“ดูนั่นสิ!ดูเหมือนศิษย์พี่หลี่เฉินจะสามารถเอาชนะฤทธิ์โอสถไร้ใจได้!”
หนึ่งในเหล่าแม่ชีซึ่งเป็นศิษย์อารามจิ้งซินที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นหลี่สุ่ยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉิงเม่ยเฟิงตอนนี้ ทำให้นางอดที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจไม่ได้!
เวลานี้ฉินตงเฉี่วยยืนถอยหลังออกไปทำให้ศิษย์อารามจิ้งซินซึ่งอยู่ด้านนอกสามารถมองเห็นเฉิงเม่ยเฟิงได้อย่างชัดเจน
โอสถเยาว์วัยที่สามสิบปีจึงจะหลอมได้สักครั้งมีผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่ต้องการ แม้แต่ศิษย์อารามจิ้งซินก็ตาม ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงวางความโกรธแค้นเมื่อครู่ลง และกำลังเฝ้าดูการประมูลอย่างใจจดใจจ่อ แต่เป็นเพราะพวกนางไม่มีกำลังทรัพย์ที่เพียงพอจึงได้แต่ยอมแพ้กับราคาประมูลที่สูงลิบลิ่ว
หลี่ซิ่วซึ่งเป็นน้องเล็กที่สุดและเข้ากันได้ดีกับเฉิงเม่ยเฟิงเป็นที่สุดนั้นหลังจากที่ได้รู้ความจริงจากปากเฉิงเม่ยเฟิงถึงสาเหตุที่นางต้องเข้าไปอยู่ในอารามจิ้งซิน ก็ไม่นึกตำหนิการกรำทำของนางเมื่อครู่เลย มิหนำซ้ำยังยินดีและรู้สึกมีความสุขกับนางไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่เห็นน้ำตาและรอยยิ้มแห่งความปิติสุขของเฉิงเม่ยเฟิง หลี่ซิ่วจึงได้ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
ศิษย์ของอารามจิ้งซินต่างก็รู้ฤทธิ์เดชของโอสถไร้ใจและวิชาไร้ใจดีว่ามีอานุภาพรุนแรงมากเพียงใดไม่ว่าหญิงใดได้กลืนโอสถนี้และฝึกวิชานี้ ก็จะต้องลืมสิ้นชายอันเป็นที่รัก และยิ่งเมื่อฝึกวิชาไร้ใจนานวันเข้า อย่าว่าแต่จะไร้อารมณ์ความรู้สึกต่อบุรุษเลย แม้แต่สิ่งสวยงามต่างๆบนโลกใบนี้ พวกนางก็จะไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกด้วยเช่นกัน จนกระทั่งกลายเป็นคนเย็นชาและไร้ซึ่งน้ำตาในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ทันทีที่หลี่สุ่ยเห็นภาพของเฉิงเม่ยเฟิงที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาเวลานี้ นางจึงรู้ได้ว่าฤทธิ์ของโอสถไร้ใจได้สูญสิ้นลง และไม่สามารถส่งผลต่อจิตใจของนางได้อีกต่อไปแล้ว!
“นี่..นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบสามร้อยปีของอารามจิ้งซินที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น!”
แม่ชีมี่หลินที่สังเกตเห็นอาการของเฉิงเม่ยเฟิงเช่นกันก็รู้สึกตกใจอย่างมากเช่นกัน และคิดไม่ถึงว่าพลังจิตพลังใจของเฉิงเม่ยเฟิงจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้!
แต่แม่ชีมี่หลินไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้หลิงหยุนได้ทำอะไรกับร่างของเฉิงเม่ยเฟิงไปบ้างไม่เช่นนั้นแล้วเฉิงเม่ยเฟิงคงจะไม่สามารถเอาชนะฤทธิ์ของโอสถไร้ใจและวิชาไร้ใจได้พร้อมๆกันเช่นนี้เป็นแน่
“ทั้งคู่รักกันแน่นเช่นนี้มี่ยู่ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
เหล่าศิษย์รุ่นเล็กของอารามจิ้งซินต่างก็จับกลุ่มกระซิบกระซาบเรื่องของแม่ชีมี่ยู่ด้วยความรู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง!
……
“เจ้าจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้วสินะคำพูดที่เสี่ยวเม่ยเม่ยบอกให้ข้าพูดกับเจ้านับว่าได้ผลมากจริงๆ!”
“ห๊ะ!”เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความงุนงง
–พี่เม่ยเฟิง..ข้าเป็นคนบอกน้าหญิงให้บอกกับเจ้าเช่นนั้นเองล่ะ ท่านจะตอบข้าเช่นใดดี-
ทันทีที่เฉิงเม่ยเฟิงได้ยินคำพูดประโยคนี้ดังขึ้นข้างหูนางก็จำได้ว่าเป็นเสียงของเสี่ยวเม่ยเม่ย แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลพรากออกมาอีกครั้ง เพื่อให้นางสามารถจดจำหลิงหยุนได้ ทุกคนต่างก็แอบทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อนางมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ไม่ว่าจะเป็นการแอบติดตามนางขึ้นบนหุบเขาแห่งนี้การได้ศิลาเกลาใจมาด้วยความบังเอิญ การปรากฏตัวของตี้เสี่ยวอู๋ การจัดการกับอารามจิ้งซิน เสียงของเสี่ยวเม่ยเม่ย แม้กระทั่งฉินตงเฉี่วยที่กลืนโอสถสองเม็ดจนหน้าตาคล้ายกับฉินจิวยื่อ ทุกอย่างไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันคือความตั้งใจ.. ยังไม่นับพลังอมตะสีม่วงที่หลิงหยุนได้ถ่ายเทลงไปในร่างของเฉิงเม่ยเฟิงทั้งหมดนี้ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงสามารถกลับมาจดจำทุกอย่างได้ มีเพียงแค่หลิงหยุนที่ยังไม่ปรากฏตัวต่อหน้านาง..
“หรือเจ้าได้ปรากฏตัวต่อหน้าข้าก่อนหน้านี้แล้วเพียงแต่ข้าจดจำเจ้าไม่ได้..”
เฉิงเม่ยเฟิงพึมพำออกมาพร้อมกับก้มลงมองศิลาเกลาใจในมือของตนเวลานี้จิตใจของนางเปี่ยมไปด้วยความปิติสุขยิ่งนัก!
หากเป็นเพื่อนนักเรียนของหลิงหยุนจะสามารถเล่าเรื่องราวระหว่างคนสองคนได้ละเอียดถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะรู้แม้กระทั่งความลับของคนสองคนที่ผู้อื่นไม่มีทางรู้เชียวหรือ?
อีกอย่าง..หากอีกฝ่ายไม่มีวรยุทธจริง หลังจากที่ขึ้นมาถึงหุบเขาหลงเฟย และได้พบเหล่าชาวยุทธที่พกอาวุธหลากหลายมากมายเช่นนี้ มีหรือที่จะไม่ตกใจกลัวจนหน้าถอดสี แต่เด็กหนุ่มผู้นั้นกลับมีสีหน้านิ่งเรียบ.. อีกทั้งเมื่อครั้งที่เผชิญกับฝ่ามือของแม่ชีมี่ยู่เด็กหนุ่มผู้นั้นกลับไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายังคงยืนมองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม!
เขามาที่นี่แล้วและได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ตนฟังแล้ว อีกทั้งยังบอกให้นางไม่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด..
หลิงหยุนได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว!
“สีหน้าของพี่เม่ยเฟิงเปี่ยมไปด้วยความสุขยิ่งนักข้าอยากให้ตนเองเป็นเช่นนางในตอนนี้บ้าง”
เย่ซิงเฉินเฝ้ามองเฉิงเม่ยเฟิงซึ่งอยู่กลางลานประมูลด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจจนอดที่จะรำพึงรำพันออกมาเช่นนั้นไม่ได้ หลิงหยุนทำเพื่อเฉิงเม่ยเฟิงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกประทับใจอย่างที่สุด..
“พอเถอะ..อย่าให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับข้าอีกเลย!” หลิงหยุนเอ่ยออกมา ……
“เม่ยเฟิง..ที่นี่ไม่เหมาะแก่การพูดคุย ออกไปจากตรงนี้ดีกว่า ไปหาที่เงียบๆคุยกัน!”
หลังจากที่ความทรงจำของเฉิงเม่ยเฟิงกลับคืนมาฉินตงเฉี่วยก็เริ่มดึงร่างของเฉิงเม่ยเฟิงออกไปจากตรงนั้นทันที
“เสี่ยวอู๋..ข้าต้องไปก่อนแล้ว ขอบใจเจ้ามาก!”
เฉิงเม่ยเฟิงไม่ลืมที่จะหันไปร้องบอกตี้เสี่ยวอู๋และหวังชงเซียว “ข้าน้อยขอบคุณอาวุโสด้วยเช่นกัน!”
หากไม่ใช่เพราะหวังชงเซียวที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันมีหรือที่ศิษย์อารามจิ้งซินจะตกใจจนยอมล่าถอยกลับออกไปเช่นนั้น เฉิงเม่ยเฟิงจึงต้องกล่าวขอบคุณเขาด้วยเช่นกัน
“เอ่อ..นายหญิงอย่าได้กล่าวกับข้าเช่นนี้ ข้าไม่กล้ารับไว้..”
หวังชงเซียวได้ยินเฉิงเม่ยเฟิงเรียกตนว่าอาวุโสเช่นนี้ก็ถึงกับกลับหวาดกลัวจนต้องรีบเอ่ยห้ามไว้ทันที!
“…..”เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับงุนงงกับท่าทางของหวังชงเซียวจนพูดอะไรไม่ออก
“ไปกันดีกว่า..”
ฉินตงเฉี่วยหันไปยิ้มให้เฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับชักชวนนางกระโดดออกไปนอกลานประมูลแล้วเดินไปหาที่เงียบๆนั่งพูดคุย
ระหว่างที่หญิงสาวทั้งสองเดินห่างออกไปนั้นก็มีคนอีกสองสามคนเดินตามพวกนางออกไปด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือเสี่ยวเม่ยเม่ย เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และไป๋เซียนเอ๋อนั่นเอง พวกนางต่างก็รู้จักกับเฉิงเม่ยเฟิงมาก่อนจึงรีบเดินตามออกไป
……
“นี่..เจ้าไม่ออกไปกับเขาบ้างรึ”
เย่ซิงเฉินที่ไม่ได้เดินตามทุกคนออกไปเป็นฝ่ายเอ่ยถามหลิงหยุนออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่!” หลิงหยุนตอบกลับเย่ซิงเฉินไปทันทีจากนั้นจึงทำหน้าพยักเพยิดไปกลางลานประมูล “ตอนนี้การประมูลกำลัเข้มข้น..”
“1.2ล้านแต้ม!”
เวลานี้ราคาของโอสถเยาว์วัยได้พุ่งขึ้นสูงถึง1.2 ล้านแต้มแล้ว หากคิดเป็นเงินก็เกือบสี่หมื่นล้านหยวนทีเดียว!
ตอนนี้เหลือเพียงแค่ชาวยุทธระดับหัวแถวเท่านั้นที่ยังคงประมูลโอสถเยาว์วัยอยู่ซึ่งมีทั้งคนของวัดเส้าหลิน สำนักเขาหลงหู่ ตระกูลหลง ตระกูลเย่ สำนักกระบี่คุนหลุน และสำนกระบี่เทียนซาน..
เวลานี้ดูเหมือนผู้คนจะลืมเลือนโอสถโฉมสะคราญไปเลยทีเดียวและสนใจประมูลเพียงแค่โอสถเยาว์วัยเท่านั้น!
“1.3ล้านแต้ม!”
ผู้ที่เสนอราคาก็คือคนของสำนักเขาหลงหู่ที่หลายปีมานี้ขายโอสถและยันต์ไปมากมายจึงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ!
“1.4ล้านแต้ม!” เส้าหลินเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“1.8ล้านแต้ม”
เสียงของใครบางคนร้องตะโกนประมูลแข่งขึ้นมาโดยเสนอราคาเพิ่มถึงสี่แสนแต้มในคราวเดียว
“สำนักกระบี่เทียนซานคงเสียสติไปแล้ว!”
แม้หลิงหยุนจะไม่รู้จักแต่คนอื่นๆต่างก็รู้จักกันดี รวมทั้งนักพรตชงซวีแห่งสำนักบู๊ตึ๊งด้วย..
ก่อนหน้านี้นักพรตชงซวีเองก็ร่วมประมูลด้วยเช่นกันแต่เมื่อราคาเริ่มสูงถึงหนึ่งล้านแต้มเขาก็หยุดทันที และอดที่จะหันไปพูดคุยกับหลวงจีนเจี๋วยหยวนไม่ได้
“ดูท่าตี๋เสี่ยวเจินยิ่งแก่ก็ยิ่งเลอะเลือนนางยังไม่ได้แก่อะไรมากมายนัก จะต้องการโอสถเยาว์วัยไปทำไมกัน” หลวงจีนเจี๋ยวหยวนยิ้มขื่นก่อนจะตอบกลับไปว่า“เจ้าถามข้าแล้วจะให้ข้าไปถามผู้ใดเล่า แต่หากราคาสูงกว่า 1.2 ล้าน เส้าหลินของข้าก็คงต้องหยุดเช่นกัน ฮ่า.. ฮ่า..”
แน่นอนว่าบทสนทนาของทั้งคู่ต่างก็อยู่ในการรับรู้ของหลิงหยุนทั้งสิ้นและเวลานี้เขาก็ถึงกับใจสั่น!
ตี๋เสี่ยวเจินแห่งสำนักกระบี่เทียนซานงั้นรึ
หลิงหยุนแทบไม่ต้องคิด..สาเหตุที่ตี๋เสี่ยวเจินต้องการโอสถเยาว์วัยก็เพราะนางเห็นฉินจิวยื่อที่ดูอ่อนเยาว์ลงไปอีกสิบปีอย่างไรเล่า นางจึงต้องการที่จะอ่อนเยาว์ดังเช่นฉินจิวยื่อบ้าง..
จนกระทั่งถึงตอนนี้หลิงหยุนยังไม่รู้ว่าฉินจิวยื่ออยู่ในกระบี่เทียนซานจะเป็นเช่นใดบ้าง
หลิงหยุนเชื่อว่าข่าวคราวเรื่องที่เขาพาตัวตี๋ยั่วถังมาที่งานชุมนุมชาวยุทธด้วยนั้นคงจะต้องล่วงรู้ถึงหูของสำนักกระบี่เทียนซานแล้วเช่นกัน และเวลานี้ในลานประมูลก็คงมีคนของสำนักกระบี่เทียนซานอยู่ไม่น้อย พวกมันคงจะจัดการรายงานเรื่องโอสถเยาว์วัยนี้ให้ตี๋เสี่ยวเจินรู้แล้วด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ตี๋เสี่ยวเจินจึงสั่งให้คนของตนต้องประมูลโอสถทั้งสองเม็ดมาให้ได้ ไม่ว่าราคาจะสูงมากเพียงใดก็ตาม!
ที่ผ่านมาไม่เพียงตี๋เสี่ยวเจินจะไม่งดงามดังเช่นฉินจิวยื่อแต่ตอนนี้ฉินจิวยื่อยังสาวกว่านางมากนัก เช่นนี้แล้วนางจะไม่อยากได้โอสถทั้งสองเม็ดนี้อย่างไรกันเล่า
เวลานี้เส้าหลินได้ถอยแล้วจึงเหลือเพียงแค่สองสำนักที่ยังคงประมูลแข่งกันอยู่ ซึ่งก็คือสำนักกระบี่คุนหลุนและสำนักกระบี่เทียนซาน
“2.6ล้าน!”
“2.8ล้าน!”
สำนักกระบี่คุนหลุนได้แต่นิ่งเงียบไปเมื่อสำนักกระบี่เทียนซานเสนอราคาสูงถึง2.8 ล้านเช่นนี้!
“2.8ล้านครั้งที่หนึ่ง 2.8ล้านครั้งที่สอง..” ตี้เสี่ยวอู๋เห็นว่าไม่มีผู้ใดเสนอราคาแข่งอีกแล้วจึงได้ร้องตะโกนนับออกมาเสียงดังแต่ในระหว่างที่กำลังจะนับครั้งที่สามนั้น เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา..
“สามล้าน!”
“ผู้ใดกัน!”
“นั่นสิผู้ใดกันนะ นี่บ้ากันไปหมดแล้วหรืออย่างไร? เหตุใดจึงประมูลกันด้วยราคาที่สูงจนน่ากลัวเช่นนี้?”
“คนผู้นี้จงใจก่อนกวนหรืออย่างไร”
ทุกคนที่อยู่รอบลานประมูลต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
“ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงคนนั้น..นางบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”
ใครคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาเมื่อหันไปพบหญิงสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าผู้หนึ่งและนางก็คือจินเหยียว
ตี้เสี่ยวอู๋แสร้งทำเป็นหันไปทางจินเหยียวพร้อมกับพูดขึ้นว่า“สหาย.. หวังว่าเจ้าคงจะไม่ได้ต้องการเพียงแค่ก่อกวนการประมูลของข้าหรอกนะ ไม่เช่นนั้นแล้ว..”
เพราะตี้เสี่ยวอู๋รู้ดีว่าหญิงผู้นี้ก็คือจินเหยียวเขาจึงไม่กล้าพูดว่าไม่เช่นนั้นแล้วผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด จึงแสร้งทำเป็นหันมองไปทางหวังชงเซียวแทน…
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไปในเมื่อข้ากล้าเสนอราคา ย่อมต้องมีปัญญาจ่าย!” จินเหยียวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“3.2ล้าน!”
ครั้งนี้คนของสำนักกระบี่เทียนซานถึงกับกัดฟันแน่นก่อนจะตัดสินใจเสนอราคาออก
“3.4ล้าน!”
“3.6ล้าน!” สำนักกระบี่เทียนซานไม่ยอมแพ้
จินเหยียวยังคงเสนอราคาต่อ“3.8 ล้าน!”
ครั้งนี้สำนักกระบี่เทียนซานกลับนิ่งและในที่สุดตี้เสี่ยวอู๋ก็ต้องประกาศออกมา “3.8 ล้านครั้งที่หนึ่ง 3.8 ล้านครั้งที่สอง..” เวลานี้ทุกคนที่อยู่ฝ่ายหลิงหยุนต่างก็พากันเหงื่อตกเพราะเกรงว่าสำนักกระบี่เทียนซานจะยอมแพ้ไม่เสนอราคาประมูลแข่งอีก
แต่แล้วสำนักกระบี่เทียนซานก็ไม่ทำให้หลิงหยุนต้องผิดหวังจริงๆ
“สี่ล้าน!”
และครั้งนี้จินเหยียวก็ไม่เสนอราคาแข่งอีกในที่สุดโอสถเยาว์วัยจึงได้ตกเป็นของสำนักกระบี่เทียนซานไปด้วยราคาสี่ล้านแต้ม!
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขกับกำไรที่แสนงดงามเช่นนี้!
ทางด้านเย่ซิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเช่นกันพร้อมพึมพำออกมาว่า
“ตี๋เสี่ยวเจินผู้นี้ช่างน่าสังเวชนัก!”
แม้การประมูลโอสถเยาว์วัยจะประสบความสำเร็จและได้ราคาสูงถึงเพียงนี้แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลิงหยุนมีความสุขเท่าที่เฉิงเม่ยเฟิงสามารถจดจำตนได้แล้ว เพราะราคาของโอสถย่อมไม่อาจเทียบกับเฉิงเม่ยเฟิงได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร