หลิงหยุนโอหังเกินไปมากจริงๆ!
ในวันข้างหน้าห้ามคนของตระกูลหลงเหยียบจิงฉูและห้ามเข้าไปยุ่มย่ามในเขตป่าเสินหนงเจี๋ย อีกทั้งยังห้ามเข้าไปวุ่นวายภายในบริเวณสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ด้วย!
ไม่เพียงเท่านั้นหลิงหยุนยังสั่งให้ตระกูลหลงปล่อยตัวหลงคุนกับหลงหวู่ให้เป็นอิสระด้วย..
ต่อหน้านักบวชอาวุโสฝ่ายชางจิงกงและเทียนชี่ฝูทั้งสองคนหลิงหยุนกล้าออกคำสั่งกับอดีตผู้นำตระกูลหลงอย่างหลงลั่วอวี๋ เห็นได้ชัดว่าไม่แยแส และไม่เห็นตระกูลหลงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย..
แต่หลิงหยุนในเวลานี้ก็มีคุณสมบัติที่จะทำกับตระกูลหลงเช่นนั้นและในสถานการณ์เช่นนี้ การที่เขาไม่สังหารคนตระกูลหลง ก็นับว่าเขาปราณีมากแล้ว! ทางด้านเย่ซิงเฉินที่อยู่ห่างออกไปนั้นเมื่อได้เห็นภาพที่หลิงหยุนบดขยี้ศัตรูของตนเองอย่างเหนือชั้น และข่มขู่คนตระกูลหลงเช่นนั้น ดวงตากลมโตของนางก็ถึงกับเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง และสะใจยิ่งนัก!
เย่ซิงเฉินได้แต่นึกถึงหยินชิงเฉวียนและคิดอยู่ในใจว่า ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ คงอีกไม่นานนักที่เขาจะสามารถบุกเข้าไปในดินแดนของพรรคมารเพื่อช่วยแม่แท้ๆ ซึ่งเป็นอาจารย์ของนางออกจากที่คุมขังได้!
หลังจากที่นักบวชเล่ยถิงและนักบวชจางหลู่เอวี๋ยนจากเขาหลงหู่ ได้ฟังข้อเรียกร้องทั้งสามของหลิงหยุนแล้ว ทั้งคู่ก็ได้แต่ยิ้มขื่น แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว..
ยิ่งไปกว่านั้นชาวยุทธมากกว่าร้อยคนที่รอดชีวิตจากงานชุมนุมชาวยุทธไปได้นั้น ต่างก็พากันเล่าเรื่องราวความเก่งกาจของหลิงหยุน จนแพร่สะพรัดออกไปทั่ว และผู้เฒ่าทั้งห้าในที่นี้ก็ล้วนแล้วแต่ได้ยินมาแล้วทั้งสิ้น เวลานี้จึงไม่มีผู้ใดคิดที่จะเอ่ยปากต่อรองกับหลิงหยุนเลยแม้แต่คนเดียว
เวลานี้หลงลั่วอวี๋กำลังสัมผัสกับความขมขื่นใจแบบที่เหล่ายอดฝีมือในงานชุมนุมชาวยุทธได้รับมันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดและเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่มีหนทางอื่นนอกจากต้องทนนิ่งรับ เพราะหลิงหยุนแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถต่อรองได้..
ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนนั้นมีมากจนกระทั่งเห็นตระกูลหลงไม่ต่างจากชาวยุทธคนอื่นๆ
“หลิงหยุนข้อเรียกร้องทั้งสามของเจ้านั้นข้าจะรับไว้ หลังจากกลับไปตระกูลหลงแล้ว พวกเราจะไปปรึกษาหารือกันอีกที แล้วค่อยตัดสินใจ!”
หลงลั่วอวี๋เป็นถึงผู้นำตระกูลหลงรุ่นก่อนถึงแม้ว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่หลิงหยุน แต่ก็ไม่กล้าทำให้ตระกูลหลงต้องเสียหน้ามากไปกว่านี้ จึงได้แต่ต้องตอบกลับไปเช่นนั้น หลังจากหลงลั่วอวี๋ตอบหลิงหยุนไปแล้ว เขาจึงเหลือบมองไปทางนักบวชอาวุโสทั้งสอง แล้วจึงหันกลับไปพูดกับหลิงหยุนอีกครั้ง
“นักบวชทั้งสองท่านนี้ล้วนเป็นข้าเชิญพวกเขามาช่วยทั้งสิ้น ข้าหวังว่าเรื่องบาดหมางระหว่างตระกูลหลงกับเจ้า จะไม่กระทบกับอาวุโสทั้งสองท่านนี้ด้วย..”
ก่อนจะจากไปหลงลั่วอวี๋ยังคงนึกถึงนักบวชทั้งสองจากเขาหลงหู่ และได้แต่ขอให้หลิงหยุนปล่อยพวกเขาไป
“ผู้นำตระกูลหลง..เจ้าอย่าได้กังวลใจไปนัก นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับนักบวชทั้งสอง ไม่เกี่ยวกับตระกูลหลงของเจ้า พวกเจ้ารีบกลับไปได้แล้วก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ..”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆเพราะเขาและนักบวชจากเขาหลงหู่ทั้งสองนิกาย ก็ล้วนแล้วแต่มีความแค้นต่อกันทั้งคู่ และด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ หากนักบวชทั้งสองไม่คิดแก้แค้น เขาเองก็คร้านที่จะสนใจนักบวชทั้งสองอีก หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลงลั่วอวี๋นักบวชเล่ยถิงจึงได้เอ่ยออกไปว่า “ท่านหลง.. ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่าน แต่เรื่องระหว่างเขาหลงหู่กับหลิงหยุน ข้ากับท่านจางหลู่เอวี๋ยนจะเป็นผู้จัดการเอง ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากนัก..”
นักบวชจางหลู่เอวี๋ยนเองก็ได้แต่เหลือบมองหลงลั่วอวี๋อย่างไม่สนใจนักหลงลั่วอวี๋ถึงกับยิ้มขื่น ในที่สุดก็หันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ตระกูลหลงของข้าจะจดจำบทเรียนในครั้งนี้ไว้พวกเราไปได้!”
หลังจากพูดจบหลงลั่วอวี๋ก็โบกมือให้กับหลงจ้าวเจียงและหลงจ้าวไห่แล้วทั้งสามคนก็เหาะออกไปทันที!
หลงลั่วอวี๋ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากไปกว่านั้นเพราะเขาเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับอุปนิสัย และอารมณ์ของหลิงหยุนมามาก จึงเกรงว่าหากตนยังขืนพูดอะไรมากไปกว่านี้ คงไม่มีโอกาสที่จะกลับไปเป็นแน่ “ซิงเฉินเจ้ามานี่!”
หลังจากที่ผู้เฒ่าตระกูลหลงทั้งสามจากไปแล้วหลิงหยุนจึงเรียกเย่ซิงเฉินให้มาหา จากนั้นจึงหันไปพูดกับนักบวชทั้งสองจากเขาหลงหู่ว่า
“ข้าขอแนะนำพวกเจ้ารู้จัก..นี่คือธิดาพรรคมารเย่ซิงเฉิน และนางก็เป็นภรรยาของข้า!”
“เอาล่ะ..ข้าขอถามพวกเจ้าทั้งสองอย่างตรงไปตรงมา เวลานี้ข้ากับธิดาพรรคมารอยู่ด้วยกันเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองยังคิดที่จะสังหารมารผดุงธรรมะอยู่อีกหรือไม่”
หลิงหยุนถามนักบวชอาวุโสไปตามตรงเขาคร้านที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้..
“หลิงหยุน..เจ้าถามเช่นนี้ช่างน่าขันนัก พวกข้าทั้งสองเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือของเจ้า ที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ยังจะมีประโยชน์อันใดที่จะพูดถึงเรื่องกำจัดมารผดุงธรรมะกันอีกเล่า” นักบวชเล่ยถิงหาใช่คนโง่ไม่ที่พูดจาตอบโต้หลิงหยุนกลับไปเช่นนั้น..
“เอาล่ะ..ในเมื่อพวกท่านเข้าใจสถานการณ์ดี ข้าเองก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากนัก!”
หลิงหยุนจ้องมองนักบวชอาวุโสทั้งสองแล้วจึงพูดขึ้นว่า “งานชุมนุมชาวยุทธในครั้งนี้ สำนักเขาหลงหู่ เส้าหลิน และสำนักกระบี่คุนหลุนเป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้น และจุดประสงค์ในการจัดงานชุมนุมชาวยุทธครั้งนี้ ก็เพื่อกำจัดตระกูลหลิงของข้า สังหารข้า สังหารพ่อแม่ของข้า และสังหารธิดาพรรคมารเย่ซิงเฉิน..”
“ข้าไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธครั้งนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน และในเมื่อผู้ใดคิดสังหารข้า ข้าย่อมต้องสังหารพวกมันเช่นกัน เหตุผลข้อนี้ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ พวกเจ้าทั้งสองก็น่าจะพอเข้าใจได้..”
นักบวชอาวุโสทั้งสองต่างก็พากันพยักหน้าและเอ่ยออกไปว่า “เหตุผลข้อนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้..”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกกับพวกเจ้าสองคนตามตรงในคืนงานชุมนุมชาวยุทธนั้น ข้าได้สังหารนักบวชเลี่ยยื่อและนักบวชฝ่ายชางจิงกงไปทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน อีกทั้งยังได้สังหารนับบวชฝ่ายเทียนชี่ฝูไปอีกราวห้าคน..”
หลิงหยุนทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า“หลังจากที่ข้าสังหารนักบวชของสำนักเขาหลงหู่ไป ข้าย่อมเข้าใจดีว่าคนของสำนักเขาหลงหู่จะต้องกลับมาแก้แค้นข้าคืนแน่ ซึ่งข้าเองก็ยอมรับได้ แต่ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนว่า หากคิดจะแก้แค้นให้มาหาข้าผู้เดียว อย่าได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายไปทำร้ายคนรอบตัวข้าแทน เพราะหากพวกเจ้าทำเช่นนั้น ข้าจะบุกไปถล่มเขาหลงหู่ให้ราบเป็นหน้ากอง และจะทำให้สำนักเขาหลงหู่ต้องสิ้นชื่อไปจากยุทธภพแน่!”
หลิงหยุนจำเป็นต้องข่มขู่นักบวชอาวุโสทั้งสองไว้ก่อนเพราะเขารู้ดีว่านักบวชในสำนักเขาหลงหู่นั้นเจ้าเล่ห์มากเพียงใด และเขาเชื่อว่าหากนักบวชจากเขาหลงหู่ไม่สามารถเล่นงานเขาได้ ย่อมต้องหันไปเล่นงานคนรอบตัวเขาแทนแน่ หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม..
“เอ่อ..เชิญเจ้าพูดต่อเถิด..”
นักบวชเล่ยถิงถึงกับมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อถูกหลิงหยุนจับได้จึงได้แต่ระล่ำระลักตอบไปว่า
“เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ได้มิหนำซ้ำยังเฉลียวฉลาดมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก..”
“ในเมื่อเจ้าตั้งใจที่จะไว้ชีวิตของพวกเราสองคนหลังจากที่ข้ากลับไปเขาหลงหู่ จะกำชับเหล่านักบวชทั้งหมด มิให้สร้างปัญหาให้กับประสกในวันข้างหน้า และความบาดหมางระหว่างเจ้ากับนักบวชฝ่ายชางจิงกง นับจากวันนี้ถือว่าเป็นอันสิ้นสุด!”
นักบวชเล่ยถิงไม่เพียงไม่พูดถึงเรื่องการแก้แค้นแต่กลับเปลี่ยนมาเป็นแก้ปัญหาความบาดหมางระหว่างนักบวชฝ่ายชางจิงกงกับหลิงหยุนแทน
“หลิงหยุน..ข้าจางหลู่เอวี๋ยนเองก็รับปากเช่นกัน!”
จางหลู่เอวี๋ยนได้ยินนักบวชเล่ยถิงกล่าวเช่นนั้นเขาเองจึงรีบพูดแทรกขึ้นทันทีเช่นกัน
“ในเมื่อเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเจ้ากับข้าสิ้นสุดลงแล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก!”
หลิงหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงพึงพอใจจากนั้นจึงถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แล้วเรื่องของเจ้าขาวปุยเล่า”
“เจ้าขาวปุยอะไรรึ!”
นักบวชทั้งสองเอ่ยถามขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้างุนงง..
หลิงหยุนจึงได้อธิบายให้ทั้งคู่ฟังทันที“ก็สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอย่างไรเล่า”
นักบวชเล่ยถิงเข้าใจได้ในทันทีเขารีบรับปากหลิงหยุนอย่างหนักแน่น “ในอดีตกาลแต่ไหนแต่ใดมานั้น ปีศาจที่ยิ่งใหญ่มักจะถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับเทพที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ในเมื่อสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเลือกที่จะติดตามเจ้า ข้าและนักบวชฝ่ายชางจิงกงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนางอีก ขอเจ้าได้โปรดวางใจ..”
‘ปีศาจที่ยิ่งใหญ่มักจะถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับเทพที่ยิ่งใหญ่’
ทันทีที่ได้ฟังคำสรรเสริญเยินยอเช่นนี้จากปากของนักบวชเล่ยถิงหลิงหยุนก็ถึงกับขนลุกชนชัน และรู้สึกชื่นชอบไม่น้อย
อีกอย่างหลิงหยุนเองก็เป็นผู้ที่มาจากโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ คำพูดเช่นนี้ของนักบวชเล่ยถิง เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยออกมาเท่านั้น
หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับผายมือออกเชื้อเชิญ “เอาล่ะ.. ขอเชิญพวกเจ้าสองคนกลับไปได้!”
แต่นั่นหาใช่การเชื้อเชิญไม่..แต่มันคือคำสั่ง!
“สวรรค์เมตตา!” นักบวชอาวุโสทั้งสองพยักหน้าและเอ่ยออกมาพร้อมกัน“ประสก.. แล้วพบกันใหม่!”
“พวกเราย่อมต้องได้พบกันอีกแน่!”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆพร้อมกับผายมือออกในขณะที่มองนักบวชอาวุโสเหาะจากไป..
และหลิงหยุนก็ไม่ได้เพียงแค่พูดเลื่อนลอยแม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาเวลานี้จะทำให้นักบวชอาวุโสทั้งสองถึงกับหวั่นเกรง จนยอมละทิ้งความแค้น และรับปากจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนของเขาและไป๋เซียนเอ๋อ แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว เขาหลงหู่เป็นสถานที่ที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว และสักวันเขาจะต้องไปเยี่ยมเยียนเป็นแน่..
“หลิงหยุน..ที่นักบวชเล่ยถิงกล่าวว่า ปีศาจที่ยิ่งใหญ่มักจะถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับเทพที่ยิ่งใหญ่.. มันหมายความเช่นใดงั้นรึ”
หลังจากที่นักบวชอาวุโสทั้งสองจากไปแล้วเย่ซิงเฉินก็รีบเอ่ยถามหลิงหยุนทันที!
“ฮ่าๆๆๆ” หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังแล้วจึงตอบกลับไปว่า “นี่เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ คำพูดของนักบวชเล่ยถิงก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า ข้าคือเทพเจ้า!”
“เชอะ!”
เย่ซิงเฉินทำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อนางเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้านี่นะเป็นเทพเจ้า.. รอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเสียก่อน ข้าจึงจะเชื่อเจ้า!”
คนไร้ยางอายทำทุกสิ่งทุกอย่างตามใจตนเอง อยากฆ่าใครก็ฆ่า ทั้งหมดที่หลิงหยุนทำนั้นห่างไกลคำว่าเทพเจ้ามากนัก!
“หากบอกว่าเจ้าเป็นมารผู้ยิ่งใหญ่ข้ายังจะเชื่อมากกว่า!” เย่ซิงเฉินตอบกลับพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“มารผู้ยิ่งใหญ่งั้นรึนี่เจ้าเคยพบเจอจอมมารหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ด้วยรึ?!”
หลิงหยุนยืนเท้าเอวจ้องมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับร้องตอบโต้แต่จู่ๆเขาก็หยุดนิ่งไปเล็กน้อย แล้วจึงพูดต่อว่า..
“แต่จะว่าไปจอมมารผู้ยิ่งใหญ่มักเสียงดังกว่าเทพเจ้ามากนัก แล้วข้าก็ชอบที่จะเป็นมารมากกว่าด้วย!”
ในเวลานั้นดวงอาทิตย์ก็กำลังขึ้นจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกพอดี แสงสีแดงของดวงอาทิตย์ฉายสาดส่องเข้าใส่ร่างของหลิงหยุน ทำให้เขาดูช่างสง่างามยิ่งนัก!
แต่ในระหว่างที่แสงอาทิตย์ร้อนแรงกำลังสาดส่องมานั้นจู่ๆเย่ซิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในร่างกาย พลังภายในของนางพัฒนาเข้าสู่ขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ในทันที!
ในขณะเดียวกัน..บนยอดเขาหยุนเหมิงที่สูงที่สุดในปักกิ่ง หนิงหลิงยู่ซึ่งกำลังอาบแสงแรกจากดวงอาทิตย์ ก็สามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ทันทีเช่นกัน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร