังแห่งนี้ ต่อให้ทายาทตระกูลหลิงทั้งหมดที่มีอยู่ในเวลานี้ดูดซับเข้าไปพร้อมกัน ก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่งจึงจะสามารถดูดซับเข้าไปได้หนึ่งในสิบส่วน แต่หลิงหยุนกลับสามารถดูดซับเข้าไปได้ในคราวเดียวเช่นนี้.. นี่มัน..”
หากไม่ใช่เพราะหลงฮ่าวหลานได้เห็นความน่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนในคืนวันประลองแล้วล่ะก็เขาก็คงไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่าหลิงหยุนจะสามารถดูดซับปราณมังกรเข้าไปจนหมดได้..
แต่ถึงกระนั้น..ด้วยขั้นของหลิงหยุนเวลานี้ หลงฮ่าวหลานก็ทำใจให้เชื่อได้ยากว่า เขาจะสามารถดูดซับปราณมังกรทั้งหมดภายในพระราชวังต้องห้ามนี้เข้าไปได้ และด้วยสาเหตุนี้ทำให้หลงฮ่าวหลานเองก็ไม่ได้คิดหาวิธีป้องกันไว้ก่อน
แต่เนื่องจากพระราชวังต้องห้ามเป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่อให้คิดว่าเป็นไปได้ เขาก็คงไม่สามารถหาเหตุผลมาห้ามไม่ให้หลิงหยุนเข้าเยี่ยมชมได้อยู่ดี!
หลงเทียนซิงจ้องมองหลงฮ่าวหลานด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมกับถามขึ้นว่า “ท่านพ่อ.. หรือว่าหลิงหยุนจะมีสมบัติล้ำค่าบางอย่าง!”
หลงฮ่าวหลานถึงกับตาโตและร้องอุทานออกมาทันที “พู่กันจักรพรรดิ กับสมุดจักรพรรดิ!”
หลงเทียนฟางที่ยืนฟังโดยไม่พูดอะไรมาตลอดนั้นในที่สุดก็ร้องตะโกนถามออกมา “ท่านพ่อ.. หากหลิงหยุนครอบครองพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิจริง ข้าจะไปชิงมาจากเขาเอง!”
ชิงสมบัติล้ำค่าจากหลิงหยุนงั้นรึ!
หลงเทียนฟางเป็นเด็กหนุ่มที่คิดอะไรตื้นๆในที่สุดหลงฮ่าวหลานก็หันไปมองหลงเทียนฟาง เขาฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าหลงเทียนฟางนั้นคิดที่จะหาเรื่องกับหลิงหยุน จึงได้แต่ย้ำหนักแน่นว่า “เทียนฟาง..เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
หลังจากที่นิ่งไปครู่หนึ่งหลงฮ่าวหลานก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห “แต่ในเมื่อหลิงหยุนมันกล้าขโมยปราณมังกรของตระกูลหลงไปเช่นนี้ มันก็ต้องได้รับบทลงโทษจากตระกูลหลงของเราเช่นกัน!”
เวลานี้..หลงฮ่าวหลานโกรธแค้นมากที่หลิงหยุนได้ดูดซับเอาปราณมังกร ที่ตระกูลหลงเฝ้าถนอมรักษามานานกว่าหกร้อยปีไป!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร