บทที่ 1383 : กลับถึงจิงฉู
บนท้องนภาเหนือพื้นดินไปหนึ่งหมื่นเมตรหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินกำลังเหาะตรงไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือมุ่งหน้าสู่เมืองจิงฉู
หลังจากที่เย่ซิงเฉินเข้าสู่ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) ความเร็วในการเหาะของนางจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของความเร็วเสียง ซึ่งเทียบเท่าหนึ่งกิโลเมตรต่อหนึ่งวินาทีโดยประมาณ
หากทั้งคู่เหาะไปด้วยความเร็วสูงเช่นนี้เพียงแค่เจ็ดหรือแปดนาที ก็สามารถเหาะไปถึงจิงฉูได้แล้ว
“ข้างบนนี้เครื่องบินเยอะเกินไปพวกเราลงไปใต้ทะเลกันดีกว่า..”
แต่หลังจากเหาะไปได้เพียงแค่สองสามนาทีหลิงหยุนก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปใต้ทะเลแทน นั่นเพราะในเวลาเพียงแค่สองสามนาที ทั้งคู่ก็พบกับเครื่องบินที่บินผ่านไปผ่านมาถึงห้าลำแล้ว หากต้องบินไปล่องหนหายตัวไปตลอดทางเช่นนี้ เป็นการสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับตัวเอง
จากนั้นทั้งหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินก็พุ่งลงไปยังท้องทะเลด้านล่างและใช้แก้วจ้าวสมุทรเปิดทางใต้น้ำเช่นเคย
‘คิดไม่ถึงจริงว่ามนุษย์ในยุคนี้จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศไปได้ด้วยวิธีเช่นนี้..’
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิดเขากำลังนึกถึงโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ผู้บ่มเพาะพลังมีทั้งสายพันธุ์มนุษย์ และสายพันธุ์อสูร เหล่าสัตว์อสูรต่างก็เหาะเหินไปกลางอากาศด้วยปีกของพวกมันเอง บ้างก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บ้านท้องฟ้าก็มี..
ในขณะที่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ผู้บ่มเพาะตนดูเหมือนจะถูกบีบให้ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้น ไม่สามารถเหาะไปได้อย่างอิสระ เพราะบนท้องฟ้ามีเครื่องบินบินไปบินมาอยู่เต็มไปหมด ส่วนในท้องทะเลก็มีเรืออยู่มากมาย ในขณะที่บนผืนดินก็มีกล้องวงจรปิดติดอยู่แทบจะทั่วทุกหนทุกแห่ง
ทั้งหมดนี้ทำให้หลิงหยุนรู้สึกว่าแม้เขาจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) แต่ก็ไม่สามารถใช้พลังวิเศษของตนได้อย่างอิสระ เหมือนเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ เพราะหากจะเหาะไปอย่างสบายๆ ก็ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้คนธรรมดาทั่วไปเห็น เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ และน่าเหลือเชื่อจนเกินไป!
เย่ซิงเฉินเห็นสีหน้าที่บูดบึ้งของหลิงหยุนก็พอจะเข้าใจได้นางจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“ระยะความสูงจากพื้นดินหกพันเมตรไปจนถึงหนึ่งหมื่นเมตรเป็นระยะที่เครื่องบินบินกันเป็นปกติ หากพวกเราเหาะไปในระยะที่ต่ำกว่าหกพันเมตร หรือเหนือหนึ่งหมื่นห้าพันกิโลเมตรขึ้นไป ก็น่าจะพ้นจากสายตาของผู้คนบนเครื่องบินได้..”
แต่หลิงหยุนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก“ซิงเฉิน.. ข้าไม่เข้าใจจริงๆ!พวกเราสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่กลับต้องมาคอยหลบสายตาของผู้คนบนเครื่องบินเช่นนี้ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
เย่ซิงเฉินได้ฟังเช่นนั้นถึงกับถอนหายใจและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็เหาะเคียงข้างเครื่องบินไปเลยสิ แล้วก็อย่าลืมแวะทักทายสาวสวยบนเครื่องบินด้วยล่ะ..”
“…”
“ซิงเฉิน..ข้าก็แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง เจ้าอย่าเพิ่งโมโหไปเลย!”
“เจ้าถือลูกแก้วนี้ไว้ก่อน..”
จู่ๆหลิงหยุนก็ส่งแก้วจ้าวสมุทรในมือให้เย่ซิงเฉินถือไว้ ส่วนตัวเขาก็วิ่งตรงยังกลุ่มของสัตว์ทะเลแทน
“นี่เจ้าจะไปไหนกัน!”
แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนไล่จับปลาและสัตว์น้ำทะเลนางจึงได้เข้าใจ..
หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างไล่จับปลาทะเลไปได้มากมายและนำไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลของตนเอง ส่วนเย่ซิงเฉินก็ได้แต่ถือแก้วจ้าวสมุทรวิ่งตามหลิงหยุนไปให้ทัน
หลังจากจับสัตว์ทะเลได้จนพอใจแล้วจึงหันไปบอกกับเย่ซิงเฉินว่า “ข้ามาทะเลจีนตะวันออกทั้งที จะไม่มีอาหารทะเลติดไม้ติดมือกลับไปได้อย่างไรกันเล่า”
“…”
เย่ซิงเฉินถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดในใจว่า ในโลกนี้คงไม่มีผู้ใดเหมือนหลิงหยุนอีกแล้ว เขาเพิ่งจะบ่นพึมพำไม่พอใจกับชีวิตที่ถูกโลกบีบคั้นของผู้บ่มเพาะตน แต่พริบตาเดียวก็วิ่งไล่จับสัตว์น้ำทะเลเสียแล้ว..
“ซิงเฉินลงไปลึกกว่านี้กันดีกว่า ดูว่าจะมีกุ้งมังกรให้จับกลับไปได้หรือไม่..”
เย่ซิงเฉินถือแก้วจ้าวสมุทรไล่ตามหลิงหยุนไปติดๆแล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันจับกุ้งมังกรกันอย่างสนุกสนาน หลังจากเล่นสนุกกันจนพอใจแล้ว เย่ซิงเฉินจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “หลิงหยุน..เจ้าดูมีความสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องใดๆเลยแม้แต่น้อย..”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิงเฉินพร้อมตอบกลับไปว่า“ซิงเฉิน พวกเราฝึกฝนบ่มเพาะตนอย่างหนักเพื่อสิ่งใดงั้นรึ เพื่อความเป็นเซียนที่มีชีวิตอมตะไม่ใช่รึ?”
“พวกเราคงไม่ปรารถนาชีวิตอมตะที่น่าเบื่อไม่ใช่รึฉะนั้นแล้ว.. ความสุขและความสนุกต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด ส่วนเรื่องอื่นๆล้วนเป็นรอง!”
ทั้งคู่เดินคุยกันไปเล่นกันไป จนกระทั่งผ่านไปเกือบสิบนาที ทั้งสองคนก็ได้เข้าสู่อ่าวจิงฉูแล้ว..
เมื่อทั้งคู่ขึ้นฝั่งแล้วเย่ซิงเฉินจึงบอกกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน ข้าคงไม่ตามเจ้ากลับไปจิงฉู พวกเราแยกทางกันชั่วคราว..”
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปและถามขึ้นทันที “แยกทางกันชั่วคราว.. หมายความเช่นใดรึ”
เย่ซิงเฉินยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางชายฝั่งอ่าวจิงฉูทางตอนเหนือและอธิบายว่า “ข้ากลับไปจิงฉูกับเจ้าก็ไม่มีอะไร ข้าตั้งใจว่าจะกลับไปจัดการสะสางงานภายในองค์กรนักฆ่าสาขาหูตงเสียหน่อย..”
จากนั้นเย่ซิงเฉินก็จ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนพร้อมกับพูดต่อว่า “หลังจากเจ้าสะสางภารกิจในจิงฉูเสร็จสิ้นเมื่อใด จึงค่อยติดต่อหาข้า จากนั้นพวกเราค่อยเดินทางไปยังสำนักกระบี่เทียนซานด้วยกัน!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าการสะสางงานภายในองค์กรนักฆ่าสาขาหูตงนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเขารู้ดีว่าเย่ซิงเฉินไม่ต้องการให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนใจเมื่อต้องกลับจิงฉูไปพบกับสาวๆของตน นางจึงเลือกที่จะแยกตัวออกไปเช่นนี้
หลิงหยุนจึงรีบระล่ำระลักตอบกลับไปทันที“เอ่อ.. ความจริงที่ข้ากลับมาจิงฉูครั้งนี้ ก็แค่จะมาจัดการเรื่องมังกรทั้งสองตัว เรื่องรักษาอาการบาดเจ็บของน้าหญิง แล้วก็เรื่องเหล่าศิษย์ของอารามจิ้งซิน…” เย่ซิงเฉินรีบยกมือของตนขึ้นแตะริมฝีปากของหลิงหยุนพร้อมกลับไปว่า “หยุด! เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร เจ้าจะกลับไปจิงฉูเพื่ออะไรนั้น ข้าหาได้สนใจไม่ เพียงแต่รีบสะสางทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยเร็ว อย่าให้ข้าต้องรอนานนัก…”
“ส่วนแก้วจ้าวสมุทรนี้ข้าจะยึดไว้ก่อน หากเจ้ากล้าทำเรื่องไม่ดีต่อข้าเมื่อใด ข้าจะไม่คืนให้กับเจ้าแน่!”
“ข้าไปก่อนละ่!”
จากนั้นร่างของเย่ซิงเฉินก็หายเข้าไปในอ่าวจิงฉูอีกครั้ง และกำลังมุ่งหน้าไปทางหูตง..
ทันทีที่เย่ซิงเฉินจากไปแล้วหลิงหยุนก็ได้แต่ยกมือขึ้นลูบไล้ริมฝีปากของตนเอง พร้อมกับรำพึงรำพันเบาๆ
“หญิงสาวที่ดีเช่นนี้ข้าจะไปหาได้จากที่ไหนอีกกันนะ!”
……
หลังจากแยกกับเย่ซิงเฉินแล้วหลิงหยุนก็เหาะจากฝั่งขึ้นไปยังหน้าผาที่หนิงหลิงยู่ใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนวิชาคลื่นคงคงอยู่เป็นประจำ
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้ทำการเปิดจิตหยังรู้ครอบคลุมหมู่บ้านอ่าวจิงฉูไว้ทั้งหมด..
“ข้าคาดการได้ถูกต้อง..น้าหญิงเลือกที่จะกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้จริงๆ ไป๋เซียนเอ๋อก็มาด้วยงั้นรึ”
ตั้งแต่ที่ฉินตงเฉี่วยทำลายวรยุทธของตนทิ้งในคืนนั้นนางก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป และที่ไป๋เซียนเอ๋อมาอยู่กับนางนั้น ก็เพื่อคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับฉินตงเฉวี่ยนั่นเอง
จากนั้นหลิงหยุนจึงใช้จิตหยั่งรู้สำรวจไปที่บ้านของเฉิงเทียนและพบว่าภายในบ้านมีเพียงแม่บ้านคนใหม่อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนในครอบครัวเฉิงทั้งสี่คนกลับไม่มีใครอยู่เลย..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพึมพำออกมา“ดูท่าเม่ยเฟิงกลับมา คงจะรีบไปหาพ่อกับแม่ของนางก่อนสินะ!”
ภายในบ้านเลขที่9 ในหมู่บ้านอ่าวจิงฉู..
ทุกๆเช้าเวลาตีสี่ฉินตงเฉี่วยจะลุกขึ้นฝึกวิชาดาราคุ้มกายอยู่นานถึงสามชั่วโมง หลังจากนั้นนางก็จะสวมใส่ชุดเสื้อผ้าอยู่บ้านสบายๆ รับประทานอาหารเช้า และนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก
เวลานี้ฉินตงเฉี่วยไม่มีจิตหยั่งรู้อีกแล้วนางจึงไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป และไม่สามารถสื่อสารกับแหวนพื้นที่ได้
ไป๋เซียนเอ๋อได้รายงานให้นางรู้ว่าหลิงหยุนไปรับทัณฑ์สวรรค์ที่ทะเลจีนตะวันออกแต่นั่นไม่ได้ทำให้นางรู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะนางเชื่อมั่นว่าหลิงหยุนจะต้องทำได้สำเร็จ ไป๋เซียนเอ๋อเองก็คิดเช่นนั้น..
“เซียนเอ๋อ..เจ้าบอกว่าหลิงหยุนออกเดินทางไปทะเลยจีนตะวันออกตั้งแต่ตีสองครึ่ง นี่ก็เก้าโมงเช้าแล้ว ผ่านไปหกชั่วโมงแล้ว ทัณฑ์สวรรค์น่าจะสิ้นสุดลงแล้วไม่ใช่รึ” แต่ในระหว่างนั้นดวงตาทั้งคู่ของไป๋เซียนเอ๋อก็หรี่เล็กลง พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“พี่หลิงหยุน..พี่หลิงหยุนกลับมาแล้ว!”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคด้วยซ้ำไปร่างของไป๋เซียนเอ๋อก็พุ่งออกไปนอกบ้านแล้ว ส่วนฉินตงเฉี่วยก็รีบวิ่งออกจากห้องรับแขกไปทันทีเช่นกัน
“น้าหญิง..ข้ากลับมาแล้ว!”
“เจ้าเด็กดื้อ..ยังจำข้าได้อยู่งั้นรึ!”
ระหว่างนั้นนางก็เอื้อมมือไปจับแขนหลิงหยุนหมุนไปหมุนมา พร้อมกับถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“นี่เจ้าบาดเจ็บที่ใดบ้างหรือไม่”
“น้าหญิง..ข้าไม่เป็นอะไรเลย ก็แค่เสียเสื้อผ้าไปสองชุดเท่านั้นเอง!”
ฉินตงเฉี่วยจ้องมองหลิงหยุนนิ่งนานในที่สุดก็ถามขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าเข้าสู่ขั้นใดแล้ว”
“ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่!” “ห๊ะ!”
ฉินตงเฉวี่ยร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ในเวลาไม่ถึงสามวัน เจ้าสามารถข้ามขั้นใหญ่ได้ถึงสองขั้นเชียวรึ!”
“น้าหญิง..พวกเราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงได้เดินนำฉินตงเฉวี่ยและไป๋เซีนเอ๋อเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นและได้เล่ารายละเอียดภายในงานชุมนุมชาวยุทธหลังจากที่ทุกคนกลับไป ให้พวกนางทั้งสองคนฟัง
นอกจากนั้นยังได้เล่าเรื่องที่เขาประมือกับหลงเทียนฟางและอาวุโสทั้งห้าซึ่งเขาได้เผชิญหน้าหลังจากที่เพิ่งรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จให้ทั้งคู่ฟังด้วย
“น้าหญิงนับจากนี้ไปไม่ว่าเรื่องของตระกูลหลิง หรือตระกูลฉิน หากข้ายังอยู่ ไม่ว่าศัตรูหน้าไหนก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวพวกมันอีกแล้ว!” หลิงหยุนร้องบอกฉินตงเฉวี่ยด้วยสีหน้าและแววตามั่นอกมั่นใจยิ่งนัก!
ฉินตงเฉี่วยถึงกับหัวเราะจนตัวโยกขณะที่พูดขึ้นว่า“หลิงหยุน เจ้าสามารถเอาชนะผู้เฒ่าทั้งห้าได้ง่ายดายเช่นนี้ นับว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพียงแต่..”
จู่ๆน้ำเสียงของฉินตงเฉวี่ยก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย “เพียงแต่ข้ากลับกลายเป็นคนธรรมดา ข้าควรทำเช่นใดดี”
หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นถึงกับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเช่นเคย
“น้าหญิง..เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลใจไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
ฉินตงเฉวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุขหลังจากนั้นจึงเปิดอกพูดกับหลิงหยุนไปตามตรง ถึงเรื่องที่นางตัดสินใจทำลายวรยุทธตนเองในคืนนั้น
“หลิงหยุนขอบอกกับเจ้าตามตรง ที่ข้าตัดสินใจทำลายวรยุทธตนเองเช่นนั้น ก็เพราะไม่ต้องการให้ตระกูลฉินต้องตกเป็นหนี้บุญคุณของผู้ใดอีก ข้าต้องการตัดขาดบุญคุณกับสำนักดาบสวรรค์ที่คั่งค้างมานานหลายสิบปีนี้ให้ขาด แต่..”
“แต่อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ..ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้า ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าจะสามารถทำให้ข้ากลับมาเป็นเช่นเดิมได้..”
หลิงหยุนขยิบตาให้นางพร้อมกับตอบไปว่า“ขอบคุณน้าหญิงที่เชื่อมั่นในตัวข้า..”
ฉินตงเฉวี่ยจ้องมองหลิงหยุนอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบคะยั้นคะยอ “เด็กดื้อ.. เจ้ายังจะรออะไรอยู่อีกเล่า ยังไม่รีบรักษาให้ข้าอีกรึ?!”
“น้าหญิง..การฟื้นฟูกำลังภายในของท่านไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เพียงแต่..”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นหยุดนิ่งไปแค่นั้นฉินตงเฉวี่ยจึงได้แต่ร้องถามออกมาด้วยความร้อนใจ
“เพียงแต่..เพียงแต่อะไรงั้นรึ! เจ้าพูดมาเร็วเข้า…”จั
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร