Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 476

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 476
[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
บทที่ 476 : ท้องฟ้าคำราม!
ในเมื่อไป๋เซียนเอ๋อกลายร่างเป็นมนุษย์ได้สำเร็จแล้ว ก็เท่ากับว่าสามารถผ่านบททดสอบไปได้แล้ว การลงทัณฑ์ก็ควรต้องจบลงแล้วเช่นกัน..
เมื่อครู่ที่ไป๋เซียนเอ๋อกล้ายืนคุยกับหลิงหยุน พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างสบายอกสบายใจนั้น ก็เพราะนางคิดว่ากลุ่มเมฆทะมึนนั้นได้สลายหายไปแล้ว และรู้ว่าการทดสอบได้จบสิ้นลงแล้ว
หลิงหยุนเคยผ่านประสบการณ์การลงทัณฑ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขามีประสบการณ์แม้กระทั่งเคยถูกอสุนีบาตที่มีอานุภาพน่าหวาดผวา และน่าสยดสยองที่สุดในขั้นอมตะผ่ามาแล้ว เขาจึงรู้ดีว่าการกลายร่างของไป๋เซียนเอ๋อได้สำเร็จแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คงจะไม่รีบวิ่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนั้น
แต่เพราะเหตุใดกลุ่มเมฆขนาดมหึมานี้จึงยังไม่สลายตัว..?!
หลิงหยุนมัวแต่สนใจกับความงามของไป๋เซียนเอ๋อจนลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปครู่ใหญ่ แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว โลกแห่งนี้เป็นคนละโลกกับโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ บททดสอบบนโลกใบนี้จึงอาจจะแตกต่างจากที่เขาเคยพบเจอในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่มาก็เป็นได้..
ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นโลกคนละใบกัน บททดสอบจึงแตกต่างกันเท่านั้น แม้แต่พรสวรรค์ในการบ่มเพาะก็แตกต่างกัน กฎสวรรค์ก็คงจะแตกต่างกันไปด้วย รวมถึงบททดสอบที่ต้องเผชิญ แม้ว่าจะมาในรูปของอสุนีบาตเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก!
แต่ในเมื่อกลายร่างสำเร็จแล้ว การทดสอบจึงควรนับว่าสิ้นสุด! และสิ่งนี้ก็ควรจะต้องเหมือนกันทั้งสองโลก!
หลิงหยุนไม่อาจอธิบายสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆสีดำได้ และไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกอย่างไรดี?
นี่เป็นการกลายร่างของเจ้าขาวปุย.. แต่เหตุใดฟ้าจึงผ่าลงมาที่กลางศรีษะของเขา?! นี่มันเรื่องอะไรกัน?! หลิงหยุนได้แต่นึกประหลาดใจ..
กลุ่มเมฆมหึมาบนศรีษะยังคงส่งเสียงดังครืนๆ และค่อยๆลอยต่ำลงมาเรื่อยๆ ในขณะที่ไม่มีใครสามารถตอบคำถามของหลิงหยุนได้ สายฟ้าเส้นที่สองที่ฟาดลงมาก็แทนคำตอบได้เป็นอย่างดี!
เปรี้ยง!
แสงไฟสีเงินสว่างวาบทะลุกลุ่มเมฆสีดำมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน และและผ่าลงกลางศรีษะของหลิงหยุนอย่างรุนแรงอีกครั้ง!
“เซียนเอ๋อ.. เจ้าถอยออกไปก่อน!”
หลิงหยุนนิ่งอึ้งไปเมื่อสายฟ้าเส้นหนานั้นพุ่งลงมา เขารีบโน้มตัวตะโกนบอกไป๋เซียนเอ๋อให้ออกห่างจากตัวเอง!
หลังจากที่ถูกฟ้าผ่าไปสองครั้ง หลิงหยุนก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรฟ้าถึงได้ผ่าลงมาที่เขา และเขาถูกลงทัณฑ์ด้วยเหตุใด?!
“แย่แล้ว.. หรือว่าเมื่อเริ่มเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 ข้าจะต้องถูกฟ้าผ่า?!”
หลิงหยุนร้องออกมาอย่างตกใจ เขาใช้มังกรพรางร่างกระโจนออกไปไกลถึงสองร้อยเมตร และรีบเรียกยันต์อสนีออกมาติดที่ลำตัวไว้..
เปรี้ยง! สายฟ้าเส้นใหญ่ผ่าลงมาอีก แต่ครั้งนี้หลิงหยุนได้ใช้ยันต์อสนีติดไว้ที่ลำตัวแล้ว ฟ้าจึงผ่าไม่โดนร่างของเขา..
“ต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน! ข้าเพียงแค่ต้องการเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นปรับร่างกายเท่านั้นเอง เหตุใดจึงต้องมีอสุนีบาตด้วย?!”
หลังจากถูกฟ้าผ่าไปถึงสามครั้ง ตอนนี้หลิงหยุนถึงกลับกลายเป็นคนตัวดำ และเสื้อผ้าก็ไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ก็ถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ตอนนี้หลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-6 และกำลังใกล้จะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 มากแล้ว อีกเพียงแค่เส้นบางๆ เขาก็จะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นปรับร่างกายได้ (1)
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น หลิงหยุนจะถูกลงทัณฑ์ด้วยสายฟ้าเช่นนี้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ตั้งแต่ขั้นรากฐานไปจนกระทั่งถึงขั้นอมตะ ซึ่งประกอบไปด้วยขั้นใหญ่ทั้งหมด 11 ขั้น และแบ่งเป็นระดับเล็กๆได้อีก 33 ระดับ
และหลิงหยุนเองก็สามารถผ่านบททดสอบมาถึงระดับย่อยที่ 32 มาแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เหลืออีกเพียงแค่ระดับย่อยสุดท้ายของขั้นอมตะเท่านั้น เขากลับต้องพ่ายแพ้จนดวงจิตเดิมต้องหนีออกมาก่อนที่จะถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับร่าง..
ดวงจิตเดิมของหลิงหยุนสามารถหนีมายังโลกใบนี้ได้นั้น ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะนำอะไรติดมากับดวงจิตเดิมได้ ไม่ว่าจะเป็นกำลังที่แข็งแกร่งในขั้นรากฐาน หรือแม้แต่ด่านสุดท้ายของขั้นปรับร่างกาย เพราะแม้แต่พลังชี่ของตนเอง เขายังไม่สามารถนำติดมาพร้อมกับดวงจิตเดิมได้เลย
หลิงหยุนทั้งหงุดหงิดและขุ่นเคืองใจ ความจริงเขาก็สามารถจะเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง! เขารู้ว่าบททดสอบจากสวรรค์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับลำดับขั้นของการบ่มเพาะ แต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักบ่มเพาะต่างหาก!
หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือว่า ลำดับขั้นของการบ่มเพาะก็อย่างหนึ่ง ลำดับการทดสอบจากสวรรค์ก็เรื่องหนึ่ง! ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ได้เชื่อมโยงกัน
ในเวลานี้.. แม้หลิงหยุนจะก้าวเข้าสู่สามระดับของด่านสุดท้ายในขั้นปรับร่างกาย แต่จิตวิญญาณของเขานั้นกลับทรงพลังถึงขั้นอมตะ!
จิตวิญญาณ และดวงจิตเดิมนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งสองสิ่งไม่ได้ช่วยเสริมในเรื่องกำลังและความแข็งแกร่งของคนผู้นั้น แต่ช่วยในแง่ของความเข้าใจในเรื่องของวิธีการ..!
บนโลกที่มีพลังชีวิตค่อนข้างจำกัดและหาได้ยาก หลิงหยุนกลับสามารถฝึกฝนตนเองจากชายร่างอ้วนที่ไม่มีอะไรดี จนสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-6 ได้ และสิ่งที่หลิงหยุนทำนั้น แม้แต่คนที่มีพื้นฐานร่างกายที่ดี ก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้!
ไม่ว่าจะเป็นวิชามังกรพรางร่าง หมัดปีศาจเถียนกัง ฝ่ามือสวรรค์ พลังลับหยินหยาง หลิงหยุนกลับสามารถฝึกจนสำเร็จได้อย่างไรกัน?!
แทบเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
ต่อให้หลิงหยุนมีความทรงจำที่สามารถจดจำเคล็ดวิชาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ตัวหนังสือที่ท่องจำได้เท่านั้น!
ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธใดก็ตาม ต่อให้สามารถจดจำเคล็ดวิชาได้แม่นยำ แต่หากจะฝึกฝน หรือนำมาใช้ในทันทีนั้น ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันหนึ่งคืนในการฝึกฝน หรือไม่ก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักก่อนที่จะสามารถใช้งานได้จริง!
แต่หลิงหยุนกลับไม่ต้องฝึกฝนเลย ไม่ว่าจะเป็นมังกรพรางร่าง กระบี่ล่องหน หมัดปีศาจเถียนกัง หรือแม้แต่ฝ่ามือสวรรค์ เขาสามารถใช้มันได้ทันทีในระหว่างที่ต่อสู้กับศัตรู หรือแม้กระทั่งดารกะดายัน หลิงหยุนก็สามารถฝึกฝนได้ทันทีเมื่อเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย!
วรยุทธ และวิชาต่างๆที่หลิงหยุนนำมาใช้ หรือฝึกฝนนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่วิชาธรรมดาพื้น มันเปรียบเหมือนวิชาที่มีอานุภาพมากของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถใช้ต่อสู้ และรับมือกับผู้ฝึกตนในลัทธิต่างๆได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลัทธิเต๋า หรือพุทธ ลัทธิมาร ปีศาจ หรือแม้แต่ภูตผี
ไม่เช่นนั้นแล้ว หลิงหยุนคงจะไม่สามารถใช้หมัดปีศาจเถียนกัง หรือฝ่ามือสวรรค์ทำร้าย และสังหารยอดฝีมือที่มีกำลังภายในเหนือกว่าเขาได้!
และเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่ต้องฝึกวรยุทธ แต่กลับสามารถใช้ได้ในทันที?
คำตอบอยูที่ตรงนี้.. อยู่ที่จิตวิญญาณซึ่งอยู่ในขั้นอมตะของหลิงหยุน! เป็นจิตวิญญาณที่ทรงพลัง และสามารถเข้าใจการฝึกตนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง..
จิตวิญญาณในขั้นอมตะของหลิงหยุน บวกกับร่างที่ดูดซับพลังชีวิตเข้าไปจำนวนมาก อีกทั้งความรู้ในเคล็ดวิชาทั้งด้านวรยุทธ และการบ่มเพาะที่จดจำได้มากมาย ทำให้หลิงหยุนมีความก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ!
ความจริงแล้ว.. ก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนก็ยังไม่เพียงพอที่จะได้รับบททดสอบจากสวรรค์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่เขาดูดซับเอาปราณมังกรเข้าไปมากมาย อีกทั้งยังมีพลังอมตะที่พู่กันและสมุดจักรพรรดิถ่ายเทให้ รวมถึงการฝึกพลังลับหยินหยาง และดารกะดายัน..
สำหรับหลิงหยุน วรยุทธมีความหมายกับเขาเพียงแค่เครื่องมือป้องกันความปลอดภัยของตนเองในขั้นปรับร่างกายเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่เขายังไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้!
เมื่อใดก็ตามที่เข้าสู่ขั้นพลังชี่ หลิงหยุนจะได้ครอบครองจิตหยั่งรู้ที่แท้จริง และถึงเวลานั้นเขาจจะสามารถปลุกเสกยันต์ขั้นสูง เล่นแร่แปรธาตุ สร้างวัตถุวิเศษ และอะไรได้อีกมากมาย
เพียงเท่านี้หลิงหยุนก็สามารถสังหารคนได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้วรยุทธ!
และสิ่งที่นับว่าน่ากลัวที่สุดก็คือการฝึกวิชาพลังลับหยินหยางของหลิงหยุน ซึ่งวิชานี้ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงจุดตันเถียนของเขาให้แปลกประหลาดจนน่ากลัว และท้าทายสวรรค์อย่างมาก!
ความน่ากลัวนั้น.. ไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องไปเปรียบเทียบกับยอดฝีมือคนอื่น เพราะหากเทียบกับตัวเขาเองเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ และอยู่ขั้นเดียวกันกับเวลานี้ ตัวเขาเองก็จะรู้ดีว่า.. ความแข็งแกร่งของตนเองในตอนนี้นั้น น่าหวาดกลัวเพียงใด!
หากเปรียบเทียบหลิงหยุนที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-6 เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่กับหลิงหยุนในเวลานี้ หลิงหยุนในเวลานี้สามารถสังหารหลิงหยุนที่อยู่ในโลกบ่มเพาะได้ภายในพริบตา!
ไม่เพียงเท่านั้น.. หลิงหยุนซึ่งอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น นับได้ว่าเป็นเลิศของบรรดาอัจฉริยะแล้ว แต่หลิงหยุนในตอนนี้กลับสามารถสังหารหลิงหยุนที่อยู่ในอยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นพลังชี่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ได้ ช่างน่าหวาดกลัวไม่น้อย!
ตอนนี้หลิงหยุนสามารถสังหารผู้ที่มีกำลังเหนือเขาขึ้นไปถึงสี่ขั้นใหญ่ จึงไม่ต้องพูดถึงซันเทียนเปียว และโทคุงาวะ ทาเคตากุ..!
การที่หลิงหยุนสามารถสังหารโทคุงาวะซึ่งอยู่ในขั้นเซียงเทียน-3 ได้นั้น ก็เท่ากับว่าเขาอยู่ในขั้นเซียงเทียน-4 หรือไม่ก็สูงกว่า..
“คงไม่มีอสุนีบาตใดที่ไร้ซึ่งเหตุผลสินะ!”
หลิงหยุนพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงรีบร้องบอกไป๋เซียนเอ๋อให้ออกห่างจากบริเวณนั้น และให้นางหาที่ซ่อนให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอย่าได้เข้ามาใกล้กับเขา
หลิงหยุนช่างกล้าหาญ! หากเขาจะต้องถูกอสุนีบาตในด่านสุดท้ายของขั้นปรับร่างกายนี้ เขาก็ยินดีที่จะรับมันตั้งแต่ตอนนี้..
หลิงหยุนใช้ยันต์อสนีติดไว้ที่ลำตัวพร้อมกับโคจรดารกะดายันทันที!
สายฟ้าเส้นหนานี้ไม่สามารถทำให้หลิงหยุนเจ็บปวดได้มากนัก อย่างมากก็แค่ทำให้สีผิวของเขาเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก?
อานุภาพของดารกะดายันระดับสิบสี่นั้น ทำให้หลิงหยุนสามารถรับอสุนีบาทที่มีพลังมากกว่านี้ได้ถึงหกหรือเจ็ดเท่า ดังนั้นสายฟ้าขนาดนี้คงทำให้หลิงหยุนรู้สึกเหมือนได้รับการนวดตามร่างกายเท่านั้น..
แต่โอกาสดีเช่นนี้ หลิงหยุนไม่ปล่อยให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์แน่ เขาได้แต่คิดในใจว่า.. สายฟ้าทุกเส้นที่ฟาดลงบนร่างของเขานั้น เขาจะใช้วิชาพลังลับหยินหยางดูดซับพลังที่แข็งแกร่งของอสุนีบาตเข้าไปในร่างกาย และเปลี่ยนพลังหยางจากสายฟ้าให้เป็นพลังหยางในร่างกายของเขาแทน!
“ฟาดลงมาอย่าได้ยั้งล่ะ..! สายฟ้าขนาดนี้คงทำให้ข้ารู้สึกได้แค่คันๆเท่านั้น?!”
หลิงหยุนยืนตัวดำท้าทายสวรรค์อยู่บนเนินเขาอย่างผ่าเผย พร้อมกับยกนิ้วขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้า!

————————————————————

(1) ขั้นปรับร่างกาย มีทั้งหมด 9 ขั้น แบ่งเป็น 3 ด่าน และแต่ละขั้นก็จะมี 3 ระดับ คือเริ่มต้น กลาง และสูงสุด
ด่านแรก หรือด่านที่หนึ่ง
– ขั้นปรับร่างกาย-1 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
– ขั้นปรับร่างกาย-2 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
– ขั้นปรับร่างกาย-3 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
ด่านกลาง หรือด่านที่สอง
– ขั้นปรับร่างกาย-4 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
– ขั้นปรับร่างกาย-5 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
– ขั้นปรับร่างกาย-6 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
ด่านสุดท้าย หรือด่านที่สาม
– ขั้นปรับร่างกาย-7 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
– ขั้นปรับร่างกาย-8 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)
– ขั้นปรับร่างกาย-9 (มี 3 ระดับ : เริ่มต้น กลาง สูงสุด)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร