Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1239

ในเมื่อผลประโยชน์ใดๆที่ควรต้องได้ในคืนนี้ก็ได้มาแล้วหลิงหยุนเองก็คร้านที่จะสนใจอีก จึงเดินตรงไปที่ต้นหลิวเทวะวิญญาณเพื่อฝึกฝนวิชาต่อ..
  เรื่องราวไม่ว่าจะใหญ่โตเพียงใดแต่ก็ไม่มีเรื่องใดยิ่งใหญ่ และสำคัญไปกว่าการฝึกวิชาของหลิงหยุน!
  นอกเหนือจากหลิงหยุนแล้ว..หลังจากเสร็จสิ้นศึกระหว่างหน่วยนภากับตระกูลหลิง ทุกคนที่ได้เห็นความเก่งกาจที่น่ากลัวของหลิงหยุน จึงเกิดแรงฮึกเหิม และต่างก็ไปนั่งฝึกฝนกันต่อโดยไม่ต้องให้บอกให้เตือนกัน..
  แม้ภาพการฝึกฝนที่ขยันหมั่นเพียรและทุ่มเทเช่นนี้ จะเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าเมื่อสี่สิบปีก่อน..
  ……
  ในเช้าของวันถัดมา..หลังจากที่หลิงหยุนได้ฝึกวิชาดาราคุ้มกายตามที่เคยฝึกเป็นปกติทุกวันเสร็จแล้ว เขาจึงกลับเข้าไปในบ้านอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะไปนั่งทำสมาธิต่อบนโซฟาในห้องรับแขก
  หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องเสียเวลามานั่งคิดว่าเรื่องราวเมื่อคืนนี้จะนำปัญหาใหญ่อะไรมาให้ตนเองเองบ้าง เพราะนี่คือความตั้งใจของเขา และดูเหมือนว่าการสร้างอำนาจบารมี และความน่าเกรงขามให้กับตระกูลหลิงด้วยวิธีนี้ จะประสบความสำเร็จค่อนข้างดีทีเดียว..
  หลิงหยุนยังไม่รีบร้อนที่จะศึกษาสมบัติที่ได้มาเมื่อคืนนี้อย่างโอสถและยันต์ชนิดต่างๆนัก เขาตั้งใจไว้ว่าจะรอจนกว่าจะได้เข้าร่วมกับหน่วยนภาเสียก่อน หรืออย่างน้อยก็ได้พบ และพูดคุยกับโจวเหวินอี้เสียก่อน
  อีกอย่าง..ในวันพรุ่งนี้เขาก็มีเรื่องที่สำคัญกว่ารออยู่ด้วย!
  วันนี้เป็นวันที่9 กันยายน และคืนนี้จะเป็นคืนที่ตระกูลเย่จะจัดการประมูลขึ้นทางด้านชานเมืองตะวันออกของปักกิ่ง..   ‘จะพาใครไปกับข้าด้วยดีนะ!’หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ
  ‘แน่นอนว่าต้องมีเย่ซิงเฉินส่วนตี้เสี่ยวอู๋กับโม่วู๋เตาก็คงต้องพาไปด้วย อย่างน้อยก็จะได้ไปเปิดหูเปิดตาเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ในชีวิต..’
  ‘หลิงยู่..’
  และดูเหมือนคนที่หลิงหยุนหนักใจที่สุดกลับเป็นหนิงหลิงยู่..
  นั่นเพราะเมื่อคืนนี้หนิงหลิงยู่ถึงกับกล้าลงมือจู่โจมหลี่เจิ้งเฟิงซึ่งแม้แต่หลิงหยุนเองก็คาดไม่ถึง..
  หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าหลังจากที่หนิงหลิงยู่สามารถพัฒนาขั้นของตนเองได้แล้วนั้นอารมณ์และนิสัยของนางดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมากทีเดียว จากเดิมที่เคยเป็นเด็กสาวอ่อนโยนไม่ต้องการมีตัวตน แต่เวลานี้กลับดูเย็นชา เย่อหยิ่ง ก้าวร้าว แต่ก็เฉียบแหลมยิ่งนัก..
  “ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่หลิงยู่ไม่เชื่อฟังคำพูดของข้า..”
  หลิงหยุนพึมพำกับตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นถึงแม้ว่าสิ่งที่นางทำลงไปนั้น เป็นเพราะต้องการช่วยหลิงหยุนก็ตามที แต่หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป..
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ในเวลาเพียงแค่สั้นๆนี้ว่าปัญหาเกิดจากอะไรกันแน่
  “การรับทัณฑ์สวรรค์ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน..”
  หลิงหยุนพึมพำกับตัวเองและในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไม่พาหนิงหลิงยู่ไปที่โรงประมูลในครั้งนี้ด้วย
  “ใช่แล้ว..น้าหญิงกำลังรอให้ข้าติดต่อกลับไป ชวนนางไปด้วยดีกว่า!”
  จู่ๆหลิงหยุนก็ร้องตะโกนเสียงดัง พร้อมกับเรียกเครื่องมือสื่อสารออกมาติดต่อหาฉินตงเฉี่วยทันที  หลังจากนี้อีกหนึ่งอาทิตย์หลิงหยุนจะต้องเดินทางออกนอกปักกิ่ง เพื่อไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่หุบเขาเฟิงเล๋ยในเขาหลงหู่ และเย่ซิงเฉินก็จะไปที่นั่นด้วย หลังจากที่เขาช่วยหลิงเสี่ยวออกมาได้สำเร็จแล้ว ทั้งฉินตงเฉี่วยกับเย่ซิงเฉินต่างก็ได้ทำความรู้จักกัน และเริ่มที่จะคุ้นเคยกันบ้างแล้วในเวลานี้
  “ว่าไงล่ะพ่อวีรบุรุษ..พ่อคนภารกิจรัดตัว.. ในที่สุดก็โทรหาข้าได้แล้วรึ!”
  ฉินตงเฉี่วยกดรับสายทันทีภายในเวลาไม่ถึงสองวินาทีเวลานี้นางเพิ่งจะฝึกวิชาดาราคุ้มกายเสร็จ และกำลังรอให้ป้าเม่ยเตรียมอาหารเช้าอยู่..
  “น้าหญิง..ในที่สุดอะไรกันเล่า! ข้าคิดถึงท่านทุกวันเลย..”
  หลิงหยุนเกรงว่าฉินตงเฉี่วยจะต่อว่าตนเองรุนแรงจึงรีบพูดเอาอกเอาใจเสียก่อน จากนั้นจึงตรงเข้าประเด็นที่ต้องการถามทันที
  “น้าหญิง..คืนนี้ตระกูลเย่จะจัดการประมวลชาวยุทธขึ้น ข้าอยากจะไปเปิดหูเปิดตาหน่อย ท่านต้องการที่จะไปด้วยหรือไม่!”
  “แน่นอน..ข้าก็ต้องอยากไปอยู่แล้ว!”
  ฉินตงเฉี่วยตอบกลับโดยไม่ลังเลและรีบพูดต่อทันที “นี่เจ้าเด็กดื้อ.. ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ เหตุใดจึงหายหน้าหายตาไปไม่ติดต่อข้าเป็นเวลานานเช่นนี้”
  หลิงหยุนรีบอธิบายทันที“น้าหญิง.. ท่านเองก็รู้ว่าข้ามีภารกิจรัดตัว”
  “ท่านคิดดูสิ..หลิงยู่เพิ่งมาถึงปักกิ่งครั้งแรก ข้าก็ต้องพานางไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั้งพระราชวังต้องห้าม แล้วก็กำแพงเมืองจีน”
  “เท่านั้นไม่พอ..ข้ายังต้องไปตามเอาเงินจากคนที่ติดหนี้ข้าอีก และเมื่อคืนนี้ข้าก็เพิ่งจะประมือกับคนของหน่วยนภาไป..”
  หลิงหยุนอธิบายอย่างละเอียดและในที่สุดก็คร่ำครวญว่า “อีกอย่าง.. ตั้งแต่วันที่พวกเราไปรับหลิงยู่พร้อมกันที่สนามบินจนถึงวันนี้ ก็เพิ่งจะผ่านมาสามวันเองไม่ใช่รึ!”
  “หยุด..หยุด.. เจ้าอย่ามาทำเป็นคร่ำครวญกับข้า!”
  ฉินตงเฉี่วยรู้ว่าหลิงหยุนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจจึงรีบร้องห้ามอย่ารู้ทันพร้อมกับกระซิบเสียงเบา
  “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้..”
  น้ำเสียงของนางดูเหมือนจะเจือด้วยความเศร้าเล็กน้อย..
  หนิงหลิงยู่นั้นโทรศัพท์หานางแทบทุกวันมีหรือที่ฉินตงเฉี่วยจะไม่รู้ว่าหลิงหยุนยุ่งเพียงใดในแต่ละวัน แต่นางไม่พอใจกับสิ่งที่หลิงหยุนทำลงไปในแต่ละวันต่างหากเล่า..
  นั่นเพราะเมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูนั้นไม่ว่าหลิงหยุนจะยุ่งมากเพียงใด แต่เมื่อฉินตงเฉี่วยต้องการพบ เขาก็จะรีบกลับบ้านมาพบนางทันที อีกทั้งยังทำอาหารให้นางทาน ทำให้นางมีความสุขยิ่งนัก
  แต่เมื่อหลิงหยุนมาถึงปักกิ่งและได้กลับเข้าสู่ตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการ เรื่องของหลิงหยุนในแต่ละวัน ก็มีเพียงแค่การต่อสู้เพื่อนำพาตระกูลหลิงให้ผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วเท่านั้น..
  และการที่ฉินตงเฉี่วยจะได้พบเจอหลิงหยุนนั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก!
  แม้ว่าทั้งสองตระกูลจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นนี้แต่ตระกูลหลิงกับตระกูลฉินก็นับเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้นๆของประเทศนี้ จึงมีหลายฝ่ายคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของคนทั้งสองตระกูลอยู่ ฉินตงเฉี่วยจึงไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อีก..
  แม้กระทั่งในคืนวันประลองระหว่างตระกูลหลิงตระกูลซัน และตระกูลเฉินนั้น ฉินฉางชิงยังปฏิเสธที่จะนำตระกูลฉินเข้าต่อสู้ร่วมกับตระกูลหลิงในฐานะพันธมิตรด้วย..
  และนับตั้งแต่นั้นมา..การติดต่อระหว่างหลิงหยุนกับฉินตงเฉี่วยก็ค่อยๆ ลดลงไปมาก แม้หลิงหยุนจะบอกว่าเพิ่งผ่านไปเพียงแค่สามวัน แต่ในวันที่อยู่สนามบินนั้น ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีโอกาสพูดจากันเป็นส่วนตัวเลย และหลังจากนั้นหลิงหยุนก็ไม่เคยโทรศัพท์หานาง เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ฉินตงเฉี่วยรู้สึกหงุดหงิดได้อย่างไรกันเล่า
  ‘เมื่อครั้งที่อยู่จิงฉู..ข้าบอกกับเจ้าว่าจะติดตามเจ้า และจะต่อสู้กับศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้า เจ้าลืมคำพูดของข้าหมดแล้วรึ’
  หลังจากได้ฟังคำพูดของฉินตงเฉี่วยหลิงหยุนก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ และในที่สุดก็ตอบไปว่า
  “น้าหญิง..ใช่ว่าข้าจะละเลย หรือเพิกเฉยต่อท่าน ถึงแม้ข้าจะไม่ได้โทรศัพท์หาท่านทุกวัน แต่ท่านก็รู้เรื่องราวของข้าทุกอย่างจากหลิงยู่แล้วไม่ใช่รึ!”
  “หลิงยู่ก็ส่วนหลิงยู่..เจ้าก็ส่วนเจ้า!”
  ฉินตงเฉี่วยพูดแทรกขึ้นมาและตัดสินใจบอกกับหลิงหยุนไปว่า “เอาล่ะ.. เจ้ามีอะไรต้องทำก็ไปทำ ส่วนเรื่องอื่นไว้คุยกันเมื่อพบหน้า!”
  หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับกดวางสายไปทันที..   “เฮ้อ..เกิดเป็นผู้ชายนี่ช่างลำบากจริงๆ!”
  หลิงหยุนได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจพร้อมกับพึมพำออกมา.. แต่ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อคิดได้ว่าเรื่องของฉินตงเฉี่วยก็จัดการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ตอนพบหน้านาง เขาคงต้องใช้วาทศิลป์ที่เป็นของตนพูดให้ฉินตงเฉี่วยพอใจ..
  “เอาล่ะ..มีน้าหญิง เย่ซิงเฉิน ตี้เสี่ยวอู๋ โม่วู๋เตา แล้วก็ตัวข้ารวมเป็นห้าคน กำลังพอดีไม่มาก แล้วก็ไม่น้อยจนเกิดจนไป!”
  จากนั้น..หลิงหยุนก็ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางไปร่วมงานประมูลในคืนนี้!
  การประมูลก็คือการที่ฝ่ายหนึ่งเสนอสินค้าที่จะขายในขณะที่อีกฝ่ายเสนอที่จะซื้อสินค้าชิ้นนั้น และในเมื่อมีโอกาสที่จะทำกำไรจากการประมูลนี้ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนักหากจะนำของที่ไม่สำคัญออกประมูลขาย..
  จากนั้น..หลิงหยุนก็ได้เดินไปบอกกับตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตาเกี่ยวกับเรื่องโรงประมูลในคืนนี้ ทั้งสองคนต่างก็ตื่นเต้นกันอย่างมาก  เช้านี้..มีแขกทยอยมาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงกันอย่างไม่ขาดสาย ตั้งแต่คนใหญ่คนโต คนมีชื่อเสียงไปจนถึงนักธุรกิจทั่ว จนแม้แต่คฤหาสน์ตระกูลหลิงยังแทบจะรองรับไม่ไหว ผู้ที่มีชื่อเสียงใหญ่โตหน่อยก็ได้รอในบ้าน แต่นักธุรกิจตัวเล็กตัวน้อยก็เข้าแถวรออยู่ตามถนนด้านนอก..
  ปักกิ่งก็เป็นเช่นนี้..เหล่านักธุรกิจในเมืองนี้ล้วนแล้วแต่หูตาไวกันทั้งสิ้น เมื่อรู้ว่าปักกิ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลง ทุกคนต่างก็เริ่มเบนเข็มตามกันไปทั้งนั้น
  แต่หลิงหยุนไม่เสียเวลาออกไปต้อนรับหลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็เก็บโทรศัพท์มือถือ และเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดเข้าไปในแหวนจักรวาล จากนั้นจึงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ต้นหลิวเทวะวิญญาณฝึกวิชาต่อ..
  ช่วงบ่าย..หลิงเย่วได้แจ้งกับหลิงหยุนว่าเงินจำนวนสองพันล้านของหน่วยนภานั้น ได้ถูกโอนเข้ามาในบัญชีของตระกูลหลิงแล้วและเขาได้จัดการโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของหลิงหยุนแล้วเช่นกัน
  จากนั้น..หลิงหยุนก็ได้ฝึกฝนวิชาต่ออีกร่วมสามชั่วโมง จนกระทั่งเวลาบ่ายสี่โมงตรง เขาจึงได้ลุกขึ้นเดินตรงไปยังประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิง
  นั่นเพราะเวลานี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมาที่ตระกูลหลิงหลิงหยุนจึงต้องเดินออกไปทักทายด้วยตัวเอง!
  คนผู้นี้ก็คือเย่เทียนสุ่ยนั่นเอง!
  “โอ้..ท่านแขกผู้มีเกียรติ!”
  ทันทีที่เดินออกไปถึงหน้าประตูหลิงหยุนก็มองสำรวจเย่เทียนสุ่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม..
  “หลิงหยุน..ข้าเข้าไปคุยข้างในได้หรือไม่!”
  ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับหลิงหยุนเย่เทียนสุ่ยจะรู้สึกปวดหัวกับท่าทางยียวนของเขามาก แต่ก็ต้องกัดฟันข่มใจไว้  เย่เทียนสุ่ยนั้นหนักเกือบสองร้อยกิโลกรัมและการที่เขายืนคุยอยู่หน้าประตูเช่นนี้ จึงเป็นที่จับตามองของผู้คนด้านนอกมาก..
  “เสียใจ..ข้าให้เจ้าเข้าไปไม่ได้!”
  หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธเย่เทียนสุ่ยโดยไม่เห็นแก่หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย..
  เวลานี้หลิงหยุนยังไม่สามารถให้เย่เทียนสุ่ยเข้าไปภายในบ้านตระกูลหลิงได้จริงๆเพราะด้วยความสามารถของเย่เทียนสุ่ย ทันทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ย่อมสามารถสังเกตเห็นค่ายกลภายในบ้านตระกูลหลิงได้ และหากหลิงหยุนปล่อยให้เย่เทียนสุ่ยเข้าไป ก็จะไม่เป็นผลดีต่อตระกูลหลิงแน่..
  การปล่อยให้เย่เทียนสุ่ยเข้าไปย่อมทำให้เย่เทียนสุ่ยได้ประโยชน์ แต่หลิงหยุนกลับจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาจึงประกาศออกไปอย่างชัดเจน!
  เย่เทียนสุ่ยร้องตะโกนถามกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว“นี่หลิงหยุน.. เจ้าไม่รู้จักมารยาทในการต้อนรับแขกหรอกรึ! หรือเจ้าต้องการมีเรื่องกับข้า?”
  หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้างั้นรึ!”
  เย่เทียนสุ่ยได้แต่กร่นด่าหลิงหยุนอยู่ในใจและคำพูดประโยคนี้ก็ทำให้เขาแทบอยากจะฆ่าหลิงหยุน..
  แต่เย่เทียนสุ่ยก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้นเขาขบฟันแน่นก่อนจะถามพูดกับหลิงหยุนต่อว่า “หลิงหยุน.. ที่ข้ามาพบเจ้าวันนี้ ก็เพื่อจะมาเชิญเจ้าไปร่วมงานประมูลชาวยุทธ ที่ตระกูลเย่จะจัดขึ้นในคืนนี้!”
  ระหว่างที่พูดนั้นเย่เทียนสุ่ยก็ไม่ลืมที่จะหยิบบัตรเชิญ VIP ออกมาโบกไปมาต่อหน้าหลิงหยุน..
  และในเวลาเดียวกันนั้นเย่เทียนสุ่ยก็ได้ยืดศรีษะของตนผ่านประตูบ้านไป เพื่อที่จะสำรวจดูภายใน..
  “นี่..เจ้าไม่ต้องชะเง้อมองเลย! พี่หลิงซิ่วไม่อยู่บ้าน และต่อให้นางอยู่ นางก็ไม่ออกมาพบเจ้าแน่!”
  หลิงหยุนนั้นรู้ดีว่าเย่เทียนสุ่ยต้องการอะไรเขาจึงได้แต่ร้องเตือนออกไปว่า “อ่อ.. ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ากล้าใช้จิตหยั่งรู้สำรวจสอดส่องภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงของข้าแล้วล่ะก็ ข้าจะจัดการกับเจ้าแน่!”
  ภายในใจของเย่เทียนสุ่ยจะรู้สึกเดือดดาลกับคำพูดของหลิงหยุนมากเพียงใดนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง..
  ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น..มีกฏที่ต่างก็รู้กันโดยไม่ต้องเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า การใช้จิตหยั่งรู้สอดส่องความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แม้จะทำโดยสุจริตใจ ก็นับว่าเป็นการจงใจรุกรานผู้อื่นอย่างหนึ่ง..
  และการเปิดจิตหยั่งรู้ออกสอดส่องนั้นก็ใช่ว่าจะไม่สามารถถูกผู้อื่นจับได้..
  ด้วยเหตุนี้..ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น ตามสำนักต่างๆ หรือตระกูลต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีการสร้างค่ายกลขุนเขาขึ้นมาบดบังไว้ทั้งสิ้น
  กฏข้อห้ามนี้อาจเรียกว่าเป็นจรรยาบรรณของผู้บ่มเพาะตนก็ว่าได้หากฝ่าฝืน และถูกผู้อื่นพบเข้าว่ากำลังใช้จิตหยั่งรู้สอดส่องความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ก็จะต้องได้รับการประณาม และลงโทษ..
  เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆก็คงไม่ต่างจากน่านฟ้าของแต่ละประเทศนั่นเอง หากมีผู้รุกร้ำเข้ามา คนผู้นั้นก็จะถือว่าทำผิดกฏระเบียบ และสามารถถูกจับกุมได้ในทันที
  เย่เทียนสุ่ยมาพบหลิงหยุนถึงที่บ้านในครั้งนี้ก็เพียงแค่ต้องการนำบัตรเชิญมาให้เท่านั้น แต่หลิงหยุนกลับทำราวกับเขาเป็นโจรผู้ร้ายต่อหน้าผู้คนมากมาย และไม่คิดถึงหน้าตาของเขาเลยแม้แต่น้อย..
  ความจริงแล้วเย่เทียนสุ่ยไม่ได้อยากจะมาที่นี่ด้วยซ้ำไปแต่ถูกเย่ชิงเฟิงที่ทั้งโน้มน้าว และเกลี้ยกล่มแกมบังคับให้ต้องมา..
  “ไม่ว่าหลิงหยุนมีฐานะอะไรหรือมีอุปนิสัยเช่นใด แต่ชื่อเสียงและความสำเร็จของเขาในวันนี้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยมือของตัวเองทั้งสิ้น และจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทำให้ข้ารู้ว่าการที่เขาบอกกับเจ้าว่าต้องการมาร่วมงานประมูลชาวยุทธนั้น หากเจ้าไม่ส่งบัตรเชิญไปให้หลิงหยุน ก็จะเสียโอกาสครั้งงามในชีวิตไปเลยทีเดียว..”
  นี่คือคำพูดของเย่ชิงเฟิงที่บอกกับเย่เทียนสุ่ย..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร