บทที่ 1390 : สะสางภารกิจอื่นๆ
“แล้วเรื่องศิษย์อารามจิ้งซินเล่าเจ้าจัดการเช่นใด”
หลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจจบลงแล้วหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะถามถึงเหล่าศิษย์ของอารามจิ้งซิน
เฉิงเม่ยเฟิงยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“พอดีโม่วู๋เตาบอกข้าว่าเจ้ามีกิจการโรงแรมเป็นของตนเองแล้ว ข้าก็เลยให้พวกนางไปพักที่โรงแรมไคเฉวียนของเจ้าก่อน..”
“ปล่อยให้พวกนางค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับโลกภายนอกสักพักเพราะพวกนางล้วนแล้วแต่เป็นแม่ชีอยู่ในอารามจิ้งซินมานาน หลังจากที่พวกนางคุ้นเคยกับโลกภายนอกแล้ว ค่อยให้พวกนางตัดสินใจชีวิตของพวกนางเอง..”
เฉิงเม่ยเฟิงอธิบายให้หลิงหยุนฟังเพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นกังวลใจ เพราะศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนของอารามจิ้งซินนั้น มีทั้งคนสูงอายุ วัยกลางคน และเด็กสาว บางคนก็ใช้เวลาอยู่ในอารามจิ้งซินกว่าครึ่งชีวิต เด็กสาวบางคนก็ถูกนำไปเลี้ยงในสำนักตั้งแต่เด็กเลยก็มี..
บางคนต้องการไปบวชในวัดใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบก็มี บางคนก็ถูกแสงสีในเมืองดึงดูด และต้องการใช้ชีวิตในเมือง หางานทำและแต่งงานมีครอบครัว แต่ที่เหมือนกันทุกคนคือ.. พวกนางต้องการฟื้นฟูกำลังภายในของตน และฝึกฝนวรยุทธอีกครั้ง..
และนี่คือสิ่งที่หลิงหยุนต้องการให้เป็นทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางชีวิตของตนด้วยตัวเอง!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะยังไม่ไปพบพวกนางในเวลานี้ แต่เจ้าช่วยไปบอกกับพวกนางแทนข้าด้วยว่า สิ่งใดที่ข้ารับปากแล้ว ข้าย่อมรักษาคำพูด หลังจากที่พวกนางปรับตัวและใคร่ครวญรอบคอบแล้ว หากทุกคนยังยืนยันที่จะกลับมาฝึกวรยุทธอีกครั้ง ข้าหลิงหยุนจะทำการรักษาจุดตันเถียนและเส้นลมปราณที่เสียหายให้กับพวกนางเอง และจะถ่ายทอดวิชาที่เหนือกว่าวิชาไร้ใจของอารามจิ้งซินให้ด้วย!
หลิงหยุนไม่ต้องการให้ศิษย์อารามจิ้งซินเข้าใจว่าเขาทอดทิ้งพวกนาน และไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้!
….
หลิงหยุนออกแยกจากเฉิงเม่ยเฟิงเพื่อกลับไปยังบ้านเลขที่-1ของตน แต่ก่อนไปเขาได้มอบศิลากลั่นวิญญาณให้กับนาง เพื่อให้นางใช้ในยามฝึกฝนวิชา
“ข้ากลับมาแล้ว!”
หลิงหยุนมาถึงบ้านเลขที่-1ราวบ่ายสองโมงครึ่ง และเมื่อมาถึงก็ได้ใช้มังกรคำรามร้องตะโกนบอกทุกคนที่อยู่ภายในบ้าน
จากนั้นเสียงคนวิ่งกรูกันออกมาจากบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้อยตะโกนด้วยความดีอกดีใจ..
มีเพียงเสี่ยวเม่ยหนิงเท่านั้นที่ได้ยินเสียงหลิงหยุนแล้ววิ่งออกมาคนแรกแต่กลับยืนนิ่งไม่พูดไม่จา และขอบตาทั้งสองข้างก็เริ่มแดงก่ำ
หลิงหยุนหันไปมองด้วยความรู้สึกสงสารจับใจและรีบเดินเข้าไปทักทาย “หนิงน้อย.. เจ้าคงคิดถึงข้ามากสินะ”
เสี่ยวเม่ยหนิงโผเข้ากอดหลิงหยุนพร้อมกับร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดจนไหล่ของเขาเปียกไปด้วยน้ำตา
หลิงหยุนปลดปล่อยโล่ห์ลมปราณครอบคลุมร่างของตนกับเสี่ยวเม่ยหนิงไว้จากนั้นจึงใช้วิชาล่องหนพาเสี่ยวเม่ยหนิงเหาะขึ้นไปบนฟ้าหลายกิโลเมตรทันที..
เสี่ยวเม่ยหนิงตกใจจนต้องกรีดร้องออกมาเมื่อพบว่าตนเองอยู่เหนือพื้นดินไปหลายกิโลเมตรเช่นนี้แต่กลับไม่มีเสียงดังรอดออกมา เพราะเวลานี้ริมฝีปากของนางได้ถูกริมฝีปากของหลิงหยุนประกบไว้แนบแน่น
จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า.. “หนิงน้อยใช่ว่าข้าไม่ต้องการที่จะติดต่อหาเจ้า แต่ข้าอยู่ปักกิ่งมีภารกิจมากมายที่ต้องทำ อีกทั้งเมื่อว่างจากงานก็ต้องฝึกฝน จึงไม่ได้สนใจโทรศัพท์มือถือเลยแม้แต่น้อย..”
เสี่ยวเม่ยหนิงพยักหน้ารับรู้ระหว่างที่นางอยู่จิงฉูนั้น นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียนแล้ว นางก็หมั่นฝึกวิชาอยู่ที่บ้าน และเวลานี้ก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว
“พี่หลิงหยุนฉันไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว ฉันอยากจะฝึกแต่วรยุทธอย่างเดียวจะได้มั๊ย”
“ไม่ได้เด็ดขาด!”หลิงหยุนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมกับยกมือขึ้นบีบจมูกเล็กๆนั้น
“ทำไมล่ะในเมื่อพี่เองก็ไม่ไปเรียน พี่ใหญ่ก็ไม่ไปเรียน แล้ว..” เสี่ยวเม่ยหนิงตอบโต้ทันที
“ฉะนั้นเจ้าถึงต้องไปโรงเรียนอย่างไรเล่า!”
หลิงหยุนตอบกลับทันทีเช่นกัน“เจ้าไม่เพียงต้องไปโรงเรียน แต่ยังต้องตั้งใจเรียนให้มากด้วย อย่าทำให้ปู่กับพ่อแม่ของเจ้าผิดหวังรู้หมือไม่”
“อีกอย่างการเรียนจะทำให้เจ้ามีความรู้กว้างไกล และจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกวิชาของเจ้ามาก!”
หลิงหยุนรู้ว่าที่ผ่านมาท่านหมอเสี่ยวไม่ยอมสอนวรยุทธให้กับเสี่ยวเม่ยหนิงนั้น เพราะไม่ต้องการให้นางหยุดการเรียนไว้เพียงแค่นี้!
เสี่ยวเม่ยหนิงทำตาโตพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย“การเรียนช่วยเรื่องการฝึกฝนด้วยเหรอพี่หลิงหยุน”
“เจ้าไม่เชื่อข้าแล้วรึ!”
“อีกอย่างต่อให้เจ้าไม่เรียนหนังสือ ก็ใช่ว่าจะสามารถติดตามข้าไปไหนต่อไหนทุกวันได้!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าที่เสี่ยวเม่ยหนิงไม่ต้องการเรียนหนังสือนั้นเพราะต้องการที่จะติดตามเขาไปด้วยทุกหนทุกแห่งนั่นเอง
“ค่ะพี่หลิงหยุน!” หลังจากหลิงหยุนพาเสี่ยวเม่ยหนิงเหาะเล่นจนพอใจแล้วทั้งคู่ก็เหาะกลับลงมาที่สวนบ้านเลขที่-1ดังเดิม
“พี่หลิงหยุน..นี่พี่มีวิชาล่องหนด้วยเหรอคะ!”
ฉีเสี่ยวหงวิ่งเข้ามาหาหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนถามด้วยความตื่นเต้น..
“เจ้าช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!ถูกต้องแล้วมันคือวิชาล่องหน!”
หลังจากตอบฉีเสี่ยวหงแล้วหลิงหยุนก็แสดงให้ทุกคนดูอีกครั้ง พร้อมกับถามขึ้นว่า “เอาล่ะ ตอนนี้มีใครเห็นข้าบ้าง”
“…”
ไม่เพียงฉีเสี่ยวหงที่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงแม้แต่จินเหยียว โม่วู๋เตา และคนอื่นๆต่างก็ยืนตกตะลึงด้วยเช่นกัน!
“เจ้านักพรตบ้านี่!”
“เจ้าเป็นนักพรตจากสำนักเหมาซานจริงรึนี่!ความคิดแต่ละอย่างของเจ้า..” หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ข้าเตือนพวกเจ้าไว้ก่อน..อย่าคิดว่าพวกเจ้ามีพลังวิเศษ และแข็งแกร่งแล้ว จะสามารถทำความอะไรตามใจชอบได้ สวรรค์จับตามองอยู่”
จินเหยียวเห็นหลิงหยุนทำหน้าตาเคร่งเครียดจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “หลิงหยุน เจ้ากลับมาจิงฉูครั้งนี้ จัดการเรื่องสำคัญที่ต้องทำเสร็จแล้วหรือไม่”
“ท่านน้าจินเหยียวข้าจัดการเสร็จหมดแล้ว! แต่ยังเหลือเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ต้องจัดการ คาดว่าพรุ่งนี้คงเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง!”
จินเหยียวพยักน้าพร้อมกับถามต่อว่า“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไปเทียนซานเลยหรือไม่”
หลิงหยุนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า“ข้าอยากจะไปตระกูลฉินสอบถามเหตุการณ์ก่อน!”
จนกระทั่งเวลาห้าโมงเย็นหลิงหยุนจึงพาเสี่ยวเม่ยหนิง จินเหยียว และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเดินไปเยี่ยมท่านหมอเสี่ยวที่บ้าน
“หลิงหยุนในเมื่อเจ้าไม่ต้องการให้ข้าตามไปช่วยแม่ของเจ้าที่เทียนซาน ข้าก็จะรออยู่ที่จิงฉู”
จินเหยียวร้องบอกหลิงหยุนระหว่างที่เดินไปความจริงนางต้องการที่จะตามหลิงหยุนไปช่วยฉินจิวยื่อที่สำนักกระบี่เทียนซานด้วย นางให้เหตุผลกับหลิงหยุนว่า ฉินจิวยื่อเป็นผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูหลิงหยุนมานานถึงสิบแปดปี นางจึงต้องการที่จะตอบแทน..
แต่เมื่อหลิงหยุนไม่ต้องการให้จินเหยียวตามไปด้วยอีกทั้งนางเองก็ได้เห็นความแข็งแกร่งของหลิงหยุนจากงานชุมนุมชาวยุทธในคืนนั้นแล้ว นางจึงไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงนัก และที่นางต้องการอยู่จิงฉูก็ด้วยเหตุผลสามประการ..
ประการแรก..นางต้องการไปคาราวะป้ายสุสานหลวงจีนเฉวียนหมิงที่อารามหลิงเจวี๋ย ครั้งนั้นเป็นเพราะต้องการช่วยหลิงหยุนซึ่งยังเป็นเพียงทารกน้อย หลวงจีนเฉวียนหมิงถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสจนตาย แต่ก่อนที่จะสิ้นใจเขาได้ขอให้ฉินจิวยื่อรับหลิงหยุนไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม..
ประการที่สอง..จินเหยียวต้องการอยู่จิงฉูช่วยชี้นแนะเรื่องฝึกฝนวิชาให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาด้วยตัวเอง และยิ่งอยู่ด้วยกันไปนานวัน ทั้งนางและเหมี่ยวเสี่ยวเหมากลับสนิทสนมกันราวกับแม่ลูก..
และเหตุผลประการสุดท้าย..อีกไม่เกินสองหรือสามเดือน หลิงหยุนก็น่าจะแข็งแกร่งจนสามารถไปช่วยแม่ของเขาได้แล้ว นางจึงต้องการเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ที่จิงฉู เพื่อที่จะได้ตามหลิงหยุนกลับไปช่วยหยินชิงเฉวียนได้!
“น้าจินเหยียว..ถ้าเช่นนั้นท่านก็อยู่ที่บ้านหลังนี้ไปพลางๆ ระหว่างที่รอจนข้าเสร็จภารกิจเรื่องนี้เสียก่อน!”
ระหว่างนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมากับจินเหยียวก็ได้เล่าเรื่องเวทย์มนต์คาถาของชนเผ่าเหมี่ยวเจียง ที่ได้ถ่ายทอดมาตั้งแต่โบร่ำโบราณให้หลิงหยุนฟัง ทำให้หลิงหยุนอดที่จะนึกถึงกระบี่โลหิตเทวะของตนไม่ได้
หลิงหยุนเคยพยายามหลายครั้งที่จะใช้พลังจิตควบคุมกระบี่เล่มนี้แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ดูเหมือนกระบี่เล่มนี้ต้องบังคับด้วยมือเท่านั้น และเมื่อได้ยินเรื่องเวทย์มนต์ของชาวเผ่าเหมี่ยวเจียง ทำให้หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า หรือพรรคมารกับพวกแม่มดจะเป็นเรื่องเดียวกัน!
เพียงแค่ยี่สิบนาทีทั้งหมดก็เดินมาถึงบ้านของท่านหมอเสี่ยว และเขาก็ได้ยืนรออยู่ที่ประตูหน้าบ้านแล้ว..
ท่านหมอเสี่ยวได้กลืนโอสถเยาว์วัยกับโอสถโฉมสะคราญของหลิงหยุนเข้าไปเช่นกันและเวลานี้ผมที่เคยขาวโพลนก็ได้กลายเป็นสีดำอีกครั้ง และหน้าตาก็ดูราวกับชายวัยห้าสิบปี..
หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาเมื่อพบว่าเวลานี้ท่านหมอเสี่ยวเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-4แล้ว และด้วยความแข็งแกร่งของท่านหมอเสี่ยวเวลานี้ เขาสามารถยับยั้งหนอนกู่ที่อยู่ภายในร่างได้เองแล้วเช่นกัน
หลิงหยุนรีบเดินเข้าไปทักทายท่านหมอเสี่ยวทันที“ท่านปู่เสี่ยว.. เหตุใดมายืนรอข้าที่หน้าประตูเช่นนี้เล่า ควรรอให้ข้าเข้าไปคาราวะในบ้านจึงจะเหมาะสม!”
“อะไรกัน..เจ้าให้โอสถข้ามา ตอนนี้ข้าหนุ่มขึ้นอีกยี่สิบปี เจ้ามาทั้งทีข้าต้องออกมาต้อนรับจึงจะถูกต้องต่างหากเล่า!”
ท่านหมอเสี่ยวรีบตอบหลิงหยุนกลับทันทีเช่นกันก่อนจะพูดต่อว่า “อีกอย่าง หนิงน้อยก็ได้โทรมาบอกข้าก่อนแล้วว่าเจ้าจะมา ขืนข้าไม่ออกมาต้อนรับ นางก็จะมาโวยวายกับข้าทีหลังน่ะสิ!”
หลังจากที่พูดจาหยอกเย้ากับหลิงหยุนจบแล้วท่านหมอเสี่ยวก็หันไปมองจินเหยียว พร้อมกับถามขึ้นว่า
“ดูเหมือนแม่นางท่านนี้จะเป็นธิดาเผ่าเหมี่ยวเจียงคนล่าสุดใช่หรือไม่” และเมื่อพูดถึงธิดาเผ่าเหมี่ยวเจียงสีหน้าของท่านหมอเสี่ยวก็เปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน “ข้ามิบังอาจเทียบธิดาเหมี่ยวเจียง ข้าน้อยจินเหยียวคาราวะท่านลุงเสี่ยว..”
จินเหยียวเป็นฝ่ายคาราวะท่านหมอเสี่ยวเพราะรู้ฐานะของเขาดีว่าเป็นอะไรกับเหมี่ยวเฟิงหวง..
“เอาล่ะ..เอาล่ะ.. อย่าพิธีรีตรองกันอีกเลย เข้ามาในบ้านกันดีกว่า!”
แม้ท่านหมอเสี่ยวจะอาวุโสกว่าจินเหยียวแต่นางนับว่าแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก ท่านหมอเสี่ยวจึงไม่ต้องการให้จินเหยียวมีมารยาทกับตนนัก จึงรีบเปลี่ยนไปเชิญชวนทุกคนเข้าไปคุยกันที่สวนแทน
ใต้ต้นทับทิมอายุหลายสิบปีภายในสวนของท่านหมอเสี่ยวมีโต๊ะไม้ไผ่และเก้าอี้อยู่สี่ตัวพอดี บนโต๊ะมีชุดน้ำชา และของว่างเตรียมไว้
ท่านหมอเสี่ยวจินเหยียว หลิงหยุน และเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ส่วนเสี่ยวเม่ยหนิงได้แต่เดินหน้าตาบูดบึ้งเข้าไปในบ้านยกเก้าอี้ออกมาเอง..
ระหว่างที่ทั้งห้าคนนั่งคุยกันไปนั้นท่านหมอเสี่ยวก็หันไปถามจินเหยียวว่า “แม่นางจินเหยียว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเอ็นดูเสี่ยวเหมาของข้ามาก ไม่ทราบว่าเจ้ายินดีรับนางเป็นศิษย์หรือไม่”
จินเหยียวพยักหน้ายิ้มๆในขณะที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมารีบพูดแทรกขึ้นมาว่า “ท่านปู่คะ ข้าไม่อยากเป็นศิษย์ ข้าอยากเป็นลูกสาวของน้าจินเหยียวมากกว่า!”
“แม่นางจินเหยียวข้าเข้าใจความรู้สึกที่เจ้ามีต่อเสี่ยวเหมาดี แต่เจ้าเองก็ยังไม่แต่งงาน จะให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเป็นลูกสาวก็คงจะไม่เหมาะนัก ถ้าอย่างไรให้นางเป็นลูกศิษย์ของเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน วันใดที่เจ้าแต่งงานแล้ว ค่อยให้นางเป็นลูกสาวของเจ้า..”
หลังจากที่จินเหยียวเห็นด้วยท่านหมอเสี่ยวก็ได้ให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมายกน้ำชา และทำการคาราวะเรียกจินเหยียวเป็นอาจารย์ หลังจากนั้นหลิงหยุนจึงได้พูดธุระที่เขามาหาท่านหมอเสี่ยวในวันนี้“ท่านปู่เสี่ยว ที่ข้ามาพบท่านในวันนี้ก็ด้วยเรื่องของหนอนกู่ในร่างท่าน!”
“ข้ามีเวลาอยู่จิงฉูไม่นานนักเพราะต้องรีบไปช่วยท่านแม่ที่สำนักกระบี่เทียนซาน ข้าตั้งใจไว้ว่า หลังจากที่ช่วยท่านแม่เสร็จแล้วจะรีบกลับจิงฉู จากนั้นพวกเราค่อยกลับไปพบท่านย่าเหมี่ยวพร้อมกัน ท่านคิดเห็นเช่นใด”
“เอ่อ..ข้า.. ข้าว่ามันไม่เร็วไปหน่อยรึ”
เมื่อพูดถึงเรื่องของเหมี่ยวเฟิงหวงสีหน้าท่าทางของท่านหมอเสี่ยวก็เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที..
“ท่านปู่เสี่ยวหนอนกู่อยู่กับท่านมานานถึงสี่สิบปีเช่นนี้ ข้าไม่คิดว่าเร็วเลย!” หลิงหยุนตอบกลับทันที และรู้ว่าท่านหมอเสี่ยวกลัวการต้องเผชิญหน้ากับเหมี่ยวเฟิงหวง
“แต่..แต่ข้ากลับมาหนุ่มเช่นนี้จะกล้ากลับไปพบหน้าเหมี่ยวเฟิงหวงได้อย่างไรกัน..” ท่านหมอตอบกลับไปด้วยความกังวลใจ “ท่านปู่เสี่ยวเรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนออกเดินทางข้าจะมอบโอสถทั้งสองชนิด ให้ท่านนำไปมอบให้กับท่านย่าเหมี่ยวด้วยตัวเอง นางจะได้กลับมาเป็นหญิงในวัยใกล้เคียงกับท่าน..”
“ท่านปู่คะ..ยังจะลังเลอะไรอยู่อีก!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาและเสี่ยวเม่ยหนิงช่วยกันคะยั้นคะยอท่านหมอเสี่ยวทันที
“ตกลง..ทำตามแผนของหลิงหยุน!” ท่านหมอเสี่ยวกัดฟันพร้อมตอบกลับไป
“เย้ๆๆ”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาและเสี่ยวเม่ยหนิงกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร